สำหรับหัวข้อ Asia's New Dawn: Forging Our AI Future Together หรือ เอเชียในวันฟ้าสาง : ร่วมสร้างอนาคต AI ที่เป็นของเรา อีกประเด็นเสวนาที่จัดขึ้นในวันแรกของงาน Techsauce Global Summit 2025 เป็นวงเสวนาที่พูดคุยถึงศักยภาพของ AI การนำ AI ไปใช้ในภาคส่วนต่างๆ และค้นหาโอกาสที่เอเชียจะก้าวขึ้นเป็นผู้นำด้าน AI

ในวงเสวนาดังกล่าว มีผู้นำ ผู้บริหาร และผู้เชี่ยวชาญทั้งจากหน่วยงานภาครัฐและภาคเอกชน ทั้งไทยและเทศมาร่วมในเวทีเดียวกัน ได้แก่ รศ. ดร.ธีรณี อจลากุล ผู้อำนวยการสถาบันข้อมูลขนาดใหญ่ (องค์การมหาชน)(BDI) ดร.วาริน รัชนานุสรณ์ รักษาการรองผู้อำนวยการใหญ่ กลุ่มงานส่งเสริมระบบนิเวศเศรษฐกิจดิจิทัล (depa) ดร.พาฤทธิ์ เปลี่ยนขำ ผู้ช่วยผู้อำนวยการ โรงพยาบาลสมิติเวช ศรีนครินทร์ คุณทาเคชิ คิโตะ ผู้ร่วมก่อตั้งและซีอีโอ Global Finance & Technology Network (GFTN) ประเทศญี่ปุ่น และ คุณชลธิชา แสงพันธุ์ ผู้ร่วมก่อตั้งและซีอีโอ บริษัท แอนะลิติสต์ จำกัด (Analytist) ผู้สร้างแพลตฟอร์ม GROWTHai รับหน้าที่เป็นผู้ดำเนินการเสวนา
คุณทาเคชิกล่าวถึงความท้าทายในการนำ AI มาใช้ในญี่ปุ่นว่า ประเด็นอยู่ที่ 'ความล่าช้า' ในการนำมาใช้, ไม่มีกฎที่ออกมาเพื่อกำกับดูแลด้าน AI โดยเฉพาะ และยังขาดการบริหารจัดการความเสี่ยงเชิงระบบในภาคอุตสาหกรรม
ดร.พาฤทธิ์มองว่า AI เป็นเครื่องมือสำคัญ แต่ยังมีอุปสรรคในการเชื่อมการคาดการณ์ (What) ของ AI เข้ากับวิธีปฏิบัติ (How) และสาเหตุ (Why) สำหรับผู้ป่วย เรื่องต่อมาคือ การรักษาสมดุลระหว่างศาสตร์และศิลป์ที่ใช้ในการรักษา ตลอดจนเป้าหมายที่แตกต่างกันของผู้ให้บริการและผู้รับบริการ
ด้าน ดร.วารินกล่าวถึงความท้าทายในการปรับเปลี่ยนกรอบความคิดอย่างรวดเร็วและการพัฒนาขีดความสามารถในการใช้ AI ของภาคธุรกิจ อย่างภาคการเกษตร, SMEs ซึ่งเป็นส่วนใหญ่ของประเทศยังติดอยู่ในยุค Industry 2.0 ขณะที่โลกกำลังก้าวสู่ยุค Industry 4.0/5.0
รศ.ดร.ธีรณีนำเสนอเรื่องความทะเยอทะยานด้านเทคโนโลยี AI ของไทยเพื่อก้าวให้ทันชาติตะวันตกและจีน ว่าไทยจำเป็นต้องเตรียมความพร้อม ทั้งด้านการพัฒนาบุคลากร โครงสร้างพื้นฐานที่มี Open Source ให้ใช้ มีคลังข้อมูลแห่งชาติ รวมถึงมีแซนด์บ็อกซ์ (Regulatory Sandbox) ให้ทดลองสิ่งใหม่ๆ ควบคู่กับการนำ AI ไปใช้ในภาคส่วนต่างๆ อย่างภาคสาธารณสุข ภาคการผลิต
