เปิด 3 ปัจจัยหนุน Startup ในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้สเกลได้อย่างมั่นคง | Techsauce

เปิด 3 ปัจจัยหนุน Startup ในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้สเกลได้อย่างมั่นคง

บทความนี้เขียนโดย Ruban Phukan ผู้ร่วมก่อตั้งและซีอีโอบริษัทซอฟต์แวร์ GoodGist Inc
เรียบเรียงเนื้อหาโดย Techsauce Team

นอกจากบิ๊กเทคจะเข้ามาลงทุนมากขึ้นแล้ว สตาร์ทอัพสายเทคฯ ในภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ยังเติบโตอย่างมีนัยยะสำคัญ สอดคล้องกับภาพรวมการเติบโตของตลาดทั่วโลกในระบบเศรษฐกิจดิจิทัล

และภายในปี 2573 เราจะได้เห็นมูลค่าสินค้าออนไลน์รวม 6 ล้านล้านดอลลาร์สหรัฐ (ราว 220,542 แสนล้านบาท) นอกจากนี้งานวิจัยจาก Jungle Ventures ยังคาดการณ์ว่าเทคสตาร์ทอัพในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้จะมีมูลค่ารวมประมาณ 3.4 แสนล้านดอลลาร์สหรัฐภายในปี 2030 (ราว 12.5 ล้านล้านบาท) อีกทั้งยังมีแนวโน้มที่จะเพิ่มขึ้นสามเท่าภายในปี 2025 

โดยมีปัจจัยสนับสนุนมาจากการขยายตัวอย่างต่อเนื่องของประชากรวัยทำงาน ในขณะที่ภูมิภาคมีการพัฒนาอย่างต่อเนื่อง ทั้งในส่วนของรายได้และการขยายตัวของเมือง ทั้งหมดนี้สะท้อนถึงความแข็งแกร่งของเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ในฐานะศูนย์กลางสตาร์ทอัพด้านเทคโนโลยีต่อไป

อย่างไรก็ตาม ภูมิภาคนี้ยังเต็มไปด้วยอุปสรรคสำหรับการสเกลธุรกิจไปสู่ตลาดโลก โดยที่ยังรักษาฐานลูกค้ากลุ่มเดิม จึงเป็นโจทย์ใหญ่ที่จะต้องหาทางออกให้ได้

มาดูกันว่าสตาร์ทอัพในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้จัดการกับความท้าทายเหล่านี้อย่างไร อะไรคือปัญหาที่อาจเกิดขึ้น และสตาร์ทอัพเหล่านี้จะฝ่าอุปสรรคโดยอาศัยความร่วมมือจากทั่วโลกได้อย่างไรบ้าง

ความท้าทายด้านการจ้างงานและความร่วมมือ

Tech Ecosystem ของเอเชียตะวันออกเฉียงใต้นับว่าเฟื่องฟู มีสตาร์ทอัพหลายรายที่แจ้งเกิดและเติบโตในภูมิภาคนี้  แต่ก็เป็นเรื่องน่าเสียดายที่สตาร์ทอัพจำนวนมากให้ความสำคัญกับ Talent ฝ่ายขายและบริการลูกค้าเป็นหลัก แทนที่จะจ้าง Talent เก่งๆ ในแถบนี้

นอกจากนี้บริษัทยักษ์ใหญ่ยังปลดพนักงานสายเทคฯ จำนวนมหาศาล ทำให้เกิดช่องว่างในอุตสาหกรรมนี้ ในทางกลับกันสตาร์ทอัพก็เผชิญกับความท้าทายที่จะเฟ้นหาคนเก่งๆ เข้ามาเสริมทัพองค์กรได้อย่างมีประสิทธิภาพ โดยไม่ต้องเสียค่าใช้จ่ายมหาศาลในการจ้างงานใหม่

สิ่งที่จะเข้ามาตอบโจทย์เรื่องนี้ก็คือ บริการจัดจ้างบุคคลภายนอก (Outsourcing) ซึ่งจะช่วยบริษัทหาคนเก่งๆ ที่มีประสบการณ์ในภูมิภาคนี้ เข้ามาช่วยขับเคลื่อนและขยายธุรกิจไปสู่ระดับโลก ด้วยต้นทุนที่ต่ำกว่า

