“เพราะเรื่องของ Transformation ไม่ใช่ Priority แรกของผู้นำ แต่เป็นสิ่งเดียวที่ผู้นำจะต้องทำ"
ดังนั้นการเปลี่ยนแปลงองค์กรให้ก้าวเข้าสู่องค์กรดิจิทัล จึงกลายเป็นสิ่งที่ทุกองค์กรให้ความสำคัญ แต่การทำ Transformation ให้สำเร็จได้นั้น ไม่ได้ขึ้นอยู่กับเทคโนโลยีเพียงอย่างเดียว หากแต่สิ่งสำคัญที่ต้องมีควบคู่ไปคือ พฤติกรรมของคนในองค์กร ซึ่งถือเป็นปัจจัยสำคัญที่จะทำให้เกิดความยั่งยืน ในการเปลี่ยนแปลงที่จะนำไปสู่ความสำเร็จได้ และ “ผู้นำ” ก็ถือเป็นแม่ทัพใหญ่ของการขับเคลื่อนในครั้งนี้
และเพื่อให้ผู้บริหารองค์กรที่มีบทบาทสำคัญในการทำ Transformation ได้มีเวทีในการเรียนรู้ร่วมกัน ทั้งในด้านเนื้อหาในเชิงวิชาการ เครื่องมือที่นำไปใช้ได้จริง การแบ่งปันประสบการณ์จากวิทยากรผู้เชี่ยวชาญ และ CEO ขององค์กรชั้นนำ อีกทั้งการเสริมสร้าง “สังคมแห่งการเรียนรู้” ให้กับผู้บริหารทรัพยากรมนุษย์ระดับแถวหน้าของประเทศไทย ซึ่งนำไปสู่การยกระดับขีดความสามารถในการแข่งขันขององค์กรในประเทศไทยให้ทัดเทียมกับต่างประเทศ
ดังนั้นหอการค้าไทย สภาหอการค้าแห่งประเทศไทย มหาวิทยาลัยหอการค้าไทย และ DeOne Academy จึงได้ผนึกกำลังร่วมออกแบบหลักสูตร TEN X (Transformational Executive Network for Exponential Growth) หลักสูตรเครือข่ายผู้บริหารด้านการเปลี่ยนแปลงเพื่อการเติบโตแบบก้าวกระโดดขึ้น พร้อมด้วยการสนับสนุนด้าน Learning Platform จาก Conicle
ดร.ชัยพัชร์ เลิศรักษ์ทวีกุล Chief Executive Officer & Founder - DeOne Academy เปิดเผยว่า ความตั้งใจที่ได้จัดหลักสูตรนี้ขึ้น เนื่องจากที่ผ่านมาบริษัทได้ให้บริการลูกค้าที่เป็นองค์กรใหญ่ ๆ ในประเทศไทยจำนวนมาก แต่โจทย์ที่ทุกคนพบเจอและคล้ายคลึงกันคือ เรื่องของ Transformation ซึ่งไม่ใช่แค่การ Transform Business กับ Digital แต่เป็นเรื่องของ “Culture” กับ “People” ดังนั้นหลักสูตรนี้จึงมีการดีไซน์หลักสูตรให้ครบทั้ง 4 Transformation
คุณสราวุฒิ อยู่วิทยา รองประธานกรรมการหอการค้าไทย ที่ปรึกษา สภามหาวิทยาลัยหอการค้าไทย ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร กลุ่มธุรกิจ TCP กล่าวว่า 2 ปีที่ผ่านมาถือเป็นบทเรียนที่ล้ำค่า ถึงแม้จะส่งผลต่อความเจ็บปวดกับธุรกิจทั่วโลก ด้วยเพราะเหตุที่คาดไม่ถึงที่เกิดขึ้นได้อย่างสถานการณ์โควิด-19 ซึ่งก่อนเกิดเหตุการณ์นี้เรามักจะพูดถึง Digital Disruption ที่จะต้องมีการพัฒนารูปแบบการทำธุรกิจ แต่เมื่อ เกิดโรคระบาดที่ทำให้ไม่สามารถเดินทางได้ทั่วโลก
จึงเป็นเหตุผลให้เกิดการปรับตัวอย่างรวดเร็ว ซึ่งมีทั้งคนที่ได้โอกาสจากตรงจุดนี้อย่างเช่น บริษัทเทคโนโลยี
