ไม่ใช่เพียงแค่สาว ๆ แต่หนุ่ม ๆ เองก็ต้องชอบสินค้าหรู (Luxury Goods) หรือสินค้าแบรนด์เนมกันอย่างแน่นอน จะเห็นได้ว่าในช่วงที่ผ่านมามีแบรนด์หรูมากมายกลายเป็นที่รู้จักมากขึ้น และกลายเป็นความต้องการของตลาดมากขึ้น อย่างเช่น แบรนด์ Celine ที่คนไทยหลายคนเพิ่งมารู้จักและให้ความสนใจ เพราะลิซ่า Blackpink เป็น Brand Embassador ให้แบรนด์นี้ และไม่ว่าสาวลิซ่าจะจับสินค้าตัวไหน ความต้องการกับมูลค่าในตลาดก็จะพุ่งสูงขึ้นทันที
นอกจากอิทธิพลของคนดังแล้ว โลกออนไลน์ที่อยู่ในมือทุกคน ทำให้ผู้บริโภคสามารถเข้าถึงสินค้าได้ง่าย ๆ เพียงปลายนิ้วสัมผัสสินค้าแบรนด์เนมก็มาอยู่ในมือของทุกคนได้ ทำให้ในช่วงที่ผ่านมาสินค้าแบรนด์เนมในตลาดมียอดขายเพิ่มขึ้นมหาศาลเลยทีเดียว
จากข้อมูลของ Bain & Company ชี้ว่า ยอดขายของสินค้าหรูเติบโตขึ้นมาตั้งแต่ปี 2020 โดยเฉพาะสินค้าสำหรับบุคคล (Personal Luxury Goods) ที่มียอดขายสูงกว่าช่วงก่อนโควิด-19 จะระบาดเสียอีก และมีการคาดการณ์ว่าสินค้าในตลาดแบรนด์เนมนี้จะเติบโตขึ้นอีกกว่า 29% จนมีมูลค่าถึง 2.9 แสนล้านดอลลาร์ หรือประมาณ 10 ล้านล้านบาท
ตลาดทั่วโลกตอนนี้กลับมาคึกคักอีกครั้ง ในช่วงสิ้นปี 2021 ที่ผ่านมา สหรัฐอเมริกามียอดซื้อ-ขายสินค้าหรูแบรนด์เนมเพิ่มขึ้น 50-60% ตั้งแต่ปี 2019 มียอดขายต่อปีสูงกว่า 9.3 หมื่นล้านดอลลาร์สหรัฐ คิดเป็น 31% ของตลาดโลก เช่นเดียวกันกับจีนที่ยอดซื้อสูงขึ้น อยู่ที่ 6.3 หมื่นล้านดอลลาร์ต่อปี คิดเป็น 21% ของตลาดโลก ในขณะเดียวกัน ตลาดอย่างญี่ปุ่นและยุโรปที่เคยเป็นแหล่งใหญ่ของโลกยังไม่ฟื้นตัว และคาดการณ์ว่าสองตลาดนี้จะกลับมามีชีวิตชีวาเหมือนก่อนโควิด-19 ระบาดอีกครั้งในปี 2023 (ญี่ปุ่น) และ 2024 (ยุโรป)
นอกจากสินค้าแบรนด์เนมมือหนึ่งแล้ว ยังมีอีกหนึ่งตลาดที่กำลังโตแบบก้าวกระโดดนั่นก็คือ ตลาดสินค้าแบรนด์เนมมือสอง ที่มีคนให้ความสนใจไปที่ตลาดนี้เยอะมาก ด้วยราคาที่ไม่สูงเท่ามือหนึ่ง บวกกับเทรนด์ต่าง ๆ ทั้งจาก Influencers ในโลกออนไลน์ เทรนด์เรื่องความยั่งยืน ไปจนถึงการเพิ่มขึ้นของร้านค้ามากมายในโซเชียลมีเดีย ตลาดสินค้ามือสองจึงเติบโตขึ้นมาก โดยในปี 2021 ตลาดสินค้าแบรนด์เนมมือสองมีมูลค่าสูงถึง 3.3 หมื่นล้านดอลลาร์สหรัฐ หรือประมาณ 1.17 ล้านล้านบาท
โลกออนไลน์และโควิด-19 ตัวเร่งให้ตลาดแบรนด์เนมมือสองโต
