ทำไม Spotify ต้องปรับ Free Package ให้มีฟีเจอร์ใหม่มากขึ้น หรือเพราะกลัว Apple Music ตีตื้น? | Techsauce

ทำไม Spotify ต้องปรับ Free Package ให้มีฟีเจอร์ใหม่มากขึ้น หรือเพราะกลัว Apple Music ตีตื้น?

มองให้ลึกเข้าไปในการเพิ่มฟีเจอร์ในกับผู้ใช้ Free Package บน Spotify อาจไม่ใช่แค่อำนวยความสะดวกหรือเพิ่มประสบการณ์ใหม่ ๆ ให้กับผู้ใช้ แต่อาจเป็นเพราะต้องการเพิ่มฐานผู้ใช้ให้แกร่งยิ่งขึ้น หลังจากในช่วงเดือนกุมภาพันธ์ที่ผ่านมามีรายงานว่าจำนวนผู้ใช้ Apple Music จะตีตื้นกับ Spotify ในช่วงอีกไม่กี่เดือนข้างหน้านี้ หรืออาจเป็นเพราะสาเหตุอื่นกันแน่? Photo: Spotify

ต้องยอมรับว่าตอนนี้ Spotify ก็ถูก Music Streaming พยายามเข้ามาแข่งขันอย่างต่อเนื่อง โดยเฉพาะจากเจ้าใหญ่ๆ เช่น Google (ที่มี Google Play Music), Apple (ที่มี Apple Music), Amazon (ที่มี Prime Music และ Amazon Music Unlimited) ซึ่งมีเงินทุ่มไม่งั้นเพื่อจ่ายเป็นรายได้ให้กับศิลปิน รวมไปถึงยังมีฐานผู้ใช้อุปกรณ์ของตัวเองในมืออีกด้วย

ถามว่าใครคือคู่แข่งโดยตรงของ Spotify คำตอบก็คือ Apple Music จาก Apple นั่นเอง

เนื่องจากต้นเดือนกุมภาพันธ์ที่ผ่านมา The Wall Street Journal รายงานว่ายอดผู้ใช้ของ Apple Music กำลังเติบโตสูงขึ้น และโตในระดับที่เร็วกว่า Spotify โดยระบุว่า Apple Music โต 5 เปอร์เซ็นต์ต่อเดือน ในขณะที่ Spotify โตประมาณ 2 เปอร์เซ็นต์ต่อเดือน

พร้อมวิเคราะห์ว่าถ้าหาก Apple Music ยังรักษาระดับการเติบโตแบบนี้ไว้ได้ คาดว่าอีก 2-3 เดือนข้างหน้านี้ ยอดผู้ใช้งาน Apple Music ในสหรัฐฯ จะแซง Spotify ได้สำเร็จ

ยอดผู้ใช้งาน Apple Music ทั่วโลก ที่ Techsauce รวบรวมมาได้

  • กันยายน 2017 มีผู้ใช้ 30 ล้านราย (The Wall Street Journal อ้างข้อมูลจาก Apple)
  • กุมภาพันธ์ 2018 มีผู้ใช้ 36 ล้านราย (The Wall Street Journal อ้างข้อมูลจาก Apple)
  • มีนาคม 2018 มีผู้ใช้ 38 ล้านราย (Eddy Cue, SVP of Internet Software and Services ของ Apple เผยข้อมูลบนเวที SXSW)
  • เมษายน 2018 มีผู้ใช้ 40 ล้านราย (Variety)

เปรียบเทียบกับ Spotify ข้อมูลล่าสุดระบุว่ามีผู้ใช้อยู่ที่ 157 ล้านรายทั่วโลก โดย 86 ล้านรายใช้บริการ Free Package อยู่ และผู้ใช้ 71 ล้านรายที่กำลังใช้ Premium Package อยู่ โดยเมื่อต้นปีเพิ่งประกาศว่ามีผู้ใช้ Premium Package ครบ 70 ล้านรายแล้ว

ความร้อนแรงของ Spotify คงหนีไม่พ้นการเข้าสู่ตลาดหลักทรัพย์เพื่อระดมทุนแบบ IPO ซึ่งกำลังต้องการต้องเพิ่มรายได้จำนวนมากให้กับตัวเอง รวมไปถึงยังสามารถผลักดันกลยุทธ์ (Strategy) เพื่อปกป้องตัวเองให้คงอยู่ต่อไปได้

ล่าสุดก็ร่วมมือกับผู้ให้บริการ Streaming รายอื่น เช่น Hulu ออกแพ็คเกจ Student Program (ล่าสุดเพิ่งออกแพ็คเกจให้บุคคลทั่วไปใช้ได้แล้ว) ที่สามารถใช้บริการทั้ง Hulu และ Spotify ได้ในราคาพิเศษ