คุณทาเคชิบอกว่า AI ช่วยลดอุปสรรคในการเข้าสู่ตลาดการเงินและทำให้เกิดธุรกรรม (Transaction) ข้ามพรมแดนมากขึ้น แต่ในขณะเดียวกัน AI ก็ทำให้เกิดการฉ้อโกงเพิ่มขึ้น AI จึงถูกนำมาใช้เพื่อบริหารจัดการภาคการเงินและตรวจจับการทุจริตร่วมด้วย
ดร.พาฤทธิ์ยกตัวอย่างเทคโนโลยี AI ที่สมิติเวชใช้ อาทิ โรคที่เกี่ยวกับหัวใจและหลอดเลือด (Cardiovascular) สามารถนำ AI มาช่วยคาดการณ์อาการป่วย ส่งผลต่อการช่วยชีวิตผู้ป่วยได้เพิ่มขึ้น นอกจากนี้ยังใช้ AI ช่วยตรวจรักษาอีกหลายด้าน อาทิ
AI-Assist Colonoscopy - ส่องกล้องโดยใช้ AI ช่วยตรวจหาความผิดปกติในลำไส้ เพื่อป้องกันหรือรักษาหากเป็นมะเร็งลำไส้ใหญ่
AI Assistant Mammography Reading - ใช้ AI อ่านค่าแมมโมแกรม ช่วยให้นักรังสีวิทยาตรวจหาความผิดปกติของเต้านมหรือมะเร็งเต้านมได้อย่างแม่นยำตั้งแต่ระยะเริ่มต้น
AI Bone Age - ใช้ AI ตรวจอายุกระดูกของเด็กเทียบกับอายุจริงว่าร่างกายเข้าสู่วัยหนุ่มสาวก่อนวัยอันคารหรือไม่ พร้อมคาดการณ์ส่วนสูงเมื่อถึงวัยผู้ใหญ่ โดยเทคโนโลยีนี้ใช้ที่โรงพยาบาลเด็กสมิติเวช อินเตอร์เนชั่นแนล
รศ.ดร.ธีรณี เปิดเผยว่า BDI กำลังพัฒนา ThaiLLM โครงการพัฒนา Open Source/Open License โครงสร้างพื้นฐานปัญญาประดิษฐ์สำหรับภาษาไทย โดยร่วมกับ NECTEC, VISTEC, AIEAT และ AIAT เพื่อสร้างอธิปไตยทาง AI (Sovereign AI) โดยอยู่ในระหว่างปรับแต่งให้เข้ากับวัฒนธรรมไทย นอกเหนือจากนี้ BDI ยังร่วมกับศาลยุติธรรม สร้างแชตบอตด้านกฎหมายเพื่อให้คนไทยเข้าถึงคำปรึกษาด้านกฎหมายมากขึ้น และช่วยลดความเหลื่อมล้ำอีกทางหนึ่ง
ดร.วารินกล่าวถึงการสนับสนุนการพัฒนาบุคลากรของ depa ผ่านโครงการ Digital Skill Roadmap ซึ่งแบ่งคนออกเป็น 3 กลุ่ม ได้แก่ กลุ่มผู้ใช้งานทั่วไป ที่ขาดความรู้พื้นฐานด้าน AI กลุ่มผู้ประกอบอาชีพยุคใหม่ เช่น ครีเอเตอร์ อินฟลูเอนเซอร์ เพื่อเพิ่มทักษะและโอกาสในการสร้างรายได้ และกลุ่มผู้เชี่ยวชาญหรือมีทักษะด้าน AI ในระดับสูง เช่น นักพัฒนา นักวิทยาศาสตร์ข้อมูล โดยมอบสิทธิประโยชน์ให้เพื่อเป็นการสนับสนุน เช่น ยกเว้นภาษีเงินได้นิติบุคคลจากค่าใช้จ่ายสูงสุด 250% สำหรับการพัฒนาทักษะพนักงานในองค์กร
