หากเปรียบเทียบกันตามอายุ แน่นอนว่า Startup อย่าง Claimdi Finnomena และ Choco CRM เป็นที่รู้จักในวงการมายาวนาน เรียกได้ว่าเป็น Startup รุ่นพี่ที่เติบโต และอยู่ใน Startup Ecosystem กว่า Startup รายอื่นๆ แต่ในทุกการเติบโตก็มีอีกหลายก้าวที่ต้องพัฒนาต่อ เพื่อมุ่งสู่จุดที่ทุก Startup ใฝ่ฝัน คือการเป็นยูนิคอร์น Techsauce ได้นั่งคุยกับ Startup ทั้ง 3 กับการเติบโตในช่วงเวลาที่ผ่านมา ปัญหาต่างๆ ของ Ecosystem ที่ยังทำให้ Startup ก้าวไม่ออก และหนทางในการ Scale up บริษัทไปอีกขั้นผ่านโครงการ LINE ScaleUp
คุณกิตตินันท์ อนุพันธ์หรือคุณแจ็ค CEO ของ Claimdi ได้เล่าให้ฟังว่า ภาพที่ทุกคนเห็น Claimdi คือ claim สำหรับประกันภัยรถยนต์ โดยหลังจากที่เข้าโครงการที่ช่วยสนับสนุนต่างๆ หลายโครงการ ทั้ง dtac accelerate และ LINE ScaleUp สิ่งที่เรียนรู้คือ ธุรกิจยังต้องโตไปอีกมหาศาล ถ้าอยากจะเป็น Unicorn จะทำการเคลมอย่างเดียวไม่ได้ ดังนั้นแผนที่ Claimdi วางไว้ก็ค่อยๆ ขยับ
“ภาพของ Claimdi ที่อยากให้ทุกคนมองวันนี้คือเราเป็นเพื่อนคนขับรถ ที่เชื่อมโยงระหว่างองค์กรที่คอยช่วยเหลือคนขับรถ เช่น บริษัทประกันต่างๆ กับลูกค้า (End-User) ที่เป็นกลุ่มคนขับรถทั่วไป โดยทีมงานคนขับของเราจะเป็นตัวกลางเชื่อมต่อเพื่อช่วยเหลือกลุ่มเป้าหมายเราสองกลุ่มนี้ โดยคนขับของเราไม่ใช่เป็นการส่งเอกสาร ส่งอาหารและส่งคนแบบทั่วไป แต่เป็นคนขับที่มี Hi-Skill คือต้องมีการอบรม เพื่อทำงานที่มันซับซ้อนและมีกระบวนการ เช่น เรื่องการเคลมประกันรถยนต์ โดยคนขับของเราสามารถช่วยตรวจสอบ หรือ inspect ให้กับบริษัทประกันภัยได้ นอกจากนี้ ในอนาคต เราก็พร้อมแล้วที่จะขยายไปในส่วนการตรวจสอบอื่นๆ เช่น โกดัง เรือ โรงงาน หรือแม้แต่เปิดบัตรเครดิต เป็นต้น ดังนั้นถ้าจะให้มองรูปแบบบริการของเราจึงเป็นแบบ B2B และ B2B2C ที่ช่วยเหลือทั้งองค์กร และผู้ใช้โดยตรง”
ขณะที่คุณเจษฎา สุขทิศ หรือคุณเจ็ท CEO ของ FINNOMENA ซึ่งเป็นหนึ่งในสตาร์ทอัพเนื้อหอมที่เพิ่งประกาศความสำเร็จเข้าสู่ซีรี่ส์ B รับต้นปี 2563 ที่ผ่านมา ได้เล่าให้ฟังถึงเป้าหมายที่ต้องการให้คนไทยมีชีวิตที่ดีขึ้น ด้วยการปลดล็อกศักยภาพการลงทุนให้กับคนไทยทุกคน