แต่ในขณะเดียวกันหลังจากสถานการณ์โควิดกลับมีสงครามเกิดขึ้น ดังนั้นสะท้อนให้เห็นว่าโลกมีความเปลี่ยนแปลง และผันผวนอย่างมาก ซึ่งยังไม่นับรวมการเปลี่ยนแปลงทางสภาพภูมิอากาศ หรือภาวะโลกร้อน อีกทั้ง PM 2.5 จึงถูกมองว่าทุกสิ่งล้วนไม่มีอะไรแน่นอน
ดังนั้นการที่จะทำให้ธุรกิจอยู่รอดในทุกวิกฤติ พร้อมกับก้าวไปถึงอนาคตและยั่งยืนได้นั้น สิ่งหนึ่งที่แน่นอนคือ “จะต้องมีการปรับตัวตามยุคสมัย” ด้วยระยะเวลากว่า 2 ปีที่ผ่านมาถือเป็นบทเรียนอันล้ำค่าให้กับทุกองค์กรว่าจะต้องมี “การปรับเปลี่ยน” ไปในทิศทางใด
ส่วนทางด้าน ดร.ชัยพัชร์ กล่าวเสริมว่า ความเปลี่ยนแปลงของการทำธุรกิจในปัจจุบันไม่เหมือนเดิมอีกต่อไป ซึ่งการทำธุรกิจในอดีตเน้นเรื่อง Competition แต่ปัจจุบันเน้นเรื่อง Collaboration เพราะโลกเปลี่ยน และที่สำคัญคือคู่แข่งที่มองไม่เห็นกำลังมีบทบาทมากขึ้น ดังนั้นการปรับกระบวนการทำงานให้มีความคล่องตัวให้มากขึ้น รวมทั้งปรับเปลี่ยนสู่วัฒนธรรมดิจิทัล จึงเป็นสิ่งสำคัญอีกอย่างหนึ่งที่ไม่อาจหลีกเลี่ยงได้
นับว่า Business Transformation กับ Digital Transformation มีความคล้ายคลึงกัน โดยที่ Business Transformation คือการเปลี่ยนโมเดลธุรกิจอย่างเช่น การที่ RS ปรับโมเดลธุรกิจสู่ Entertainmerce (Entertainment + e-Commerce) สำหรับ Digital Transformation คือการนำเทคโนโลยีเข้ามาใช้ทำให้ Lean มากขึ้น ทำให้ Digitize หรือที่เรียกว่า Paperless รวมถึงใช้ Data มากขึ้นในการตัดสินใจ
แต่ทั้งนี้ทั้งนั้น 2 อย่างนี้จะต้องอยู่คู่กัน เพราะเมื่อมี Business Model ใหม่ แต่ไม่รู้จักการนำ Data มาใช้ Business Transformation นั้นอาจจะไม่เวิร์กกับธุรกิจใหม่ก็เป็นได้
ส่วนทาง คุณสราวุฒิ มองว่า ทั้งสองอย่างนี้เป็นเสมือนกึ่ง ๆ ส่วนย่อย แต่ก็ไม่ใช่ซะทีเดียว ซึ่ง Business Transformation นั้นไม่ได้หมายถึง Digital เพียงอย่างเดียว เนื่องจากต้องมีการปรับตัวอย่างมาก ซึ่งต้องมีการปรับรูปแบบการทำธุรกิจอย่างต่อเนื่อง อย่างเช่น กรณีของ Netflix ที่เตรียมจะทดลองแพ็กเกจทางเลือกใหม่ เพื่อการอยู่รอดของธุรกิจ ด้วยเหตุผลจากการที่จำนวนสมาชิกลดลงเป็นครั้งแรกในรอบกว่า 10 ปี โดยทั้งหมดนี้จะเป็นการปรับรูปแบบของธุรกิจทั้งหมด ไม่ว่าจะเป็น การปรับโครงสร้าง คนในองค์กร วัฒนธรรม รูปแบบความคิด แต่ Digital Transformation จะเป็นส่วนหนึ่งเพราะแทบไม่มีธุรกิจใดไม่แตะ Digital