โดยอุดมคติแล้ว ธุรกิจส่วนใหญ่ต้องการควบคุมทุกอย่างภายในองค์กร ซึ่งอาจต้องใช้เวลาและค่าใช้จ่ายมาก ดังนั้นบริษัทควรหาจุดสมดุลในการร่วมมือกับบริษัทระดับโลกหรือระดับประเทศที่ดีที่สุดจะช่วยให้สตาร์ทอัพสามารถใช้ประโยชน์จากความเชี่ยวชาญและโครงสร้างพื้นฐานที่มีอยู่ได้

เช่น บริษัทยักษ์ใหญ่อีคอมเมิร์ซหลายแห่งในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ได้จัดตั้งความร่วมมือกับธนาคารและบริษัทโทรคมนาคมในท้องถิ่นเพื่ออำนวยความสะดวกในการขยายและกระจายความเสี่ยงทั่วทั้งภูมิภาค แต่เรื่องนี้ก็ไม่ได้ง่ายสำหรับสตาร์ทอัพหลายๆ ราย

โซลูชันอัตโนมัติ เสริมแกร่งด้านการจับมือกับพันธมิตร

มีงานหลากหลายประเภทที่ต้องอาศัยการประสานงานและความร่วมมือ เช่น การสร้างคอนเทนต์ การสนับสนุน การจัดการความรู้ และการเพิ่มความสามารถใหม่ ซึ่งความแตกต่างทางวัฒนธรรมระหว่างทีมในประเทศต่าง ๆ อาจส่งผลเสียได้
ในจุดนี้การบริหารจัดการความร่วมมือผ่านการเรียนรู้อัตโนมัติและแพลตฟอร์มการจัดการความรู้ถือเป็นวิธีการที่มีประสิทธิภาพ ช่วยลดภาระการฝึกอบรม โดยวางแผนการเรียนรู้ส่วนบุคคลสำหรับความเชี่ยวชาญแต่ละระดับ

ความท้าทายอีกอย่างก็คือการจัดการการปฏิบัติตามมาตรฐานอุตสาหกรรมและข้อกำหนดทางกฎหมายในภูมิภาคต่าง ๆ โดยแพลตฟอร์มเหล่านี้สามารถให้แนวทางโดยละเอียดเกี่ยวกับการปฏิบัติตามกฎระเบียบซึ่งปรับให้เหมาะกับบริบททางกฎหมายของแต่ละภูมิภาค และการอัปเดตอย่างต่อเนื่องบนแพลตฟอร์มทำให้มั่นใจได้ว่าหุ้นส่วนได้ดำเนินงานภายใต้กรอบการกำกับดูแลล่าสุดอยู่เสมอ ซึ่งลดความเสี่ยงในการละเลยข้อกำหนดและบทลงโทษที่ตามมา

การสนับสนุนที่จำเป็นจากรัฐบาล

    ในส่วนของการช่วยเหลือจากภาครัฐ ในประเทศไทยมีการสนับสนุนสตาร์ทอัพด้านเทคโนโลยีผ่านโครงการริเริ่มต่าง ๆ เช่น นโยบายประเทศไทย 4.0 ที่มุ่งส่งเสริมนวัตกรรมและขับเคลื่อนการเปลี่ยนแปลงทางดิจิทัล การใช้เทคโนโลยี IoT แบบแนร์โรว์แบนด์ทั่วประเทศยังเป็นองค์ประกอบสำคัญด้วย โดยแอปพลิเคชันต่างๆ ที่เกิดจากบริษัทสตาร์ทอัพ เช่น การติดตามยานพาหนะและการจอดรถอัจฉริยะ ได้มาถึงขั้นการค้าขายแล้ว ในขณะที่แอปพลิเคชันอื่นๆ เช่น การวัดแสงอัจฉริยะ ยังอยู่ในช่วงทดลองใช้งาน