“Finnomena เป็นแพลตฟอร์มการบริหารเงินแบบครบวงจรสำหรับนักลงทุนและผู้ที่ต้องการปรึกษาด้านการลงทุนโดยตอนนี้ เรามีที่ปรึกษาด้านการลงทุน 1 แสนคนและจะเติบโตเป็น 2-3 แสนคนในอีก 10 ปีข้างหน้า เราจึงอยากเป็นแพลตฟอร์มให้คน 2 กลุ่มนี้ เราอยากให้ความรู้กับคนอย่างจริงจัง นอกจากนี้ เราเจอข้อเท็จจริงว่า การที่จะทำให้คนไทยมีเงินส่งลูกเรียนและมีเงินใช้หลังเกษียณนั้น สามารถทำได้โดยเอาเงินนั้นไปลงทุนแบบความเสี่ยงปานกลาง เช่น การลงทุนในกองทุน ซื้อ LTF/ RMF เราอยากให้คนไทยหัดลงทุนเพื่ออนาคต เพื่อตัวเองและครอบครัวมากกว่าการซื้อความสุขในปัจจุบัน เหลือจากการลงทุนแล้วเราค่อยเอาไปซื้อความสุขในปัจจุบันจะดีกว่า ดังนั้น เป้าหมายของเราคือ ทำให้คนมีความรู้เรื่องการลงทุนก่อน และ Unlock Your Investment Potential หรือปลดล็อกศักยภาพการลงทุนในตัวคุณให้ได้”
ด้านคุณสิรสิทธิ์ สุริยพัฒนพงศ์ หรือคุณไมค์ CEO ของ Choco CRM เล่าว่า “Product ของ Choco เป็นระบบ CRM (Customer Relationship Management) เรามีการทำ CRM ผ่าน Loyalty Program ให้กับธุรกิจหรือแบรนด์ต่างๆ คือให้ลูกค้าทั่วไปของแบรนด์นั้นๆ สามารถสะสมแต้มและร่วมกิจกรรม แคมเปญเพื่อชิงโชคผ่านระบบของเราที่สร้างไว้ จากนั้นระบบเราจะเก็บข้อมูล ส่งมาหลังบ้าน และให้แบรนด์ลูกค้าเราสามารถเข้าไปบริหารได้ โดยปัจจุบันสิ่งที่ Choco CRM โฟกัสทำอยู่คือการทำระบบผ่าน LINE Official Account เช่น ลูกค้าเปิดร้านอาหาร และมี LINE Official Account เราจะไปเชื่อมลิสต์เมนู จะมีระบบ member ที่เป็นแบบออนไลน์ให้ ซึ่งลูกค้าสามารถสมัครสมาชิกและซื้อบัตรสมาชิกได้เอง ก็ทำผ่านช่องทางนี้ได้เลย การที่เราดึงข้อมูลมานั้น เราดึงมาหลังจากที่ลูกค้าสมัครสมาชิกแล้ว หลังจากนั้นสามารถ Broadcast Choco จาก LINE ส่วนตัวลูกค้าได้เลยโดยลูกค้าเราจะแบ่งเป็น 2 กลุ่มคือ ลูกค้าที่มีหน้าร้าน เช่น ร้านตัดผม ร้านอาหาร กลุ่มที่สองคือกลุ่มที่เป็น corporate เช่น ธนาคาร”
คุณแจ็คเล่าว่า “เหตุผลที่เราร่วมกับ LINE เพราะเราอยากจะได้ C-Customer และอยากจะมีหน้า Interface กับทาง LINE โดยตรง ก่อนหน้านี้เราได้ทำโปรเจคทดลองกับ LINE MAN Taxi เช่น จะมีปุ่มเรียกตำรวจ SOS ระหว่างเรียกรถ ซึ่งมีคนกดจริง 5-10 คน และตำรวจก็โทรกลับทุกเคส เพราะเขาอยากสร้างความปลอดภัยให้ประชาชนอยู่แล้ว แม้ว่าบางครั้งจะเป็นการกดทดลองก็ตาม แต่การที่ตำรวจโทรกลับก็ทำให้เขาได้ความรู้สึกดีกลับมา และเกิดการบอกต่อ นี่คือความปลอดภัยทำได้ผ่านระบบของเรา เหมือนเราไม่ได้แค่คุยหรือเสนอทาง LINE อยู่ฝ่ายเดียว แต่ทาง LINE ก็มาร่วมทดลอง ร่วมทำกับเราด้วย เพราะเขาเข้าใจและคิดว่ามันมีประโยชน์จริงๆ”
ด้านคุณเจ็ทเผยว่า ต้องการให้ความรู้ด้านการเงิน การลงทุนผ่านทาง LINE TV, LINE Today ถ้าจะทำให้คนไทยมีชีวิตที่ดีขึ้น เราต้องทำให้คนไทยคิดได้ก่อนว่าสมควรจะเอาเงินไปลงทุนอะไรบ้าง
