
องค์กรของคุณกำลังติด 'กับดัก' ของโลกเก่าอยู่หรือเปล่า?
สรุปทางรอดในยุค AI จาก ซิกเว่ เบรกเก้ ประธานกรรมการบริหารกลุ่มธุรกิจโทรคมนาคมและดิจิทัล บริษัท เครือเจริญโภคภัณฑ์ จำกัด และประธานเจ้าหน้าที่บริหารกลุ่ม บริษัท ทรู คอร์ปอเรชั่น จำกัด (มหาชน) ผู้ผ่านประสบการณ์ตรงในการทรานส์ฟอร์มองค์กรยักษ์ใหญ่ด้วย AI และ Data มาแล้ว ในเซสชั่น The Digital Survival Code: Thriving in the Age of AI and uncertain World Economic shock
คุณซิกเว่ เบรกเก้ เริ่มต้นด้วยการฉายภาพให้เห็นว่าเทคโนโลยีได้กลายเป็นหัวใจสำคัญของการเติบโตทางเศรษฐกิจอย่างไม่อาจปฏิเสธได้ โดยชี้ให้เห็นว่าตลอด 25 ปีที่ผ่านมาการเติบโตของตลาดหุ้นในสหรัฐอเมริกาขับเคลื่อนด้วยบริษัทเทคโนโลยีและกว่า 35% ของการเติบโตของ GDP สหรัฐฯ ก็มาจากความเปลี่ยนแปลงทางเทคโนโลยี เช่นเดียวกับการมาของ 5G ที่สามารถเพิ่ม GDP ของประเทศได้ถึง 1% จากนั้นได้อธิบายถึง 3 S-Curves ที่กำลังเปลี่ยนโลกใบนี้
คลื่นลูกที่ 1: อินเทอร์เน็ต คลื่นลูกนี้ได้มาถึงจุดอิ่มตัวแล้ว เราทุกคนต่างมีอินเทอร์เน็ตเป็นแพลตฟอร์มพื้นฐานในชีวิตประจำวัน
คลื่นลูกที่ 2: การเชื่อมต่อผ่านมือถือ (4G/5G) คลื่นลูกนี้ยังเดินทางไปได้เพียง "ครึ่งทาง" แม้ประเทศไทยจะมีความครอบคลุมของ 5G ถึง 99% แต่มีเพียง 2% ของภาคธุรกิจและอุตสาหกรรมเท่านั้นที่นำศักยภาพของ 5G ไปใช้อย่างเต็มที่ คลื่นลูกนี้ทำให้ "ทุกคน" เชื่อมต่อกัน แต่ยังไม่ใช่ "ทุกสิ่ง"
คลื่นลูกที่ 3: ปัญญาประดิษฐ์ (AI) นี่คือคลื่นลูกที่ทรงพลังที่สุดและจะสร้างผลกระทบมหาศาลยิ่งกว่าอินเทอร์เน็ตและไฟฟ้ามารวมกันเสียอีก เรายังอยู่ในช่วงเริ่มต้นของคลื่นลูกนี้ และยังไม่เห็นผลกระทบทั้งหมดที่ AI จะมีต่อวิถีชีวิตและการทำงานของเรา
คุณซิกเว่ได้ตอกย้ำถึงความเร็วอันน่าทึ่งของ AI ด้วยสถิติที่น่าสนใจ คือ อินเทอร์เน็ต ใช้เวลา 7 ปี กว่าจะมีผู้ใช้งานครบ 100 ล้านคน ในขณะทที่ Facebook ใช้เวลา 4 ปี แต่ ChatGPT ใช้เวลาเพียง 2 เดือน!
ความเร็วระดับนี้ทำให้ไม่มีองค์กรหรือประเทศใดสามารถรับมือได้เพียงลำพัง 'คุณต้องสร้างพาทเนอร์' เพราะความเร็ว ความใหญ่ และความเป็นสากลของ AI นั้นเกินกว่าที่ใครคนเดียวจะตามทัน
สำหรับประเทศไทย คุณซิกเว่ชี้ให้เห็นภาพ 2 ด้านที่น่าสนใจ: 1. ข่าวดี คือคนไทยมีการปรับตัวใช้ AI ในระดับบุคคลสูงมากถึง 78% ซึ่งเป็นตัวเลขที่ค่อนข้างสูงมาก 2. ข่าวร้าย คือการนำ AI ไปใช้ในภาคธุรกิจและหน่วยงานภาครัฐยังอยู่ในระดับที่ต่ำมาก โดยเฉพาะในอุตสาหกรรมหลักของประเทศ เช่น เกษตรกรรม, การผลิต และค้าปลีก ซึ่งยังตามหลังอยู่มาก หากภาคอุตสาหกรรมหลักเหล่านี้ไม่สามารถนำ AI มาปรับใช้ได้ประเทศไทยจะถูกทิ้งไว้ข้างหลังและจะเติบโตทางเศรษฐกิจได้ยากลำบาก
AI จะเปลี่ยนโมเดลธุรกิจจากการ ‘ขายสินค้า’ ไปสู่การ ‘ขายบริการ’ ซึ่งคุณซิกเว่ได้ยกตัวอย่างไว้ว่า
ในอนาคตคุณอาจไม่ต้องซื้อตู้เย็น แต่ร้านค้าจะให้คุณฟรี แล้วตู้เย็นจะสื่อสารกับร้านค้าโดยตรงเพื่อสั่งของที่กำลังจะหมดมาเติมให้คุณเองกลายเป็นการ ขายบริการช็อปปิ้งและตู้เย็น ในขณะเดียวกันความปลอดภัยภายในบ้าน แทนที่จะซื้อกล้องวงจรปิดหรือสัญญาณกันขโมย คุณจะจ่ายค่าบริการรายเดือนเพื่อให้มีคนดูแลความปลอดภัยให้ครบวงจร นอกจากนี้บริษัทต่างๆ เริ่มขาย ‘บริการไฟฟ้า’ โดยใช้ AI ช่วยจัดการการใช้พลังงานให้มีประสิทธิภาพสูงสุด เพื่อลดค่าใช้จ่าย
ภายในปี 2030 สถานการณ์ตลาดแรงงานทั่วโลกจะเปลี่ยนไปอย่างสิ้นเชิง:
92 ล้านตำแหน่งงานจะหายไป แต่ 170 ล้านตำแหน่งงานใหม่จะเกิดขึ้น
คำถามสำคัญคือ "แล้วเราจะอยู่ในกลุ่มไหน?" ทุกองค์กรและทุกประเทศต้องเผชิญกับความท้าทายในการ ยกระดับทักษะ และ สร้างทักษะใหม่ ให้กับบุคลากร เขาได้ยกตัวอย่างเป้าหมายของทรู ที่ภายในปี 2030 พนักงาน 100% จะต้องได้รับการ Upskill ด้าน AI เพื่อเตรียมพร้อมสำหรับงานในอนาคต
สุดท้ายคุณซิกเว่ได้ให้ 3 คำแนะนำสำคัญสำหรับผู้นำทุกคน ทั้งภาครัฐและเอกชนเพื่อเอาตัวรอดและเติบโตในยุคแห่งความไม่แน่นอนนี้
นี่คือรหัสเอาตัวรอดในยุคดิจิทัลที่ทุกคนต้องปรับตัว เพื่อไม่ให้ตกอยู่ใน "กับดัก" ของโลกเก่า แต่ก้าวไปสู่อนาคตที่ขับเคลื่อนด้วย AI และเทคโนโลยีได้อย่างมั่นคง
ลงทะเบียนเข้าสู่ระบบ เพื่ออ่านบทความฟรีไม่จำกัด