Techsauce บินลัดฟ้ามาไต้หวัน เพื่อร่วมงาน TAITRONICS & AIoT Taiwan 2025 สิ่งที่เราสัมผัสได้ทันทีที่ก้าวเข้างาน ไม่ใช่แค่ความตื่นเต้นกับ Generative AI หรือแชตบอตตัวใหม่ แต่เป็น 'ความจริงจัง' ของเทคโนโลยีที่จับต้องได้
งานนี้จัดขึ้นภายใต้ธีมหลัก 'AI Innovation' ซึ่งเป็นการตอกย้ำจุดแข็งของไต้หวันนั่นคือ การเป็นศูนย์กลางที่เชื่อม ฮาร์ดแวร์ชั้นเลิศ เข้ากับซอฟต์แวร์ที่สร้างสรรค์ เพื่อแก้ปัญหาสำคัญที่รอการแก้ไขทั่วโลก ทั้งการจัดการพลังงาน การผลิตอัจฉริยะ ไปจนถึงการดูแลสุขภาพ

หลายคนอาจคิดว่า COMPUTEX คืองานเทคโนโลยีที่เก่าแก่ที่สุดของไต้หวัน แต่เบื้องหลังที่คนไม่รู้คือ งาน TAITRONICS ที่ Techsauce มาร่วมในครั้งนี้ คือต้นตำรับ และเป็นรากฐานที่ COMPUTEX ถูกแยกสาขาออกไปในภายหลัง
ย้อนกลับไป 51 ปีที่แล้ว (ปี 1974) ในยุคที่ไต้หวันยังเป็นเพียงฐานการผลิตชิ้นส่วนเล็ก ๆ ในสายตาโลก TAITRONICS คือผู้บุกเบิกงานแสดงสินค้าอิเล็กทรอนิกส์แห่งแรกของพวกเขา

หลังจากนั้น TAITRONICS ก็เป็นแม่งานให้กับงานสำคัญในไต้หวันมาโดยตลอด และ TAITRONICS & AIoT Taiwan 2025 ก็ปรับเปลี่ยนรูปแบบการจัดงานโดยเน้นไปที่งาน Tradeshow จับกลุ่มตลาด B2B โดยเฉพาะ ซึ่งมีนักธุรกิจจากหลากหลายประเทศบินมาเพื่อปิดดีลโดยเฉพาะ
ความพิเศษของงานนี้คือการมี Supply Chain มาโชว์ ไม่ใช่แค่ผู้ผลิต และยังมี Startup Terrace โครงการที่รัฐบาลสนับสนุนเพื่อดึงสตาร์ทอัพระดับโลกมา Soft-launch ฟรี 3 สัปดาห์ ซึ่งปีนี้มี 10 ทีมที่ถูกเลือก และมี 'Smile Migraine' เป็นตัวแทน 1 เดียวจากประเทศไทยในโครงการนี้

Techsauce มีโอกาสได้พูดคุยกับ James C. F. Huang ประธานแห่ง TAITRA ซึ่งเป็นผู้จัดงานนี้ โดยเขายอมรับตรงๆ ว่า "หลายคนบอกว่าเทคโนโลยีมีความเสี่ยง อาจจะมาแทนที่งาน เปลี่ยนชีวิตคนไป"
แต่เขาเชื่อว่า เราสามารถมองเรื่องนี้ให้แตกต่างออกไปได้ เพราะ "เทคโนโลยีสามารถช่วยชีวิต และเปลี่ยนโชคชะตาได้" โดยยกตัวอย่างเทคโนโลยีที่เข้ามาช่วยมนุษย์ เช่น
AI กับการกู้ภัยพิบัติ
เขาเล่าถึงการใช้ภาพถ่ายดาวเทียม AI ที่ช่วยระบุตำแหน่ง นำทางทีมกู้ภัย และ ช่วยชีวิตผู้คนนับพัน ในเหตุการณ์ไฟป่าครั้งใหญ่ที่เมาวี (Maui)
AI ทำนายโรคร้าย
เขากล่าวถึงความสำเร็จของโรงพยาบาลในไต้หวันเอง ที่กำลังใช้ AI วิเคราะห์ข้อมูลเพื่อ ทำนายโรคหลอดเลือดสมอง (Strokes) ล่วงหน้าได้ 1 วันก่อนที่มันจะเกิดขึ้น
ซึ่งนอกเหนือจากสิ่งที่ James C.F. Huang ได้กล่าวถึงแล้ว Techsauce ได้มีโอกาสไปสัมผัสเทคโนโลยีช่วยชีวิตของจริงภายในงาน โดยมี 5 สิ่งที่น่าสนใจดังนี้

