ช่วงที่ผ่านมา เวลาพูดถึงการสร้างสตาร์ทอัพ เรามักคิดถึงการวิ่งหานักลงทุน กู้เงิน หรือเปิดรอบระดมทุน VC (Venture Capital) เพื่อให้ได้เงินก้อนโตมาขยายทีม แต่ในความจริงแล้ว วิธีนี้ไม่ใช่ทางเดียวอีกต่อไป เพราะตอนนี้มีแนวคิดใหม่ที่เรียกว่า Seed Strapping
ไอเดียรูปภาพจาก: gohub.vc
Seed Strapping คือ การผสมผสานระหว่าง Bootstrapping (ใช้เงินตัวเองล้วน ๆ) กับการระดมทุนรอบ Seed โดยวิธีนี้จะระดมทุนเพียงรอบเดียวก่อน แล้วหลังจากนั้นใช้รายได้ของบริษัทเป็นเชื้อเพลิงในการโตต่อ ไม่ต้องพึ่งพารอบ A, B, C แบบที่สตาร์ทอัพยุคก่อนนิยมทำ
หากอธิบายให้เห็นภาพง่ายๆ ให้ลองนึกภาพการสร้างสตาร์ทอัพ 3 แบบนี้ อาทิ
ซึ่ง Seed Strapping คือ ตรงกลางระหว่างสองแบบนี้ โดยผู้ก่อตั้งจะระดมทุนรอบ Seed เพียงครั้งเดียว เพื่อให้มีเงินตั้งต้นพอที่จะทำงานเต็มเวลา ขยายทีมเล็ก ๆ และเริ่มทำตลาด หลังจากนั้นก็ใช้รายได้จริงของบริษัทมาเลี้ยงและขยายต่อ ไม่ต้องเปิดรอบใหม่ไปเรื่อย ๆ
หรือก็คือการใช้เงินทุนก้อนแรกจาก Seed เพื่อพาบริษัทไปสู่กำไรและเติบโตอย่างยั่งยืน โดยไม่ต้องวิ่งหานักลงทุนเพิ่มตลอดเวลา ซึ่งข้อดีคือ ผู้ก่อตั้งยังคงมีอิสระในการตัดสินใจสูง ไม่ถูกนักลงทุนเข้ามากดดันมาก และยังได้ประโยชน์จากการมีนักลงทุนรอบแรก เช่น ความน่าเชื่อถือ เครือข่าย และคำแนะนำ แต่ไม่ต้องเจอแรงบังคับให้โตแบบเร็วเกินไปจนเสี่ยงล้ม
หลังโควิด-19 ผ่านไป บรรยากาศการลงทุนไม่เหมือนเดิมอีกต่อไป เงินทุนจาก VC ที่เมื่อก่อนหลั่งไหลเข้ามาไม่หยุด ตอนนี้เริ่มหายากขึ้น นักลงทุนก็ระวังตัวมากกว่าเดิม เลือกลงทุนเฉพาะบริษัทที่มั่นใจจริง ๆ ว่าจะไปได้ไกล ทำให้สตาร์ทอัพที่เคยพึ่งรอบใหญ่ ๆ เจอความท้าทายหนักกว่าเดิม
อีกประเด็นที่หลายคนเริ่มมองเห็นก็คือ เงินจาก VC ไม่ได้มาพร้อมอิสระ เพราะถ้ารับเงินเยอะ ก็ต้องเจอกับความคาดหวังสูง โตให้ไว โตให้แรง แบบ Growth at all costs ซึ่งฟังดูดี แต่ความจริงคือเสี่ยงมาก หลายบริษัทขยายเร็วเกินไปจนระบบไม่รองรับ สุดท้ายก็ไปไม่รอด
นอกจากนี้ยังมีสิ่งที่เปลี่ยนเกมมากที่สุดในตอนนี้ นั่นก็คือ AI และ Automation ที่เข้ามาช่วยสตาร์ทอัพมาก เพราะแค่ทีมเล็ก ๆ ก็สามารถทำงานได้เทียบเท่าทีมใหญ่ เพราะใช้เทคโนโลยีลดต้นทุนแรงงาน ทำงานเร็วขึ้น มีประสิทธิภาพมากขึ้น แบบที่เมื่อก่อนทำไม่ได้
