รู้จัก ‘หุ่นยนต์ร่างทรง’ เทคโนโลยีจาก Stanford ที่ช่วยสำรวจใต้น้ำลึก และตรวจโรคทางไกลในแบบที่มนุษย์ทำไม่ได้

Prof. Oussama Khatib จาก Stanford University ได้มาแชร์ภาพอนาคตของวิทยาการหุ่นยนต์ในงาน Techsauce Global Summit 2025 กับเทคโนโลยี Remote Robotic Aatars หรือที่อาจเรียกเป็นภาษาไทยได้ว่า ‘หุ่นยนต์ร่างทรง’ ที่จะมาทลายทุกข้อจำกัดทางกายภาพเพื่อช่วยเหลือมนุษย์ในหลาย ๆ ด้าน

ในอดีต อินเทอร์เน็ตทำให้เราสามารถได้ยินและมองเห็นกันได้ทั่วโลก แต่ตอนนี้ เทคโนโลยีใหม่นี้จะทำให้เราสามารถรู้สึก สัมผัส และมีปฏิสัมพันธ์ทางกายภาพกับพื้นที่ห่างไกลได้แบบเรียลไทม์

Prof. Oussama Khatib บอกว่า ที่ผ่านมาหุ่นยนต์ส่วนใหญ่มักถูกออกแบบมาเพื่อมองเห็น แต่โลกอนาคตต้องการหุ่นยนต์ที่สามารถลงมือทำได้ด้วย และนี่คือจุดเริ่มต้นของวิสัยทัศน์ในการเชื่อมต่อมนุษย์เข้ากับเครื่องจักร เพื่อให้เราสามารถส่งทักษะ ความรู้สึก และการตัดสินใจของเราไปยังสถานที่ห่างไกลหรืออันตรายได้

OceanOneK เมื่อหุ่นยนต์เป็นนักโบราณคดีใต้ทะเลลึก

Prof. Oussama Khatib เริ่มเล่าถึงโปรเจ็กต์หุ่นยนต์ OceanOneK หุ่นยนต์ภาคสนามที่เปรียบเสมือนร่างทรงของนักสำรวจใต้น้ำ มันถูกสร้างมาเพื่อลงมือทำโดยอาศัยเทคโนโลยี Haptic ที่ให้ผู้ควบคุมสัมผัสสิ่งต่างๆ ได้จริงจากระยะไกล โดยหุ่นยนต์ OceanOneK สามารถทำภารกิจที่หลากหลาย เช่น

  • การสำรวจทางโบราณคดี - เช่น การสำรวจซากเครื่องบินรบ, สำรวจซากเรือโรมันอายุหลายพันปี รวมทั้งยังสามารถหยิบถ้วยโบราณที่เปราะบาง ไปจนถึงตะเกียงดินเผาอายุหลายพันปีขึ้นมาจากก้นทะเลได้อย่างนุ่มนวล ซึ่งเป็นสิ่งที่นักโบราณคดีไม่เคยได้สัมผัสด้วยมือของตัวเองมาก่อน
  • การดำน้ำลึก - OceanOneK ได้ทุบสถิติการทำงานในระดับความลึกที่มนุษย์ไม่สามารถเข้าถึงได้ โดยมีการดำน้ำนอกชายฝั่งเมืองคานส์ที่ความลึก 750 เมตร และทำสถิติสูงถึง 850 เมตร ซึ่งนับว่าเป็นภารกิจที่มีแรงกดอากาศมหาศาล สะท้อนให้เห็นถึงศักยภาพทางวิศวกรรมขั้นสูง
  • นอกจากภารกิจสำรวจซากเรือแล้ว หุ่นยนต์ยังเป็นเครื่องมือสำคัญในการสนับสนุนนักวิทยาศาสตร์ เพื่อศึกษาธรณีวิทยาที่ ภูเขาไฟใต้น้ำ Kolombo ที่ซานโตรินี ไปจนถึงการสำรวจชีววิทยาทางทะเล, แนวปะการัง และรับมือกับปัญหามลพิษจากพลาสติก 
  • เทคโนโลยีนี้ยังนำไปใช้กับภาคอุตสาหกรรมอื่น ๆ เช่น การบำรุงรักษาท่อส่งพลังงานใต้น้ำและแท่นขุดเจาะนอกชายฝั่ง 

จากเทคโนโลยีแกนหลักอันทรงพลังนี้เอง ทำให้ศักยภาพของหุ่นยนต์ร่างทรงไม่ได้จำกัดอยู่แค่การสำรวจใต้ทะเล แต่ยังสามารถนำมาประยุกต์ใช้ในวงการสาธารณะสุข เพื่อทลายกำแพงด้านระยะทาง และการแก้ปัญหาขาดแคลนบุคคลากรในวงการแพทย์ โดย Prof. Oussama Khatib ได้ยกตัวอย่างในกรณีของการอัลตราซาวด์ที่มี 2 ปัญหาหลัก นั่นคือ