“เราเชื่อว่าในระยะยาว ถ้าเราทำไปเรื่อยๆ เราจะช่วยให้คนไทยฉลาดในด้านการเงินและการลงทุน เมื่อเราลงทุนเป็นและเก่งขึ้นเรื่อยๆ เราก็จะมีความสุขทางการเงิน ‘Financial Happiness’ ถ้าในมุมมองของคนไทย ผมอยากให้เขามอง Finnomena เป็นเพื่อนคู่คิดด้านการวางแผนการเงินและการลงทุนอันดับหนึ่งในใจคนไทยที่คอยดูแลเขาและรุ่นต่อไป นั่นคือสิ่งที่เราอยากจะเป็นในมุมมองของคนไทย และเชื่อว่า LINE เป็นแพลตฟอร์มและแรงสนับสนุนสำคัญให้เราถึงจุดนั้นได้”
คุณแจ็คเล่าว่า ธุรกิจของ Claimdi ไม่ได้เป็น B2C ตั้งแต่แรกทำให้เราไม่ได้มีความรู้หรือเข้าไปศึกษาพฤติกรรมของ Customer มากเท่าไร แต่เมื่อเรามาร่วมกับ LINE ก็เริ่มเข้าใจว่า เราต้องศึกษาให้มากขึ้นกว่าเดิมว่าทำอย่างไร Customer จึงจะชอบ ทำให้เราเข้ามาดู ศึกษาในแพลตฟอร์มของ LINE มากขึ้น พร้อมกับเทคโนโลยีของ LINE ที่เข้ามาช่วย ถ้าจะสรุปคร่าวๆ ก็คือ
นอกเหนือจากความรู้และเทคนิคมากมายที่เราได้จาก LINE ScaleUp แล้ว LINE ยังสามารถทำให้เราเข้าไปอยู่กับ C-Customer ได้มากขึ้นและลึกขึ้น และทำให้แผนที่จะไปต่อของ Claimdi นั้นมันเห็นทางสำเร็จได้ดี เวลาเราพรีเซ้นต์กับลูกค้า รู้สึกว่ามันทำให้เขามั่นใจและเชื่อถือเรามากขึ้น อย่าง Claimdi ถ้าขายแค่ประกัน มันแทบจะไปต่อไม่ได้เลย แต่เมื่อเรามาจับมือกับ LINE และไปด้วยโมเดลที่เชื่อถือได้ก็เกิดความมั่นใจ
ด้าน Choco CRM ได้แบ่งสิ่งที่ได้เรียนรู้จาก LINE ScaleUp ออกเป็น 3 เรื่องหลักๆ คือ
Choco CRM ได้เล่าถึงความตื่นเต้นของงาน Demo Day ที่ LINE ได้มีการเชิญคนมาจำนวนมากทั้ง เพราะไม่คิดว่า LINE จะเชิญคนมาเยอะ จริง ๆ มี VC, Investor, Corporate รวมถึงสื่อมาร่วมอย่างคับคั่งเมื่อปลายปี 2562 ที่ผ่านมา
“ผมมองว่างาน Demo Day เป็นประสบการณ์ที่ดีมาก เพราะหลังจากที่ไป pitching ก็มีนักลงทุนที่สนใจเข้ามาคุยด้วย 2-3 รายแล้ว”
คุณเจ็ท Finnomena : สำหรับวัน Demo Day ผมบอกกับคนในทีมเลยว่าถือเป็นโชว์ครั้งประวัติศาสตร์ของบริษัท โดยหลังจากที่เราปล่อยของออกไป ตอนนี้ก็มีธนาคารเข้ามาคุยด้วย การที่ LINE ร่วมกับ Startup นั้นมันเป็นการช่วย Startup อย่างมาก และทำให้เราเกิดสิ่งที่เรียกว่า Unfair Advantage ซึ่งเป็นอะไรก็ตามที่เราทำได้ แต่คนอื่นทำไม่ได้เหมือนเรา