ทั้งหมดนี้ทำให้ Seed Strapping กลายเป็นตัวเลือกที่น่าสนใจ เพราะเริ่มด้วยเงินรอบ Seed แค่ก้อนเดียว แล้วหลังจากนั้นก็ใช้รายได้จริงของบริษัทในการโตต่อ ไม่ต้องวิ่งหาทุนใหม่ทุกปี แถมยังคุมทิศทางธุรกิจได้ด้วยตัวเองอย่างเต็มที่

สไลด์นี้จาก Marc Manara, Head of Startups จาก OpenAI ได้เผยแพร่ในงาน OpenAI x SCB 10X: From API to Impact – How OpenAI Empowers Startups
ซึ่งเราจะเห็นได้ชัดเจนว่าแนวทาง Seedstrapping ไม่ใช่แค่ทฤษฎี แต่เกิดขึ้นจริงกับหลายบริษัทที่เรารู้จักดี หลายทีมเริ่มจากเล็ก ๆ แต่สามารถสร้างรายได้มหาศาลในเวลาไม่นาน โดยอาศัยทุนตั้งต้นรอบเดียว แล้วโตต่อด้วยรายได้จริงของธุรกิจ อาทิ
ก่อตั้งโดยทีม MIT ในปี 2022 มีทีมเพียง 20 คน แต่สามารถสร้างรายได้ต่อปี (ARR) สูงถึง 250 ล้านดอลลาร์ ภายในเวลาแค่ 21 เดือน นี่คือหนึ่งในสตาร์ทอัพ SaaS ที่เติบโตเร็วที่สุดของโลกเลย
นี่คือหนึ่งในสตาร์ทอัพที่หลายคนรู้จักกันดี ผู้พัฒนาเครื่องมือ text-to-image generator โดยใช้ Discord และเว็บเป็นช่องทางหลักในการใช้งาน เปิดตัวในปี 2022 โดยซีอีโอ David Holz (ผู้ร่วมก่อตั้ง Leap Motion) ซึ่งมีทีมแค่ 10 คน แต่สามารถทำรายได้ 200 ล้านดอลลาร์สหรัฐฯ ภายใน 24 เดือน
มีทีม 15 คน สร้างรายได้ 40 ล้านดอลลาร์ ในเวลา 2 ปี
อีกหนึ่งทีมเล็ก 15 คน แต่ทำรายได้ 50 ล้านดอลลาร์ ได้ในเวลาเพียง 2 เดือน
นี้ก็เป็นอีกหนึ่งตัวอย่างที่โหดสุดๆ เพราะใช้ทีมเพียง 2 คน แต่ปั้นรายได้ถึง 10 ล้านดอลลาร์ ภายใน 12 เดือน
ใช้ทีม 9 คน กับเวลา 2 ปีสร้างรายได้ 10 ล้านดอลลาร์ ต่อปี
สิ่งที่น่าสังเกตจากทุกบริษัทนี้คือ จำนวนทีมไม่ใหญ่มาก แต่ผลลัพธ์มหาศาล ซึ่งเกิดขึ้นได้เพราะโมเดล Seed Strapping ทำให้ผู้ก่อตั้งไม่ต้องวิ่งหาทุนรอบต่อไปให้เสียเวลา แต่เลือกโฟกัสกับการสร้างรายได้จริง ใช้เทคโนโลยีและ AI เข้ามาช่วยลดต้นทุนแรงงาน ขยายธุรกิจได้เร็วและมีประสิทธิภาพ
ทั้งหมดนี้คือภาพที่ชัดเจนว่า การโตแบบ Lean และ Smart กำลังกลายเป็นมาตรฐานใหม่ของสตาร์ทอัพ โดย Seedstrapping เป็นแนวทางที่ช่วยให้ทีมเล็กๆ สร้างผลลัพธ์ใหญ่ได้จริง
ลงทะเบียนเข้าสู่ระบบ เพื่ออ่านบทความฟรีไม่จำกัด