ต้องยอมรับว่าโควิด-19 เข้ามาเป็นตัวขับเคลื่อนหลายอย่างในโลกปัจจุบัน รวมไปถึงตลาดสินค้าแบรนด์เนมที่ต้องขยับขยายไปสู่ช่องทางอื่นเพื่อให้ลูกค้าเข้าถึงได้ในช่วงล็อกดาวน์ บวกกับช่วงเวลาที่เทคโนโลยีเข้ามามีบทบาทกับชีวิตของผู้บริโภคมากขึ้น ช่องทางออนไลน์จึงเป็นตัวเลือกที่ดีให้กับแบรนด์ในการขยายตลาด
ในปี 2021 หลังจากปลดล็อกดาวน์ การเปิด Shop ของแบรนด์ต่าง ๆ รวมไปถึงผู้ให้บริการจำหน่ายสินค้าแบรนด์เนมมือสองทำให้การซื้อ-ขายสินค้าที่หน้าร้านมีความคึกคักมากขึ้น แต่ช่องทางออนไลน์ก็ยังนับว่าเป็นอีกโอกาสที่แบรนด์ต่าง ๆ ต้องการจะคว้าไว้ ตัวอย่างเช่นแบรนด์ Prada ได้มีการเตรียมสร้างพาร์ทเนอร์กับแพลตฟอร์มขายแบรนด์เนมมือสองรายใหญ่ของสหรัฐอเมริกา หลังจากที่แบรนด์ Gucci ได้จับมือกับ RealReal แพลตฟอร์มสินค้าแบรนด์เนมมือสอง เพื่อลุยตลาดสินค้ามือสอง ในขณะเดียวกันทาง Burberry ก็ได้จับมือเป็นพาร์ทเนอร์กับ My Wardrobe HQ แพลตฟอร์มให้เช่าและขายสินค้าหรูมือสอง โดยจะบริจาคสินค้า 30 ชิ้น (ซึ่งส่วนใหญ่เป็นสินค้ามือสอง) และจะมอบ 40% ของยอดขายให้กับองค์กร Smart Work
จะเห็นได้ว่าแบรนด์ใหญ่ ๆ หันมาจับมือกับพาร์ทเนอร์ที่เรียกได้ว่าเป็นเจ้าใหญ่ขายสินค้ามือสองออนไลน์ ทั้งนี้ เพื่อเข้าถึงลูกค้ากลุ่มใหม่ ๆ ที่มีความชื่นชอบในสินค้าแบรนด์เนม แต่ไม่สามารถเข้าถึงสินค้าในราคาที่สูงมาก ๆ ได้
โดยภาพรวมแล้ว ตลาดออนไลน์เติบโตขึ้นมาต่อเนื่อง โดยในปี 2020 โตขึ้นมาแบบก้าวกระโดดกว่า 50% จากปี 2019 และขยายตัวขึ้นมาเรื่อย ๆ ซึ่งนับว่าเป็นตัวขับเคลื่อนที่ดีของแบรนด์ต่าง ๆ
เทรนด์ความยั่งยืน (Sustainability) สู่ความต้องการของมือสองที่เพิ่มขึ้น
Sustainability หรือ ความยั่งยืน เป็นตัวขับเคลื่อนที่ชัดเจนที่แบรนด์หรูหลายแบรนด์ปรับมาขายสินค้ามือสองมากขึ้น โดยการเล็งเห็นความสำคัญด้านความยั่งยืนนี้ ส่งผลให้มูลค่าของสินค้ามือสองเพิ่มมากขึ้นในหลายทิศทาง
ข้อดีข้อแรกของการส่งสินค้ามือสองสู่ตลาด คือ ช่วยยืดอายุการใช้งานของวัสดุที่นำมาผลิตสินค้า เพราะอย่างที่ทราบกันดีว่า สินค้าแบรนด์เนมผลิตมาจากวัสดุคุณภาพดี และผลิตด้วยกรรมวิธีที่ต้องการให้สินค้าสามารถใช้งานซ้ำ มีอายุการใช้งานที่ยาวนาน หรือให้สินค้าสามารถขายซ้ำ ๆ ได้