คุณแจ็ค Claimdi: ทีมในวัน Demo Day มีทั้งหมดแค่ 6 ทีม คนที่เข้ามาก็ค่อนข้างเป็นกลุ่มปิด เพราะไม่ใช่ว่าใครก็สามารถเข้าได้ หลังจากนั้นก็มี investor เข้ามาคุยกับเรา 2-3 ราย ผมว่า Demo day งานนี้ค่อนข้างท้าทายและเข้มข้นกว่าที่อื่นอย่าง Accelerate หรือ Incubator เพราะเขารู้จักเราในระดับหนึ่งแล้ว แต่งานนี้คือเป็นนักลงทุนจากต่างชาติในระดับ Global ที่เราจะต้องทำยังไงก็ได้ให้พวกเขารับรู้ถึง Landscape ของประเทศไทยบ้านเราว่าเป็นยังไง แล้วบริการของสตาร์ทอัพเราจะไปช่วยสร้างสังคมให้ดีขึ้น ในขณะเดียวกันก็สร้างการเติบโตอย่างต่อเนื่องได้อย่างไร นับว่าเป็นอีกหนึ่งประสบการณ์ Demo Day ระดับสากลที่เข้มข้นอีกเวทีหนึ่งจริงๆ
คุณเจ็ท Finnomena: สิ่งที่เราเห็นคือโลกกำลังเข้าสู่ Digital Economy แต่เศรษฐกิจมวลรวมประชาชาติที่มาจากบริษัทของคนไทย GNP (Gross National Product Net) นั้นไม่มีเลย เรากำลังเสียเอกราชทางเทคโนโลยีให้กับ Big Tech Company ทั่วโลก ไม่ว่าจะเป็นอเมริกา เกาหลี จีน อินโดนีเซีย ฯลฯ ผมอยากเห็นคนไทยเป็นล้านคนใช้ Claimdi หรือ Finomena หรือบริการ แอปฯ ใดๆ ก็ได้ที่เป็นฝีมือคนไทยบ้าง ตอนนี้เราไปขายของอยู่บนแพลตฟอร์มของต่างชาติหมด ในขณะที่ต่างชาติอย่างประเทศจีน เขาไม่ให้ Facebook, Google เข้าประเทศเลย แต่เขาสร้าง Tencent, Alibaba มาให้คนในประเทศเขาได้ใช้ และตอนนี้ยังไปไกลยิ่งกว่าในประเทศจีนอย่างเดียวเสียด้วยซ้ำ
แต่ในประเทศไทยเรานั้น ระบบการสนับสนุนถือว่ายังค่อนข้างปิด อย่างดีที่สุดที่เราสามารถทำได้ คือการมี Big Tech Firm อย่าง LINE ให้โอกาสเรา
นอกจากนี้สิ่งที่เราต้องแก้คือเรื่องของ Mindset ถ้าเราออกไปตั้งกิจการตัวเองแล้วไปไม่รอด พ่อแม่ก็จะไม่เล่าใครเพราะอายคนอื่น ถ้ายังเลิก mindset แบบนี้ไม่ได้ ก็ลืมไปได้เลย ถ้าลูกออกไปทำกิจการตัวเองแล้วเจ๊ง ต้องภูมิใจในความกล้า แต่เจ๊งแล้วต้องลุกให้เร็ว ดังนั้น Mindset นี้ต้องเกิดกับคนไทยให้ได้
คุณแจ็ค Claimdi: ผมว่าช่วง 4-5 ปีที่ผ่านมา Startup มันขึ้นเป็น Scale ใหญ่แล้ว แต่ที่เจอปัญหาเหมือนกันหมดคือการ raise fund เป็นก้อนใหญ่ที่ค่อนข้างยากมาก เพราะต้องดูรอบต่อๆ ไปด้วยว่ามันสามารถไปต่อได้ขนาดไหนและด้วย ecosystem หลายๆ อย่างที่ไม่ค่อย support
สตาร์ทอัพไทยที่เป็น seed round ที่เราเห็นว่าได้ทุนนั้น ถ้าไม่ผ่านโครงการ Accelerate ต่างๆ ในเมืองไทย ซึ่งปัจจุบันก็ยังไม่ได้มีมากนัก มาสนับสนุน การผ่าน seed round ขึ้นมาได้แทบจะไม่มีเลย ซึ่งจริงๆ ผมมองว่ามีนักลงทุนที่อยากจะลงทุนเยอะอยู่ แต่ติดอยู่ที่ว่าใจไม่ถึงที่จะกล้าเสี่ยง ฉะนั้นก็กลายเป็นว่าสตาร์ทอัพเหล่านี้ก็ได้รับ funding ยากไปด้วย และด้วยเศรษฐกิจในช่วง 2 ปีที่ผ่านมา นักลงทุนต่างชาติก็ยังไม่มีการเข้ามาสำรวจดูสตาร์ทอัพไทยอย่างจริงจังซักเท่าไหร่ แต่ในช่วงปี 2563 นี้ เชื่อว่านักลงทุนต่างชาติจะเริ่มเข้ามาเยอะขึ้น เริ่มมีบางเจ้าที่เราไม่เคยเห็นหน้า แต่ก็นัดคุยเลยก็มี รวมถึงปัจจัยอื่นๆ อีกหลายประเด็น โดยเฉพาะที่ Claimdi เจอปัญหาคือเรื่องกฎหมาย