และเมื่อถามถึงเหตุผลที่ว่าทำไมต้องมีหลักสูตร TEN X คุณสราวุฒิ ขยายความว่า เป็นเพราะความตั้งใจของ คุณกลินท์ สารสิน ประธานกิตติมศักดิ์ ประธานอาวุโส หอการค้าไทย และสภาหอการค้าแห่งประเทศไทย นายกสภามหาวิทยาลัย หอการค้าไทย ที่มองเห็นการ Transformation เป็นเรื่องที่สำคัญ และองค์กรส่วนใหญ่รับรู้ว่าต้องเปลี่ยน ไม่ว่าจะอยู่ในเซกเตอร์ใดของธุรกิจก็ตาม แต่ทั้งนี้การที่จะ Transform ไม่ค่อยมีหลักสูตรสำเร็จที่ตายตัว เพราะแต่ละองค์กรมีเอกลักษณ์แตกต่างกันออกไป
จึงนับเป็นความตั้งใจของหอการค้าไทย สภาหอการค้าแห่งประเทศไทย มหาวิทยาลัยหอการค้าไทย และ DeOne Academy ที่จะพัฒนาหลักสูตรขึ้นมาเพื่อเป็นไกด์ให้คนที่เข้าร่วมหลักสูตรได้เห็นภาพ จากคนที่ทำสำเร็จ ไม่ว่าจะเป็นทั้งในประเทศไทย และต่างประเทศ ซึ่งไม่ใช่แค่การเรียนเพียงอย่างเดียว แต่จะเป็นเรื่องของการปฏิบัติด้วย อย่างเช่น การทำโปรเจกต์ ที่จะเป็นการนำเคสจริงของคนที่เข้าร่วมในหลักสูตร มาช่วยกันคิดร่วมกัน เพื่อให้โจทย์นั้น ๆ สมบูรณ์แบบ
ทั้งนี้อีกด้านเรามีความตั้งใจที่อยากจะเป็นสะพานในการเชื่อมต่อภาครัฐ กับภาคเอกชนให้เกิดการเรียนรู้ร่วมกัน ซึ่งถือเป็นเวทีที่จะส่งผลต่อการ Collaboration กันได้อีกทางหนึ่ง
ส่วนทางด้าน ดร.ชัยพัชร์ เสริมว่า TEN X ย่อมาจาก Transformational Executive Network for Exponential Growth ซึ่งมาจาก Google Principle 9 ประการ ที่มี Principle หลากหลาย หนึ่งในนั้นคือ Think 10x หรือการคิดเพิ่มให้ได้ 10 เท่าเป็นขั้นตอนในการระดมไอเดียที่สำคัญที่สุดของทีมงาน Google ที่ต้องปฏิบัติ และถือเป็น Mindset ในการทำงาน ที่ไม่ใช่แค่ Small Growth โดย TEN X คือการมีวิธีคิดที่ไม่ได้อยู่แค่ Organic Growth เท่านั้น
“เนื่องจากเวลาทำ Business Plan คนจะเริ่มคิดการปรับ เพิ่มช่องทาง แต่ธุรกิจการมาปรับนิด ปรับหน่อย เรียกว่า ‘Small Change’ ซึ่งตรงส่วนนี้มักจะไม่ทันต่อโลก ดังนั้นต้องคิดแบบ TEN X เช่น หากต้องการที่จะเติบโตหมื่นล้าน จะต้องทำในสิ่งที่ไม่เคยทำ ด้วยการสร้างธุรกิจให้แตกต่าง ผ่านกลยุทธ์น่านน้ำใหม่ ที่จะนำไปสู่อุตสาหกรรมใหม่ ๆ ดังนั้นหลักสูตรนี้จึงถือเป็นจุดเปลี่ยนสำคัญ ที่เป็นหลักสูตรเครือข่ายสำหรับผู้บริหาร ด้านการเปลี่ยนแปลง ฉะนั้นกลุ่มเป้าหมายคือทั้งภาครัฐ และเอกชน ที่เป็นผู้นำด้านการเปลี่ยนแปลงนั่นเอง ดังนั้นสิ่งที่เราอยากได้คือ เขาจะเห็นภาพว่าทำไมเขาจึงต้องเปลี่ยน และเข้าใจการเปลี่ยนแปลงที่อยากให้เกิดขึ้น รวมทั้งเขาต้องเป็นแรงขับเคลื่อนที่สำคัญที่จะทำให้เกิดการเปลี่ยนแปลงผ่านการนำทัพของ Leader ที่มี Mindset ที่ใช่”
และเพื่อให้เกิดการรวมตัวกัน ดร.ชัยพัชร์ ชี้ว่า เมื่อคนที่เป็น Change Leader เมื่อมาเจอกันจะส่งผลต่อการเปลี่ยนแปลง เกิดความสนุก และเกิดการแลกเปลี่ยนข้อมูลซึ่งกันและกัน เพราะ TEN X มีคำว่า Network อยู่ด้วย ซึ่งนั่นเป็น Key Success Factors ที่เราอยากได้ คือ คนที่เข้าร่วมหลักสูตรมาร่วมกันจะเกิด Network Effect ที่เกิดขึ้นได้หลังจากจบหลักสูตร และส่งผลต่อการปรึกษาหารือร่วมกันต่อไปในอนาคต