นอกจากคุณภาพที่สามารถใช้ซ้ำได้หลายครั้งแล้ว การเพิ่มเรื่องราวให้กับสินค้า ช่วยให้สินค้ามีราคาสูงขึ้น และเพิ่มความต้องการในตลาดขึ้น อย่างเช่น ยอดขายของ Chanel เพิ่มขึ้นกว่า 500% หลังจาก Karl Lagerfeld เสียชีวิต ส่งผลให้สินค้า Chanel บางตัวมีมูลค่าเพิ่มมากขึ้น รวมไปถึงสินค้าที่เป็นมือสอง
อิทธิพลจากคนดังในโลกออนไลน์
ทั้ง TikTok, Facebook, Twitter และ Instagram แหล่งรวมศิลปิน คนดัง มากมายที่เรียกได้ว่าเป็นปัจจัยสำคัญของผู้บริโภคในการตัดสินใจเลือกซื้อสินค้าแบรนด์เนม จากผลสำรวจของ Bain & Company พบว่า Millennials และ Gen Z จะมีการซื้อสินค้าแบรนด์เนมเพิ่มมากขึ้นกว่า 70% ภายในปี 2025 และคนใน 2 เจนเนอเรชันนี้ส่วนใหญไม่กลัวที่จะซื้อผ่านช่องทางออนไลน์
อย่างไรก็ตาม อิทธิพลของคนดังในโลกออนไลน์ ส่งผลให้ความต้องการในสินค้าแบรนด์เนมมีมากขึ้น แต่ด้วยข้อจำกัดในด้านต่าง ๆ ทำให้สินค้ามือสองเป็นที่น่าสนใจในตลาดปัจจุบัน
ซื้อไว้เพื่อการลงทุน
นอกจากการซื้อสินค้าหรูแบรนด์เนมเพื่อสนองความต้องการและความพึงพอใจของตัวเองแล้ว สาวกแฟชันยุคใหม่ยังมองว่าการลงทุนในสินค้าแบรนด์เนมเป็นการลงทุนที่น่าสนใจอีกด้วย
ตามกล่าวมาข้างต้นว่า สินค้าแบรนด์เนมบางตัวอาจจะมีราคาสูงขึ้นเป็นเท่าตัว กลายเป็นสินค้า Rare item ของตลาด หายาก มีการผลิตออกมาน้อย หรือหากสินค้ามีสตอรี่ มีคนดังคนไหนหยิบขึ้นมาใช้อีกครั้ง สินค้าชิ้นนั้นจะกลายเป็นความสนใจในตลาดทันที และการขายต่อเป็นมือสองก็อาจจะเพิ่มมูลค่าให้กับสินค้ามากกว่าตอนที่ซื้อมาเสียด้วยซ้ำ
จากข้อมูลของ SF Brandname ผู้ให้บริการครบวงจรเกี่ยวกับธุรกิจสินค้า Luxury มือสอง ที่มีเครื่องมือในการจัดการ Data หลังบ้านให้ข้อมูลว่า มี 3 แบรนด์ที่เป็นแบรนด์สินค้ายอดนิยมสำหรับการลงทุน นั่นก็คือ Hermès, Louis Vuitton และ Chanel
อย่างไรก็ตาม การเลือกซื้อสินค้าแบรนด์เนมมือสองนั้น ยังคงมีความเสี่ยงอยู่หลายอย่าง ตัวอย่างเช่น สินค้าเป็นของปลอม สินค้าเลียนแบบมีความคล้ายคลึงกับของจริงมาก จนต้องอาศัยความเชี่ยวชาญของผู้รู้ในการช่วยดูสินค้า เพราะถึงแม้ว่าจะเป็นสินค้ามือสอง แต่ราคาของแบรนด์เนมบางตัวก็ยังสูงมาก ดังนั้น การเลือกซื้อสินค้าแบรนด์เนมมือสองจึงต้องดูแหล่งที่น่าเชื่อถือ ไว้ใจได้ มีผู้เชี่ยวชาญคอยให้คำปรึกษานั่นเอง