ปัญหาคอขาดบาดตายที่สุดของนักดับเพลิงไม่ใช่แค่ไฟ แต่คือ การมองไม่เห็น พวกเขาต้องอาศัยการสัมผัสและประสบการณ์ ในกลุ่มควันหนาทึบ แถมถูกจำกัดด้วยเวลาจากถังออกซิเจน ซึ่งยิ่งต้องค้นหาคนภายในอาหาร ยิ่งทำให้ภารกิจของนักดับเพลิงท้าทายขึ้นไปอีก
เพื่อแก้ปัญหานี้ทาง Taiwan Mobile เลยคิดค้นโซลูชันที่น่าสนใจเพื่อลดเวลาการค้นหาจาก 55 นาทีเหลือเพียง 55 วินาทีเท่านั้น โดยใช้ของสองอย่างคือ

วิธีการทำงานคือ Lidar จะสแกนและสร้างแผนที่อาคารแบบเรียลไทม์ขณะเดิน ส่งตำแหน่งและชีพจรกลับไปที่ศูนย์บัญชาการ หากมีนักดับเพลิงหยุดนิ่งนานเกินไป ระบบจะแจ้งเตือนผลทันที
ทางทีมผู้พัฒนาลองนำไปทดสอบภาคสนาม ด้วยการลองให้ค้นหาคนภายในอาคารที่ซ่อนตัวอยู่ เพื่อจำลองสถานการณ์จริง พวกเขาแบ่งทีมค้นหาออกเป็น 2 กลุ่ม กลุ่มแรกที่ใช้วิธีเดิม พบว่า ใช้เวลาค้นหาไป 55 นาที มีการเปลี่ยนกำลัง 3 ผลัด และสุดท้ายต้องยอมแพ้ภารกิจนี้ไป ขณะที่อีกทีมที่ใช้ระบบใหม่ พบว่าใช้เวลาเพียง 55 วินาทีเท่านั้นในการระบุตำแหน่งคนที่ซ่อนอยู่ภายในอาคาร

อีกหนึ่งเทคโนโลยีช่วยชีวิตที่น่าสนใจ มาจากสตาร์ทอัพเบลเยียม TwinSkin ที่ต้องการแก้ปัญหาที่ถูกมองข้ามในโรงพยาบาลทั่วโลก นั่นก็คือ พยาบาลไม่รู้ว่าแผลของผู้ป่วย (เช่น แผลเบาหวาน, แผลกดทับ) ดีขึ้นจริงหรือไม่ ?
เรื่องนี้ทำให้ผู้ป่วยต้อง อยู่โรงพยาบาลนานขึ้น หรือมาโรงพยาบาลบ่อยขึ้นโดยไม่จำเป็น หรือหากผู้ป่วยกลับไปรักษาตัวที่บ้าน พยาบาลและแพทย์ไม่สามารถติดตามว่าแผลที่เป็นอยู่ตอนนี้เป็นอย่างไรบ้าง
Twinskin เลยคิดค้นวิธีเปลี่ยนมือถือธรรมดาให้เป็นเครื่องมือแพทย์ โดยใช้เทคโนโลยี Low-tech ที่สุดแตได้ผลมากที่สุดนั่นก็คือ Callibration Marker ซึ่งเป็นสติกเกอร์ที่ถูกพิมพ์ด้วยรหัสสี มี QR Code ในตัว ช่วยให้ผู้ป่วยสามารถสร้างภาพแผลที่แม่นยำได้
หลักการทำงานคือ ผู้ป่วยต้องติดสติกเกอร์ใกล้ ๆ กับแผล แล้วใช้แอปฯ ถ่ายวิดีโอสั้น ๆ โดย AI จะใช้สติกเกอร์นั้นปรับเทียบสีที่แท้จริงของแผล พร้อมกับคำนวนมิติค และสร้างแบบจำลองแผล 3 มิติที่แม่นยำระดับ +- 1 มิลลิเมตรออกมา
Twinskin ให้ข้อมูลว่า กำลังบุกตลาดเอเชียอย่างหนัก โดยมีโรงพยาบาลที่ฟิลิปปนส์ 2 แห่งใช้งานอยู่ ส่วนที่ไต้หวันเองเตรียมทำ Clinical Trial ที่ Taipei Medical University ส่วนที่ไทยก็มีแผนจะจัดจำหน่ายช่วงต้นปี 2026