นอกจากนี้ ยังมีเทคโนโลยี 5G และ IoT สำหรับรองรับกลุ่มต่าง ๆ เช่น โรงงานอัจฉริยะ โลจิสติกส์ และสาธารณูปโภค การรวบรวมข้อมูล การวิเคราะห์ และการตรวจสอบระยะไกลอย่างมีประสิทธิภาพ ซึ่งจะนำไปสู่การเพิ่มประสิทธิภาพ ลดต้นทุนการดำเนินงาน และการเตรียมพร้อมที่ดีขึ้นสำหรับแพลตฟอร์มดิจิทัลในอนาคต

รัฐบาลทั่วโลกที่ได้รับการสนับสนุนจากความร่วมมือภาคเอกชน จะต้องลงทุนในโครงสร้างพื้นฐานดิจิทัลและทางกายภาพต่อไปเพื่อสร้างสภาพแวดล้อมที่บริษัทต่าง ๆ สามารถขยายธุรกิจได้อย่างมั่นใจและดำเนินธุรกิจที่ประสบความสำเร็จ และอุปสรรค เช่น โครงสร้างพื้นฐานที่ไม่เพียงพอในพื้นที่ชนบท มักทำให้ธุรกิจดำเนินธุรกิจอย่างมีประสิทธิภาพได้ยาก แม้ว่าความต้องการผลิตภัณฑ์และบริการดิจิทัลจะเพิ่มขึ้นในพื้นที่เหล่านี้แล้วก็ตาม นี่จึงเป็นเหตุผลว่าทำไมการลงทุนเชิงกลยุทธ์จึงมีความจำเป็นเพื่อลดต้นทุนในการให้บริการและเร่งการแปลงข้อมูลไปสู่รูปแบบดิจิทัลทั่วประเทศ

    อีกด้านที่รัฐบาลสามารถมีบทบาทสำคัญได้คือการขับเคลื่อนกรอบนโยบายตกลงร่วมกันจากหลายฝ่าย เช่น ข้อตกลงการกำกับดูแลข้อมูลทางการค้าและข้ามพรมแดน และมาตรฐานโครงสร้างพื้นฐาน การจัดตำแหน่งระหว่างประเทศสามารถช่วยให้ธุรกิจต่างๆ ให้บริการและเทคโนโลยีข้ามพรมแดน และกระตุ้นการเติบโตทั่วทั้งภูมิภาค หากปราศจากสิ่งนี้ไป การกระจายตัวของดิจิทัลอาจเป็นเรื่องท้าทายอย่างยิ่งสำหรับธุรกิจขนาดเล็กที่มีทรัพยากรน้อยกว่าในการดำเนินนโยบายต่าง ๆ 

โอกาสสู่ความก้าวหน้า

การศึกษาที่เกี่ยวข้องกับการเป็นผู้ประกอบการ สตาร์ทอัพ และนวัตกรรม (E-S-I) ในอาเซียนและเอเชียตะวันออก พบว่าผู้ประกอบการหญิง โดยเฉพาะใน SMEs ชั้นนำและธุรกิจโลคอล จะเป็นกลไกอันทรงพลัง ซึ่งจะทำให้อีคอมเมิร์ซในอาเซียนเติบโตอย่างต่อเนื่องในปี 2573 

อย่างไรก็ตาม เราจำเป็นต้องตรวจสอบให้แน่ใจว่าผู้นำหญิงมีโอกาสที่จะประสบความสำเร็จเช่นกัน ตั้งแต่สิทธิการเข้าถึงการเงิน โครงสร้างพื้นฐานอินเทอร์เน็ต และการฝึกอบรมอย่างเท่าเทียมกัน โครงการริเริ่มโดยองค์กรต่างๆ อย่างเช่น eTrade for Women ของ UNCTAD สามารถช่วยพัฒนาทักษะผู้ประกอบการหญิงและสร้างโอกาสข้ามพรมแดนได้ สุดท้าย เราไม่ควรลืมว่าการประกอบการที่ยั่งยืน ซึ่งมุ่งเน้นไปที่การพัฒนาโซลูชันนวัตกรรมเพื่อแก้ไขปัญหาสิ่งแวดล้อมเป็นแนวโน้มที่สำคัญ การทำงานร่วมกันหลายฝ่ายระหว่างภาครัฐ เอกชน และชุมชน จำเป็นต้องมีนโยบายและเงินทุนที่ช่วยให้เป็นไปได้องค์กรต่าง ๆ ได้ริเริ่มโครงการสนับสนุน เช่น eTrade for Women ของ UNCTAD ที่ช่วยเพิ่มทักษะให้กับผู้ประกอบการหญิง ทั้งนี้ ต้องไม่ลืมว่าสิ่งสำคัญว่าผู้ประกอบการที่ยั่งยืนจะต้องมุ่งเน้นการพัฒนาแนวทางที่เป็นนวัตกรรมเพื่อรับมือกับความปัญหาด้านสิ่งแวดล้อม การทำงานร่วมกันของผู้ถือประโยชน์ร่วมหลายฝ่ายระหว่างภาครัฐ เอกชน และสมาชิกในสังคมเป็นสิ่งจำเป็นในการสร้างนโยบายและเงินทุน