เพราะการปรับกระบวนคิด วิสัยทัศน์ และความเชื่อมั่น มักจะเริ่มตั้งแต่ระดับ ‘ผู้บริหาร’ ไปจนถึงบุคลากรทุกระดับ ดังนั้นผู้บริหารจะต้องนำเสนอและทำให้บุคลากรภายในองค์กรมองเห็นว่าการคิดในเชิงธุรกิจยุคใหม่นั้นจะต้องมีแนวทางที่ชัดเจน และควรทำให้เกิดการรับรู้ร่วมกันของคนในองค์กร ผ่านการสื่อสารอย่างต่อเนื่อง เพื่อให้เกิดความเข้าใจไปในทิศทางเดียวกัน
ซึ่งในหลักสูตร TEN X ก็ได้มีการเชิญ Speaker ชั้นนำ และเป็นคนที่เป็น Change Leader ในองค์กร มาร่วมแสดงวิสัยทัศน์ บวกกับแนวคิดดี ๆ มากมาย เช่น คุณศุภจี สุธรรมพันธ์ คุณนวลพรรณ ล่ำซำ คุณวิทัย รัตนากร คุณสาระ ล่ำซำ คุณสมพงษ์ รุ่งนิรัติศัย คุณณัฐวุฒิ อมรวิวัฒน์ คุณธนวัฒน์ สุธรรมพันธุ์ คุณปฐมา จันทรักษ์ ดร.ทวารัฐ สูตะบุตร คุณณรงค์ศักดิ์ โอสถธนากร ดร.ธัชพล โปษยานนท์ คุณณฤทธิ์ เจียอาภา ดร.อาภาภัทร บุญรอด และผู้นำท่านอีกหลากหลายท่าน
คุณสราวุฒิ ได้ให้ความเห็นว่า หลักสูตรที่เน้นเรื่อง Transformation ก็อาจจะมีบ้าง แต่ที่เน้นเรื่องของคน วัฒนธรรมองค์กร ยังไม่มีให้เห็นชัดเจนมากนัก อีกทั้งจุดแข็งเราไม่ได้มีการพูดถึงแต่ตัวอย่างของต่างประเทศเท่านั้น แต่จะมีการยกตัวอย่างของในประเทศไทยด้วยเช่นกัน และหลักสูตรนี้ไม่ได้เน้นการนั่งเรียนเพียงอย่างเดียว แต่จะนำเคสตัวอย่างที่เกิดขึ้นจริงภายในองค์กรมาทำให้สำเร็จผล นอกเหนือจากนี้จะมีการติดตามผลหลังจากจบหลักสูตรอีกด้วย เพราะสิ่งที่ทำเรามุ่งหวังว่าต้องได้ประโยชน์เรื่อง Networking ระดับประเทศที่อาจจะเกิดการขับเคลื่อนตรงส่วนนั้น
ขณะที่ ดร.ชัยพัชร์ กล่าวเสริมว่า หากพูดง่าย ๆ TEN X คือ หลักสูตรเดียวที่เน้นเรื่องการทำ Total Transformation เพราะทุกคนชอบคิดว่า Digital Transformation แต่เราทำ Total Transformation เพราะหากเราทำแค่ Business & Digital Transformation แต่ไม่ทำ Culture & People Transformation ก็เหมือนปลูกบ้านแล้วลืมตอกเสาเข็มนั่นเอง ดังนั้นบ้านจะไม่สามารถมั่นคงได้
จึงสามารถตอบได้อย่างเต็มภาคภูมิว่า We are the only one จริง ๆ โดยมองว่าหลักสูตรในครั้งนี้จะสามารถสร้างผลสำเร็จ และต่อยอดสู่รุ่นต่อ ๆ ไปในอนาคตได้ ทั้งหมดนี้จึงสามารถสรุปได้ว่าหลักสูตร TEN X จะเป็นการเรียนที่ไม่ได้มีแต่ Lecture แต่มี Onsite และ Online Learning + Outing Trip รวมทั้งยังมี Company Visit 2 องค์กรชั้นนำได้แก่ PTTGC และ KBANK โดยจะเป็นการแลกเปลี่ยนเรียนรู้กับองค์กรชั้นนำ และที่สำคัญคือเป็นคอร์สที่ได้ Super Connection และเน้นไปที่การเติบโตของธุรกิจอีกด้วย