จากข้อมูลของ SF Brandname ผู้ให้บริการครบวงจรเกี่ยวกับธุรกิจสินค้า Luxury มือสอง แหล่งรวมสินค้าแบรนด์เนม ศูนย์กลางการซื้อ ขาย และฝากขายสินค้าแบรนด์เนมมือสอง ชี้ถึงพฤติกรรมที่เปลี่ยนแปลงไปของผู้บริโภคคนไทยไว้ ดังนี้
สำหรับ SF Brandname นั้นเริ่มต้นมาจากการเปิดเว็บไซต์รับซื้อ-ขายสินค้าแบรนด์เนมมือสอง ก่อนที่จะมีการเปิดสาขา และขยายเป็นบริการแบบผสมผสาน เพื่อปรับให้เข้ากับพฤติกรรมของลูกค้าที่เปลี่ยนไป โดยยอดขายหน้าร้านอยู่ที่ 1 ใน 4 ของยอดขายออนไลน์ ซึ่งผู้ซื้อสามารถเข้าไปชม ตรวจสอบ และสัมผัสสินค้าแบรนด์เนมได้ด้วยตนเอง พร้อมทั้งมีพนักงานที่มีประสบการณ์คอยให้คำแนะนำ และส่งมอบสินค้าให้กับลูกค้าได้จริง
ในขณะเดียวกันเทรนด์ด้าน Sustainability หรือความยั่งยืนที่กำลังมาแรงในปัจจุบัน ทำให้เกิดกระแสตอบรับที่ดีมาก ทำให้คนไทยหันมาเล่นสินค้าแบรนด์เนมมือสองมากขึ้น และหากมีการเพิ่มคุณค่าให้กับสินค้า มีการบริการที่ดีทั้งก่อนและหลังการขาย สิ่งเหล่านี้ก็จะเป็นตัวขับเคลื่อนให้สาวกแบรนด์เนมมองสินค้ามือสองมากขึ้น
ซึ่งจากผลการจัดงาน Mega Sale Event ที่มีมาตั้งแต่ปี 2019 ชี้ให้เห็นข้อมูลบางส่วนว่า ยอดขายสินค้าแบรนด์เนมมือสองเติบโตขึ้นอย่างต่อเนื่องและมีโอกาสจะโตขึ้นอีกมาก โดยได้รับรายงานจากทาง SF Brandname ที่เป็นผู้จัดงานว่า ยอดขายภายในงานครั้งแรกจนถึงงานครั้งล่าสุดในปี 2021 มียอดเติบโตขึ้นกว่า 530% และในปี 2022 นี้ มีแผนจะจัดงานอีก 2 ครั้ง โดยตั้งเป้ายอดขายเฉพาะงาน Offline Event ไว้ที่ 1,100% จากปีแรก
จากข้อมูลข้างต้น จะเห็นได้ว่าความสนใจของคนไทยต่อสินค้าแบรนด์เนมมีเพิ่มมากขึ้น โดยเฉพาะอย่างยิ่งกับสินค้ามือสอง ซึ่งเป็นอีกหนึ่งทางเลือกของคนยุคใหม่ที่ชื่นชอบแบรนด์เนม ทั้งช่วยลดต้นทุนให้ผู้ซื้อ เพิ่มโอกาสในการเข้าถึงแบรนด์ที่ไม่เคยเข้าถึงมาก่อน รวมไปถึงเปิดช่องทางใหม่ให้กับแบรนด์เข้าถึงลูกค้ากลุ่มใหม่ ในขณะเดียวกันก็ยังมีส่วนช่วยในเรื่องของความยั่งยืนอีกด้วย
และสำหรับใครที่เป็นสาวกแบรนด์เนม ทาง SF Brandname กำลังจะมีงาน Mid Year Sale อีกครั้ง ซึ่งจะจัดขึ้นในวันที่ 8-14 กรกฎาคมนี้ และ Mega Sale ในปลายปีนี้ นับว่าเป็นงาน Sale ที่ใหญ่ที่สุดใน Southeast Asia ผู้ที่สนใจเข้าชมงานหรือฝากขายสินค้าของตัวเอง สามารถติดตามข้อมูลเพิ่มเติมได้ที่: https://bit.ly/3OMApHQ
ลงทะเบียนเข้าสู่ระบบ เพื่ออ่านบทความฟรีไม่จำกัด