Stripe ผู้ให้บริการโครงสร้างพื้นฐานทางการเงินสำหรับธุรกิจ จัดงาน “Stripe Tour Singapore” ซึ่งเป็น User Event ครั้งแรกในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ ณ ประเทศสิงคโปร์ เมื่อวันที่ 27 กันยายน 2566 งานนี้เป็น Conference ที่รวมตัวธุรกิจ Partner ซึ่งใช้บริการ Stripe ในภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ เช่น META และ Tiket บริษัท OTA รายใหญ่จากอินโดนีเซีย นอกจากนี้ยังมี Demo Desk ของผลิตภัณฑ์ต่าง ๆ ที่มีอัพเดตและเน้นตอบโจทย์ธุรกิจในภูมิภาคนี้อีกด้วย เช่น อุปกรณ์ Unified POS, Checkout Suite ที่มีการปรับปรุงเน้นให้ชำระเงินได้ง่ายและรวดเร็วขึ้น

ในครั้งนี้ Stripe ได้เปิดตัวและอัพเดตผลิตภัณฑ์ Stripe ทั้งในกลุ่มระบบชำระเงิน (Payment) และกลุ่มบริการ Beyond Payment ที่พัฒนาขึ้น เพื่อขยายการตอบโจทย์ Pain Point ของลูกค้าธุรกิจผู้ใช้บริการ Stripe ด้วยการพัฒนาเป็นระบบจัดการรายได้หลังบ้าน  (Revenue and finance automation suite) สำหรับธุรกิจยุคใหม่ที่เน้นการเติบโตในโลก Digital และต้องการเพิ่มความสามารถในการแข่งขันแบบไร้พรมแดน

Internet Economy และบทบาทของ Payment Infrastructure อย่าง Stripe

Stripe เน้นย้ำบทบาทของ Payment Infrastructure ที่สามารถเป็นมากกว่าผู้ในบริการระบบชำระเงิน แต่มีส่วนในการพัฒนาเศรษฐกิจผ่านการเสริมความสามารถให้ธุรกิจสามารถซื้อขายสินค้าและบริการได้แบบไร้พรมแดน

Sarita Singh Regional Head and Managing Director, Southeast Asia, India and Greater China จาก Stripe กล่าวถึง ความมุ่งมั่นที่จะส่งเสริมความสามารถในการดำเนินธุรกิจสำหรับบริษัทที่ตั้งเป้าจะเติบโตในตลาดต่างประเทศ โดยให้มุมมอง จากข้อมูลธุรกิจในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ไว้ 3 ประเด็นหลัก

- Rapid Adoption of Online Commerce: ธุรกิจหันมาเป็นผู้เล่นใน Online Commerce มากขึ้น ส่วนลูกค้าโดยเฉพาะในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้นั้นมีอัตราการซื้อสินค้าและบริการผ่านช่องทาง Online สูงกว่าค่าเฉลี่ยทั่วโลก และผู้บริโภคก็มีความคาดหวังให้ประสบการณ์การชำระเงินเป็นไปอย่างสะดวก ราบรื่น รวดเร็ว และเป็นไปตามความต้องการเฉพาะบุคคลได้มากขึ้นตามไปด้วย

- Reglobalisation: จากรายงาน Digital trade report ของ Stripe ระบุว่า ภายในช่วง 2 ปีนี้ ธุรกิจกว่า 84% ในสิงคโปร์มองหาโอกาสในการขยายธุรกิจไปนอกประเทศ

- Evolution of Payment System: รูปแบบการรับชำระเงินที่เปลี่ยนแปลงไป มีทางเลือกมากขึ้น ทำให้การเพิ่มรายได้ของธุรกิจต่างๆ จึงขึ้นอยู่กับความสามารถที่จะสร้างประสบการณ์การชำระเงินที่ดีด้วยเช่นกัน

Stripe สร้าง Product แบบ Ecosystem เพื่อเป็น “หลังบ้านที่ดี” ให้กับธุรกิจยุคใหม่

^{Sarita Singh, Regional Head and Managing Director, Southeast Asia, India and Greater China, Stripe}

จากการสำรวจลูกค้าธุรกิจของ Stripe พบว่า “CFO ของธุรกิจในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ กว่า 89% ยังคงต้องใช้เวลาเกินกว่าครึ่งไปกับการแก้ปัญหางาน Back Office และกว่า 65% คิดว่าการขยายไปยังตลาดใหม่ ๆ ทำได้ยาก เพราะอาจต้องรับมือกับความซับซ้อนที่จะเกิดขึ้นในระบบการเงิน” เพราะภายหลังจากที่ลูกค้าได้ชำระเงินแล้ว การจัดการรายได้ต่อจากนั้น โดยเฉพาะในตลาดต่างประเทศ ยังมีขั้นตอนที่ซับซ้อนและใช้เวลามาก เช่น ภาษี และระเบียบข้อบังคับต่าง ๆ จนเป็นอุปสรรคกับการเติบโตของธุรกิจ