ซึ่งการที่ Spotify ให้ความสำคัญกับการโฟกัสไปที่เพลงและการสร้างความเป็นมิตรกับศิลปินมากขึ้น ส่งผลดีให้กับอุตสาหกรรมดนตรีอย่างชัดเจน เห็นได้จากตัวเลขรายได้ของอุตสาหกรรมดนตรีกลับมาเพิ่มขึ้น หลังจากหลายปีที่ผ่านมามีรายได้ที่ซบเซาเป็นอย่างมาก

แน่นอนว่าเมื่อวันที่ 24 เมษายนที่ผ่านมา Spotify มีการเปลี่ยนแปลงหลายอย่างในแอปบนมือถือ แต่สิ่งที่เอามางัดข้อกับ Apple Music นั่นคือการปรับ Free Package

Apple Music | Photo: Apple

Spotify จึงเอาฟีเจอร์บางอย่างที่มีอยู่ใน Premium Package มาใส่ใน Free Package เพื่อให้ผู้ใช้ได้พบกับประสบการณ์ที่ดีขึ้น เช่น Personalized Artist, Playlist On-demand และ Song Recommendation

รวมถึงยังเพิ่มฟีเจอร์ Data Saver ที่จะคอยคำนวณว่าเพลงไหนที่ผู้ใช้น่าจะเล่นบ่อย และก็จะ Cache เก็บไว้โดยอัตโนมัติในช่วงที่ผู้ใช้เปิด Wi-Fi ใช้ โดย Spotify คาดการณ์ว่าจะช่วยให้ผู้ใช้ประหยัดค่า 3G หรือ 4G ถึง 75 เปอร์เซ็นต์ ซึ่งฟีเจอร์นี้เป็นผลดีต่อผู้ใช้ในบางประเทศที่ค่าบริการอินเทอร์เน็ตบนมือถือมีราคาสูง และการโปรโมทฟีเจอร์ Data Saver ยังเป็นการโปรโมท Spotify ไปยังกลุ่มประเทศอื่น ๆ ที่ดูใส่ใจผู้ใช้บริการนอกกลุ่มประเทศตะวันตกอีกด้วย

ถึงอย่างไรก็ตาม Spotify ยังคงฟีเจอร์สำคัญ อย่าง "การปิดโฆษณาระหว่างฟังเพลง" และ "การดาวน์โหลดเพลงไว้บนเครื่อง" ไว้ให้กับผู้ใช้บริการ Premium Package ต่อไป

ด้าน Jimmy Iovine ผู้บริหาร Apple ให้สัมภาษณ์กับ Music Business Worldwide เมื่อปีที่แล้ว โดยระบุว่ายังไม่มีแนวคิดที่จะเปิด Free Package กับ Apple Music แต่อย่างใด โดยระบุว่าถ้าตอนนี้ Apple Music เปิดให้ใช้ฟรี คงจะมีผู้ใช้ 400 ล้านราย แต่เขาเลือกที่จะไม่ทำแบบนั้น และมองว่าการเปิดให้บริการแบบฟรีเป็นเรื่องที่ผิดทางด้วย

“ผมไม่สนใจนะถ้าการพูดครั้งนี้จะทำให้ผมดูล้าหลัง, ดูทันสมัย, ดูหนุ่ม หรือดูแก่… ผมไม่แคร์!” Jimmy Iovine กล่าว

ในงานแุถลงข่าวเมื่อวันที่ 24 เมษายนที่ผ่านมา Troy Carter, Head of Creative Services ของ Spotify กล่าวว่า ระบบ Playlist ของ Spotify สามารถช่วยให้ศิลปินใหม่ได้มีโอกาสแจ้งเกิด “การให้บริการ Free Package แบบมีโฆษณา ไม่ใช่ว่ามีความสำคัญต่อธุรกิจของ Spotify ในฐานะผู้ส่งต่อให้คนมาใช้บริการแบบ Premium เท่านั้น แต่ตอนนี้ยังมีความสำคัญต่อศิลปินและ Creative ด้วย” Carter กล่าว “อุตสาหกรรม[ดนตรี]ก็รู้แล้วว่ามันเป็นโอกาสที่เติบโตมากขึ้น และกำลังใหญ่ขึ้นและใหญ่ขึ้นทุกวัน”


อ่านประกอบ


Gustav Söderström, Chief R&D officer of Spotify | Photo: TechCrunch

ในการสัมภาษณ์ Gustav Söderström, Chief R&D officer ของ Spotify เขาระบุว่าบริการของ Spotify ต่างจาก Apple และคู่แข่งรายอื่น ๆ เพราะเราให้บริการกับแฟนเพลงทุกกลุ่ม

“เรากำลังจะทำในสิ่งที่พวกเขา[ในที่นี้หมายถึง Apple Music]ทำได้แค่บน iOS ซึ่งคิดเป็น 40 เปอร์เซนต์ของทั้งโลก แต่เรา[Spotify]กำลังจะทำในสิ่งที่เราสามารถทำได้ทั้งหมด 100 เปอร์เซ็นต์ของโลกใบนี้” เขากล่าว โดยกล่าวเพิ่มเติมว่า Spotify แตกต่างจากคู่แข่งรายอื่นตรงที่ Spotify มี Core Mission คือ การช่วยให้บรรดาศิลปิน, นักแต่งเพลง และ Producer ได้มีรายได้