ผมคิดว่าส่วนขับเคลื่อนอีกหนึ่งส่วนที่สำคัญคือรัฐบาล ที่เราหวังให้มาช่วยแก้ปัญหาเรื่อง Seed Funding ทำอย่างให้สตาร์ทอัพใหม่ๆ เก่งๆ สามารถได้ Seed Funding ได้ สามารถโตขึ้นได้และมีจำนวนเยอะขึ้น ซึ่งการมีจำนวนเยอะขึ้นมันก็ทำให้อุตสาหกรรมดีขึ้นไปด้วยในตัว ในขณะเดียวกัน สตาร์ทอัพส่วนที่เป็น Scale ใหญ่ที่จะใหญ่ต่อไปได้ ก็ต้องการแรงผลักดันจากภาครัฐเช่นเดียวกัน ใน Startup Thai Tech เราก็พูดกันมาหลายเวทีว่าจริงๆ แล้วต้องสร้าง unicorn ให้ได้ ถ้าสร้างไม่ได้ มันก็ยิ่งทำให้ investor กลับมามองประเทศไทยไม่ได้ ดังนั้นก็ไม่มีทางที่จะมี unicorn ตัวที่ 1 หรือ 2 หรือ 3 เกิดขึ้น
คุณไมค์ Choco CRM : ผมคิดว่าเรายังขาด Tech Developer อยู่ ฝั่ง corporate ใหญ่ๆ อย่างธนาคารเขา recruit คนที่เป็น tech ค่อนข้างเยอะ ถ้าเป็น Startup รายใหม่ที่เกิดขึ้นมา ถ้า founder ไม่เก่งด้าน tech จริงๆ มักจะทำให้ scale ค่อนข้างยาก เพราะถ้าจะจ้างคน ก็ต้องจ้างในระดับที่ต้องแข่งกับธนาคาร ซึ่งน่าจะเป็นสิ่งที่ทำให้สตาร์ทอัพไทยเติบโตได้ช้า ส่วนข้อดีของ ecosystem ในไทย ผมคิดว่า CVC ในไทยมีค่อนข้างเยอะ และการลงทุนของ CVC มันมีผลดีต่อสตาร์ทอัพไทย เพราะเขาลงทุนเพื่อเอา tech ของ Startup ไปใช้ต่อยอดเพื่อปรับใช้กับ product หรือบริการของเขาไปด้วยในตัว ซึ่งสุดท้าย มันก็เป็นผลดีกับทั้ง CVC, Corporate และ Startup ด้วยกันทุกฝ่าย
คุณแจ็ค Clamdi : ช่วงหลังๆ ผมรู้สึกว่าไอเดียจากสตาร์ทอัพบ้านเราเริ่มซ้ำ ไม่แตกต่าง เวลาไปฟัง pitch เยอะ มันออกมาค่อนข้างเหมือนกันหมดเลย อย่างปีนี้เด็กคิดแบบนี้ พอปีหน้าก็คิดแบบเดิม และไม่เคยกลับไปดูว่าเมื่อ 2 ปีก่อนก็มีคนเคยคิดแบบนี้ไปแล้ว และก็ยังอยากทำแบบเดิมอยู่ ไม่หาวิธีแก้ปัญหาใหม่ๆ อยากให้สตาร์ทอัพรุ่นใหม่ๆ เข้าใจปัญหาจริงๆ ไม่ใช่เห็นอะไรที่มันน่าทำและอยากทำก็ทำ แต่อยากให้เกิดจากที่เขาเห็นปัญหาหรือเจอกับตัวเขาเองจริงๆ และทำการบ้านให้ดี สำรวจให้ลึก วิเคราะห์ให้ครบ เหมือนที่ผมเคยพูดบ่อยๆ ว่าถ้าเราไม่เคยตกนรกและเราไม่เคยขึ้นมาจากนรกด้วยตัวเราเอง แล้วเราจะเขียนไบเบิลบอกคนอื่นได้อย่างไรว่าจะออกจากนรกอย่างไร