  • การทำอัลตราซาวนด์เป็นงานที่ต้องใช้แรงกด และท่าทางซ้ำๆ ซึ่งสามารถสร้างความเสียหายต่อข้อมือในระยะยาว
  • ในหลายพื้นที่ทั่วโลกทั้งหมู่บ้านและเมืองเล็กๆ ยังขาดแคลนโรงพยาบาลและผู้เชี่ยวชาญ ทำให้ประชาชนเข้าถึงบริการอัลตราซาวนด์ได้อย่างจำกัด

เพื่อแก้ปัญหาดังกล่าว ทีมวิจัยจาก Stanford ได้พัฒนาหุ่นยนต์ที่ออกแบบมาอย่างเป็นมิตรต่อมนุษย์ เพื่อทำหน้าที่สแกนอัลตราซาวนด์แทนมือของบุคลากรทางการแพทย์ ผู้เชี่ยวชาญจะใช้ อุปกรณ์ Haptic ในการควบคุมหุ่นยนต์จากระยะไกล ทำให้สามารถรู้สึกถึงแรงต้านและพื้นผิวของผู้ป่วยได้ราวกับกำลังตรวจด้วยตนเอง แต่ไม่ต้องอยู่ในสถานที่เดียวกับผู้ป่วย

เป้าหมายสูงสุดของโครงการนี้ คือการสร้าง คลินิกอัลตราซาวนด์เคลื่อนที่ ที่ติดตั้งหุ่นยนต์และอุปกรณ์สื่อสารไว้ในรถตู้ คลินิกเหล่านี้สามารถเดินทางไปยังพื้นที่ห่างไกล และเชื่อมต่อกับแพทย์ผู้เชี่ยวชาญที่อาจจะนั่งทำงานอยู่ในโรงพยาบาลอีกซีกโลกหนึ่ง เพื่อทำการตรวจวินิจฉัยและให้คำแนะนำได้แบบเรียลไทม์

โดยระบบยังมีความสามารถในการ สแกนอัตโนมัติ ในเบื้องต้นได้ ทำให้กระบวนการตรวจมีความรวดเร็วยิ่งขึ้น ก่อนที่แพทย์ผู้เชี่ยวชาญจะเข้ามาควบคุมเพื่อดูในรายละเอียดที่ซับซ้อนต่อไป

อ้างอิง : ข้อมูลจากเซสชั่น Remote Robotic Avatars: Deep Sea, Health Care, and the Workplace จากงาน Techsauce Global Summit 2025

ลงทะเบียนเข้าสู่ระบบ เพื่ออ่านบทความฟรีไม่จำกัด

No comment

RELATED ARTICLE

Responsive image

90% ขององค์กรไทยยังไม่พร้อมรับมือความเสี่ยงไซเบอร์ยุค AI รายงานจาก Accenture ชี้ Cybersecurity คือโจทย์เร่งด่วน

รายงานจาก Accenture ชี้ว่าองค์กรไทยและเอเชียแปซิฟิกยังขาดความพร้อมด้าน Cybersecurity ในยุค AI เมื่อ Autonomous AI, AI Agent และระบบอัตโนมัติเร่งขยายตัว ความปลอดภัยจึงกลายเป็นกลยุทธ...

Responsive image

ทำไมองค์กรทุ่มงบให้ AI แต่ยังไม่เห็นผลจริง ? เปิดมุมมองกับ ABeam Consulting ผู้คลุกคลีกับ Data & AI ขององค์กรไทย

ทำไมทุ่มงบ AI แต่ไม่เห็นผล? เจาะลึกมุมมองจาก ABeam Consulting ถึงสาเหตุที่แท้จริง ตั้งแต่ปัญหาข้อมูลใช้ไม่ได้ จนถึงวัฒนธรรมองค์กร พร้อมแนวทางปรับตัวให้ AI ใช้งานได้จริงในปี 2025...

Responsive image

ส่องเทรนด์ AI ปี 2026 เมื่อเทคโนโลยีเป็น 'คู่คิด' แต่ความเร็วอาจเป็น 'กับดัก'

ปี 2025 AI ได้กลายเป็นเครื่องมือของคนทำงานไปแล้ว และในปี 2026 กำลังจะเป็นอีกก้าวสำคัญ เพราะ AI จะไม่ได้แค่ช่วยให้ทำงานเร็วขึ้น แต่จะเริ่มเข้ามามีบทบาทในการตัดสินใจมากขึ้นเรื่อย ๆ...