Chief R&D Officer ของ Spotify กล่าวว่า

ผมไม่คิดว่าบริษัทอื่น ๆ จะมีเป้าหมายที่จะเปิดให้ Creator นับล้านรายสามารถหารายได้จากผลงานของเขาได้

และระบุเพิ่มด้วยว่า Free package จะช่วยให้บริษัทไปถึงยังเป้าหมายได้ เพราะ การจะทำให้ทุกอย่างบรรลุผลได้ ต้องการสร้าง Scale ที่มีลักษณะสำคัญให้เกิดขึ้นให้ได้ก่อน

Spotify วางตำแหน่งของตัวเองหลังจากนี้ว่าจะเป็นกอบกู้อุตสาหกรรมเพลงให้กลับมาสดใสเหมือนในอดีตอีกครั้ง

“เรากำลังโฟกัสว่า ‘เราจะทำให้อุตสาหกรรม[ดนตรี]นี้กลับมายิ่งใหญ่ได้อย่างไร?’ … ถ้าคุณเปรียบเทียบความรักที่มีต่ออุตสาหกรรมดนตรี เปรียบเทียบกับอุตสาหกรรมอื่น ๆ เช่น ภาพยนตร์ จะเห็นว่าผู้สร้างไม่สามารถทำเงินได้มากพอ” Söderström กล่าว

เขากล่าวเสริมด้วยว่า ความเป็นอิสระของของ Spotify ที่เปิดรับ Partner ที่เป็นต้นตำรับของบริการดี ๆ เช่น Hulu มากกว่าที่จะทำบริการจากบริษัทตัวเองมาให้บริการ “เรามีความสามารถพอที่จะรวมเอาสิ่งที่ดีที่สุดมอบให้กับลูกค้า” เขากล่าว

อีกทั้งเขายังมองว่าการอัพเกรดหรือเพิ่มฟีเจอร์ให้กับผู้ใช้บริการฟรีจะไม่สร้างความผิดหวังกับผู้ใช้ Spotify Premium เพราะการเปลี่ยนแปลงครั้งนี้เกิดมาจากการใช้งานที่เพิ่มขึ้น และข้อมูลแสดงให้เห็นว่า ถ้าจะมีใครสักคนใช้ Spotify มากขึ้น สิ่งที่เป็นไปได้มากสุดคือพวกเขากำลังติดตามศิลปินคนใดคนหนึ่งอยู่

“นี่คือระบบที่มีประสิทธิภาพสุดเท่าที่เคยมีมา คุณสามารถเป็นผู้ใช้แบบฟรีได้ก่อน และหลังจากนั้นผู้ใช้งานฟรีจำนวน 40 เปอร์ฌซ็นต์จะเปลี่ยนมาเสียเงินให้กับเรา” Chief R&D officer ของ Spotify กล่าว

อ้างอิงข้อมูลจาก WIRED, Spotify และ The Wall Street Journal

ลงทะเบียนเข้าสู่ระบบ เพื่ออ่านบทความฟรีไม่จำกัด

No comment

RELATED ARTICLE

Responsive image

เปิดกลยุทธ์ธุรกิจยุคใหม่ พลิกข้อมูล สู่ขุมทรัพย์ด้วย analyticX ด้วยพลัง Telco Data Insights และ GenAI

ยุคนี้ใคร ๆ ก็พูดถึง Data แต่จะใช้ Data อย่างไรให้เกิดประโยชน์สูงสุดต่างหากคือกุญแจสำคัญ! ในสัมมนาสุดเอ็กซ์คลูซีฟ "Unlocking Data-Driven Decisions with Telecom Data Insights" ที่จั...

Responsive image

‘UOB Sustainability Compass’ เครื่องมือออนไลน์ด้านความยั่งยืน หนุน SMEs เปลี่ยน Vision เป็น Action

บทสัมภาษณ์ คุณอัมพร ทรัพย์จินดาวงศ์ และคุณพณิตตรา เวชชาชีวะ เกี่ยวกับ ‘UOB Sustainability Compass’ เครื่องมือออนไลน์ที่เข้ามาช่วย SMEs เริ่มดำเนินการด้านความยั่งยืนอย่างเข้าใจและไม...

Responsive image

Intel พลาดอะไรไป ? ทำไมถึงต้องเปลี่ยน CEO กะทันหัน ? ถอดบทเรียนราคาแพงจากยุค Pat Gensinger

การ ‘เกษียณ’ อย่างกะทันหันของ Pat Gelsinger อดีตซีอีโอ Intel ในต้นเดือนธันวาคม สร้างแรงสั่นสะเทือนไปทั่ววงการเทคโนโลยี หลายฝ่ายมองว่าเป็นการบีบให้ออกจากบอร์ดบริหาร อันเนื่องมาจากผล...