นอกจากนี้ ดร.วารินยังบอกอีกว่า อยากเห็นการทำงานร่วมกันมากขึ้นระหว่างผู้ให้บริการด้านเทคโนโลยี ภาครัฐ องค์กรขนาดใหญ่ และสตาร์ทอัพ โดยรัฐบาลจะมีบทบาทเชิงรุกในการส่งเสริมการนำเทคโนโลยีมาใช้มากขึ้นด้วยการใช้มาตรการต่างๆ ในอนาคต
ดร.พาฤทธิ์กล่าวถึงการเชื่อมโยงงานวิจัยจากรั้วมหาวิทยาลัยเข้ากับระเบียบการใช้ Data ของภาคเอกชน ว่ามีอุปสรรคเพราะต่างฝ่ายต่างเก็บข้อมูลกันเป็น Silo แต่อย่างไรก็ตาม AI กำลังมีบทบาทในการช่วยยืดอายุขัยและสนับสนุนการดูแลสุขภาพเชิงรุกมากยิ่งขึ้นในอนาคต ด้วยการบูรณาการข้อมูลสุขภาพ ทั้งข้อมูลสุขภาพดี (Healthy Data)และข้อมูลด้านการเจ็บป่วย (Sick Data) เข้ากับข้อมูลพฤติกรรม และข้อมูลตำแหน่งทางภูมิศาสตร์ เพื่อเปลี่ยนแนวทางดูแลสุขภาพจาก 'รักษา' เป็น 'ป้องกัน' (Preventive) ซึ่งอาจเปลี่ยนนโยบายจาก '30 บาทรักษาทุกโรค' เป็น '30 บาทป้องกันทุกโรค' ก็เป็นได้
คุณทาเคชิบอกว่า AI จะช่วยลดความยุ่งยากในการทำธุรกรรมและเป็นตัวเร่งให้การทำธุรกรรมน่าเชื่อถือยิ่งขึ้น พร้อมเน้นย้ำถึงหน้าที่ความรับผิดชอบในฐานะ 'ผู้ได้รับความไว้วางใจให้รับฝากทรัพย์สิน (Fiduciary duty)' ของนักพัฒนา AI ว่าต้องทำเพื่อประโยชน์สูงสุดของผู้ใช้บริการ


รศ.ดร.ธีรณียกปัญหาที่กำลังเกิดขึ้นในไทยและแนวทางแก้ไข คือ ปัจจุบันองค์กรไทยทำงานแบบแยกส่วน (Silo) ทั้งด้านข้อมูล บุคลากร และกฎหมาย หน่วยงานภาครัฐก็ทำงานแยกส่วนกันทำให้การแชร์ข้อมูลข้ามหน่วยงานเป็นเรื่องยาก ทาง BDI จึงเสนอให้มีโครงสร้างพื้นฐาน DII : Data Integration and Intelligence Platform เพื่ออำนวยความสะดวกในการแชร์ข้อมูลแบบกระจายศูนย์ ทำให้เชื่อมโยงและวิเคราะห์ข้อมูลจากหน่วยงานภาครัฐได้ ด้วยเทคโนโลยีที่สอดคล้องกับการคุ้มครองข้อมูลส่วนบุคคลและมีความมั่นคงปลอดภัย จากนั้นกล่าวปิดท้ายว่า อยากเห็นภาพอนาคตที่ข้อมูลภาครัฐและภาคเอกชนสามารถแชร์ระหว่างกันได้ โดยต้องควบคุมการเข้าถึงข้อมูลอย่างถูกต้องเหมาะสม เพื่อใช้ด้านงานวิจัย การพัฒนานวัตกรรม และการใช้ AI ช่วยออกแบบนโยบายให้ประเทศ
ลงทะเบียนเข้าสู่ระบบ เพื่ออ่านบทความฟรีไม่จำกัด