ในโซน Startup Terrace เราได้พบสตาร์ทอัพไทย 1 เดียว ในงานนี้นั่นคือ Smile Migraine ที่ต้องการแก้ปัญหาเรื่องการรักษาไมเกรนในปัจจุบัน
ทางทีมผู้พัฒนาให้ข้อมูลว่า การรักษาไมเกรนในปัจจุบันมีความท้าทายหลายอย่าง เช่น การ Under-diagnosis ที่คนไข้ หรือแม้แต่แพทย์วินิจฉัยผิดคิดว่าเป็นแค่อาการปวดหัวธรรมดา รวมถึงความเข้าใจผิดจากสังคมที่คิดว่าอาการนี้เป็นการแฮงค์โอเวอร์ หรือเครียดเกินไป เนื่องจากไมเกรนเป็นอาการที่ไม่สามารถมองเห็นได้ชัดเจน
Smile Migraine เลยสร้างแอปฯ ที่เป็น Ecosystem ครบวงจร เพื่อปิดช่องโหว่นี้ โดยมีหัวใจหลักคือ Migraine Diary ที่ให้ผู้ป่วยบันทึกอาการ เพื่อให้ระบบคำนวณเกรดความรุนแรง และ Smart Notifications ที่คอยแจ้งเตือนเมื่อผู้ป่วยใช้ยาแก้ปวดมากเกินไป (ซึ่งหลายคนไม่รู้ตัว) หรือแจ้งเตือนตามปัจจัยกระตุ้น เช่น ประจำเดือน
และส่วนที่น่าสนใจจคือคือ Telemedicine Service ที่แก้ปัญหาใหญ่ให้คนไทยที่ทำงานในต่างประเทศ (เช่น เกาหลี, ญี่ปุ่น, ออสเตรเลีย) หรือในไต้หวันเองที่มีแรงงานไทยกว่า 80,000 คน พวกเขาสามารถปรึกษาแพทย์ไทยได้โดยตรงโดยไม่ต้องจ้างล่าม
ปัจจุบันแอปฯ นี้มีผู้ใช้ในไทยกว่า 40,000 คน และสร้างรายได้ 17 ล้านบาทในปีที่แล้ว โดยยังไม่ได้รับเงินทุนจาก VC ความสำเร็จนี้ทำให้ Smile Again ได้รับการคัดเลือกจาก Startup Terrace (โครงการของรัฐบาลไต้หวัน) ให้เป็น 1 ใน 10 ทีมทั่วโลก (และเป็นทีมไทยทีมเดียว) เพื่อเข้าร่วม Incubation Program 3 สัปดาห์ในไต้หวัน

Syscom ได้โชว์หุ่นยนต์ที่ชื่อ Ayuda (แปลว่า ความช่วยเหลือในภาษาสเปน) มาโชว์ในงานนี้ด้วย โดยตั้งใจให้หุ่นยนต์พวกนี้เกิดมาเพื่อช่วยผู้คน ไม่ใช่แทนที่ผู้คน เป้าหมายคือการลดงานซ้ำซากเพื่อให้มนุษย์ไปโฟกัสอย่างอื่น
Ayuda รุ่นนี้เป็น Gen 4.5 พัฒนามาแล้วกว่า 5 ปี และฝัง Generative AI เข้าไป ทำให้มันทำงาน หลากหลายและฉลาดขึ้นมาก ออกแบบมาให้ใช้ในหลายวงการ เช่น ในธนาคาร สามารถจำใบหน้าลูกค้าระดับ VIP พร้อมกับส่งข้อความแต้งเตือนผู้จัดการสาขาให้ออกมาต้อนรับ

ในโรงพยาบาล ผู้ป่วยสามารถสแกนใบสั่งยา และบัตรสุขภาพเพื่อรับยาได้โดยไม่ต้องไปเสียเวลาต่อคิว รวมถึงในร้านค้าเอง ก็สามารถแนะนำสินค้าให้ผู้ซื้อเพียงแค่กรอกความต้องการลงไป

ปิดท้ายด้วยโซลูชันที่เกิดมาเพื่อแก้ปัญหาให้วิศวกรสายอุตสาหกรรมหนัก ที่กำลังเจอปัญหาเรื่องการดูข้อมูล 3 มิติบนจอคอมพิวเตอร์ 2 มิติ ทำให้อาจไม่ได้เห็นบางสิ่งจากหน้างานจริง
Clirio เลยพัฒนาซอฟต์แวร์เพื่อดึง Spatial Data (เช่น Lidar, CAD, Photogrammetry) เพื่อนำมาแสดงผลในโลกจริงแบบ 1:1 ผ่านแว่นตา VR ทุกค่าย ไม่ว่าจะเป็น Meta Quest, Microsoft HoloLens หรือ Apple Vision Pro

ทำให้วิศวกรจากคนละมุมโลก สามารถประชุมงานแบบออนไลน์เพื่อตรวจสอบแบบจำลองต่าง ๆ เช่น ตรวจสอบแบบสะพานกำลังสร้าง หรือท่อก๊าซที่กำลังมีปัญหาได้เสมือนไปยืนอยู่หน้างานจริง โดยที่ไม่จำเป็นต้องเดินทาง
จากงานนี้ทำให้เราได้เห็นว่า ไต้หวัน ไม่ได้เป็นแค่ผู้ผลิตฮาร์ดแวร์แต่เป็นจุดเชื่อมต่อของบริษัททั่วโลกที่ขาดไม่ได้
ที่ซึ่งนวัตกรรมซอฟต์แวร์จากทั่วโลก มาพบกับฮาร์ดแวร์ที่ดีที่สุด เพื่อสร้างเทคโนโลยีที่ช่วยชีวิตมนุษย์ได้อย่างแท้จริง
ลงทะเบียนเข้าสู่ระบบ เพื่ออ่านบทความฟรีไม่จำกัด