คุณเจ็ท Finnomena: ผมอยากฝากว่า ตอนนี้คนที่อยากทำอะไรด้วยตัวเองมันมีเยอะขึ้น วัฒนธรรมของการอยากเป็นผู้ประกอบการมันกลับมาในหมู่คนไทยมากขึ้นเรื่อยๆ แต่เราต้องหาสิ่งที่เราชอบ หรือสิ่งที่เรามี passion ให้เจอก่อน ว่ามันคืออะไร ผมเชื่อว่าคนเราต้องทำในสิ่งที่ตัวเองรักและสิ่งที่ตัวเองชอบ พอเจอแล้วมันจะเกิดความขยันขึ้นเองโดยอัตโนมัติ อย่างผมชอบเรื่องลงทุน ผมก็อ่านเรื่องลงทุนได้แม้ในเวลาว่าง หาสิ่งที่ตัวเองชอบแล้วเราจะอินและขยันไปกับมัน วันหนึ่งเราจะก่ง พอเก่งแล้ว กระบวนการเกิด Unfair Advantage นั่นคือเราต้องเก่งในสิ่งที่เราทำมากกว่าคนอื่น ถ้ามันมีความหมายและสร้างประโยชน์ให้กับคนอื่นได้มาก มันจะกลายเป็นธุรกิจที่ประสบความสำเร็จ
คุณไมค์ Choco CRM : คนที่ทำไปแล้วก็ต้องสู้ต่อไป และสำหรับคนที่กำลังจะเริ่ม ผมอยากแนะนำให้ดูตลาดและ business ก่อนมาตั้งบริษัท ต้องดูว่ามันสามารถทำเงินได้ไหม ถ้าทำเงินไม่ได้ เราจะอยู่ได้ค่อนข้างสั้น
คุณไมค์ Choco CRM: ผมประทับใจ LINE ScaleUp กับการจัดรูปแบบโปรแกรมการสนันสนุนออกมาได้เป็นแบบแผนค่อนข้างดี ผมได้ไปหลายเวที แต่สิ่งที่ทำให้ LINE เด่นขึ้นมาคือ LINE เขาทำเรื่อง Tech อยู่แล้ว ฉะนั้นการที่เขาเปิดรับเราเข้ามาร่วมโครงการ เขามีเป้าหมายชัดเจนว่าอยากให้เข้าไปเชื่อมต่อ LINE API และทำให้ LINE แข็งแรงขึ้น ซึ่งโครงการอื่นอาจจะเป็น pitching เพื่อชิงเงินรางวัลมากกว่า แต่ของ LINE คือเมื่อ co-product กันแล้วทำให้แข็งแกร่งกันทั้งคู่ เรียกได้ว่าค่อนข้างเป็นโปรแกรมการสนับสนุนสตาร์ทอัพที่ชัดเจน และยังสร้างกิจกรรมผลักดันเราได้อย่างต่อเนื่อง ได้คุยกับสื่อหลายราย และได้เปิดประสบการณ์เรามากจากหลากหลายกิจกรรมที่ได้จัดให้เรา
คุณเจ็ท Finnomena เผยว่า “ผมชอบแนวคิดของ LINE ซึ่งตอนนี้ก็ถือว่า LINE win ทั้งตลาดประเทศไทยและคนไทยอยู่แล้ว นอกจากนี้ LINE ยังเปิดให้ผู้ประกอบการไทยอย่างเราร่วมสร้างคุณค่าของบริการให้ไปอยู่บนแพลตฟอร์มของ LINE ได้ อย่างไรก็ตาม ถ้า LINE จะทำเองทั้งหมดก็สามารถทำได้ แต่เขาไม่จำเป็นต้องทำทุกอย่างเองก็ได้”
“เมื่อก่อนเราจะเคยได้ยินคำว่า Incubator และ Accelerator แต่ LINE ScaleUp นั้นไม่ใช่ทั้งสองอย่าง แต่เป็นการสร้างคำศัพท์ใหม่ นั่นคือการช่วยทุกวิถีทาง ทำอย่างไรก็ได้ให้ธุรกิจทั้งของสตาร์ทอัพเองและของ LINE เองสามารถ Scale เลยไม่ต้องสงสัยว่าการจะสร้างโปรเจคหรือโปรแกรมที่มาช่วยผลักดันสตาร์ทอัพได้ในระดับนี้ จะต้องเป็นบริษัทที่เติบโตมาแล้วในระดับหนึ่งและเป็นองค์กรที่ชัดเจนกับภารกิจของตัวเองอย่าง LINE” คุณแจ็ค Claimdi กล่าวปิดท้าย
บทความนี้เป็น Advertorial
ลงทะเบียนเข้าสู่ระบบ เพื่ออ่านบทความฟรีไม่จำกัด