^{Vivek Sharma, Head of Revenue & Finance Automation and Platform & Ecosystem, Stripe}

Vivek Sharma  Head of Revenue & Finance Automation and Platform & Ecosystem จาก Stripe ได้ให้สัมภาษณ์กับ Techsauce ถึงแนวทางที่ Stripe ได้พัฒนาการให้บริการในกลุ่ม Beyond Payment เพื่อแก้ Pain Point ดังกล่าว และถือว่าเป็นการขยายไปในแนวทางการพัฒนาผลิตภัณฑ์แบบ Ecosystem ด้วย “ระบบ Revenue and Finance Automation” นี้จะช่วยบริหารจัดการรายได้อย่างครบวงจร ตั้งแต่เรื่อง Billing ภาษี รายจ่าย และนำมาซึ่งการใช้ข้อมูลไปสร้างการเติบโตและสร้างรายได้ของธุรกิจต่อไป ระบบ Revenue and Finance Automation นี้เชื่อมต่อ Product ต่าง ๆ ของ Stripe เข้าด้วยกันเป็น Ecosystem เพื่อจัดการโครงสร้างธุรกิจ ตั้งแต่การออก Billing การจัดการภาษี การรายงานรายได้ และการวิเคราะห์ข้อมูล โดยสามารถปรับเปลี่ยนและพัฒนาไปกับโมเดลธุรกิจยุคใหม่ที่มีความหลากหลายและต้องการความยืดหยุ่นในการบริหารจัดการด้วยเช่นกัน

Stripe Tax เป็นหนึ่งใน Product ภายใต้ Revenue and finance automation suite ที่ถูกออกแบบมาให้ช่วยจัดการเรื่องภาษีบนธุรกรรม Stripe ในกว่า 40 ประเทศทั่วโลก โดยครั้งนี้ Stripe ประกาศขยายการให้บริการมายังประเทศในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้เพิ่มเติมจากสิงคโปร์ คือ ไทย เวียดนาม มาเลเซีย และอินโดนีเซีย โดยจะช่วยลดความซับซ้อนในการจัดการภาษีให้ธุรกิจที่มองการขยายตัวไปยังตลาดต่างประเทศ อย่างไรก็ตาม ปัจจุบัน Stripe Tax ยังคงใช้ได้เฉพาะธุรกิจที่เป็น Remote sellers ที่ให้บริการสินค้าดิจิตอลเท่านั้น

เป้าหมายของการพัฒนาระบบที่ช่วยจัดการรายได้และการเงินหลังบ้านนี้ Stripe มองว่า จะทำให้เหล่า CFO มองเห็นภาพใหญ่ขององค์กรได้ชัดเจน บริหารจัดการกลยุทธ์ทางการเงินได้รวดเร็ว นำมาซึ่งทรัพยากรและเวลาที่มากขึ้นในการไปพัฒนา Core Business ได้อย่างเต็มที่ จึงเปรียบเทียบว่า Revenue and Finance Automation Suite นี้ คือ “Finance OS” ของธุรกิจที่ต้องการจะเติบโตในเวที Global โดยอาศัย Stripe เป็น Platform ในการดำเนินธุรกิจ

สุดท้ายนี้ ในแง่ที่ว่า Stripe เติบโตและขยายธุรกิจไปทั่วโลกจากการเป็น Startup การพัฒนาบริการของ Stripe ในแง่หนึ่งจึงมุ่งส่งเสริมและสนับสนุน Startup เติบโตเช่นกัน Vivek Sharma ได้แนะนำหนึ่งใน Product จาก Stripe อย่าง Stripe Atlas ซึ่งเป็นแพลตฟอร์มที่ช่วยให้การตั้งบริษัทในสหรัฐอเมริกาทำได้ง่ายขึ้น และช่วยจัดการเรื่องยุ่งยากให้ Startup ได้โฟกัสกับการพัฒนา Business Model ได้อย่างเต็มที่ สิ่งนี้จึงช่วยเน้นย้ำจุดยืนสำคัญเรื่องการส่งเสริมธุรกิจทุกรูปแบบ และกิจการในทุกขนาดของ Stripe