นอกจากนี้ยังมีช่องทางที่น่าสนใจมากมายให้สำรวจในตลาดเทคโนโลยีในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ แต่สตาร์ทอัพจะต้องจัดการกับปัญหาที่ซับซ้อนเพื่อเติบโตอย่างมีประสิทธิภาพ โดยมีกลยุทธ์หลัก ได้แก่ การยอมรับพาร์ทเนอร์ การใช้ประโยชน์จากการสนับสนุนจากรัฐบาล และการส่งเสริมการไม่แบ่งแยกและความยั่งยืน 

ขณะเดียวกันความสำเร็จของการดำเนินการยังขึ้นอยู่กับการจัดการความรู้ที่มีประสิทธิภาพระหว่างผู้มีส่วนได้ส่วนเสียต่าง ๆ ไม่ว่าจะเป็นลูกค้า คู่ค้า พนักงาน และรัฐบาล อย่างไรก็ตาม เมื่อแนวทางดั้งเดิมในการจัดการความรู้ที่มีการวิจัย สร้าง และบำรุงรักษาฐานความรู้ด้วยตนเองนั้นใช้งานไม่ได้และไม่มีการเติบโต ความก้าวหน้าทางด้าน AI โดยเฉพาะอย่างยิ่งเฟรมเวิร์ก Agentic AI จะสามารถเข้ามาช่วยเพิ่มความเร็วและขยายการเติบโตที่จำเป็นสำหรับการจัดการความรู้ที่ประสบความสำเร็จได้

ลงทะเบียนเข้าสู่ระบบ เพื่ออ่านบทความฟรีไม่จำกัด

No comment

RELATED ARTICLE

Responsive image

AI จะเป็น ‘ผู้กอบกู้’ หรือ ‘ผู้ทำลาย’ การ์ตูนญี่ปุ่น

เมื่อประตูสู่วัฒนธรรมและเสาหลักทางเศรษฐกิจของประเทศญี่ปุ่นอย่าง อนิเมะและมังงะกำลังถูก AI แทรกแซง อนาคตของวงการนี้จะเป็นยังไง ?...

Responsive image

เจาะลึกเทรนด์ Spatial Computing จุดเปลี่ยนสำคัญสำหรับองค์กรยุคใหม่

Spatial Computing คือเทคโนโลยีที่ผสานโลกเสมือนจริงและโลกจริงเข้าด้วยกัน ซึ่งมีศักยภาพในการเปลี่ยนแปลงวิธีการทำงานขององค์กรในยุคดิจิทัล ตั้งแต่การออกแบบผลิตภัณฑ์ไปจนถึงการฝึกอบรมและ...

Responsive image

ถอดกลยุทธ์ ‘ttb spark academy’ ปั้น Intern เพิ่มคนสายเทคและดาต้า Co-create การศึกษาคู่การทำงานจริง

ทีเอ็มบีธนชาต หรือ ทีทีบี (ttb) เห็น Pain Point ว่าประเทศไทยขาดกำลังคนด้านดิจิทัล (Digital Workforce) และธนาคารก็ต้องการคนเก่ง Tech & Data จึงจัดตั้ง ‘ttb spark academy’ เพื่อปั้น ...