ทั้งนี้ในการรับมือกับการเปลี่ยนแปลง ทั้งการทำให้ธุรกิจให้อยู่รอด และการเติบโตในแบบฉบับของผู้บริหารนั้น คุณสราวุฒิ เผยว่า เรื่องของ Transformation จะต้องปรับไปเรื่อย ๆ และยุคนี้เรื่องของ Transformation เป็น Hot Topic ที่ต้องพูดคุยตลอดเวลา แต่อนาคตจะเป็น Norm ของ Business ที่ทุกคนต้องปรับตัวตลอดเวลา โดยการปรับตัวหมายถึง การปรับทุกเรื่อง และมีเรื่องใหม่ ๆ เกิดขึ้นเสมอ อาทิ คน วัฒนธรรมองค์กร
“ดังนั้น Leader ทุกคน จงอย่าเหนื่อย อย่าท้อ ต้องสนุกไปกับการ Transformation รวมทั้งคิดนอกกรอบตลอดเวลา และมองภาพอนาคตให้ไกลกว่าเดิมอาจจะเป็น 5-10 ปี และอย่าคิดว่าองค์กรที่ต้องปรับตัว คือองค์กรที่กำลังแย่ หรือองค์กรที่มีปัญหา เพราะทุกวันนี้คือองค์กรที่ยังดีอยู่ เนื่องจากว่าตอนที่คุณยังสำเร็จคือ ตอนที่คุณต้องปรับตัว อย่าง Netflix หรือ Twitter ที่ได้มีการปรับตัวอย่างมากเช่นกัน ดังนั้นจึงเป็น Learning ที่ทุกคนต้องตระหนักรู้ว่า Transformation คือ Norm ของ Business ในอนาคต และปัจจุบัน”
อย่างไรก็ตามต้องตระหนักเสมอว่า Transformation คือ ภารกิจของ Leader ที่ไม่ใช่หน่วยงานใดหน่วยงานหนึ่ง และต้องเข้าใจว่า Transformation เป็นหน้าที่ของทุกคนในองค์กร และสุดท้ายหลักสูตร TEN X จะเป็นกุญแจสำคัญที่จะพาคุณไปสู่มิติที่กล่าวมาทั้งหมด
จึงอยากจะเชิญชวนผู้ที่มีความคิดและเป็น Leader ในแต่ละองค์กร หรือ ผู้บริหารระดับสูงขึ้นไปมาร่วมหลักสูตร สร้างโอกาสการเรียนรู้ในหลาย ๆ สิ่งที่เป็นเรื่องใหม่ ๆ และโอกาสในการเรียนรู้ร่วมกัน ซึ่งถือเป็นจุดเริ่มต้นของการสร้าง Network สำหรับการ Transformation ของประเทศไทยในอนาคต เพราะ “TEN X” คือ หลักสูตรชั้นนำของประเทศไทยที่ไม่ได้มีดีแค่การเรียนเพียงอย่างเดียว แต่จะเป็นหลักสูตรที่เน้นผลักดันการทำ Total Transformation ในองค์กรให้เกิดขึ้นจริงและประสบความสำเร็จ ผ่านการทำ Business, Digital, Culture & People Transformation และยกระดับมุมมอง วิธีคิด ภาวะผู้นำในการนำการเปลี่ยนแปลง พร้อมทั้งได้เครือข่ายผู้บริหารระดับแถวหน้าของประเทศไทยที่มีประสบการณ์และรับผิดชอบเรื่อง Transformation อย่างแท้จริง
ขณะเดียวกัน ดร.ชัยพัชร์ ได้กล่าวทิ้งท้ายว่า “เรื่องของ Transformation ไม่ใช่ Priority แรกของผู้นำ แต่เป็นสิ่งเดียวที่ผู้นำจะต้องทำ เพราะวันนี้ถ้าผู้นำไม่ทำ Transformation องค์กรก็จะไม่รอด และหากผู้นำยังคิดประมาท ว่าอนาคตโลกยังเหมือนเดิมไม่เปลี่ยนแปลง ท้ายที่สุดทุกอย่างอาจจะต้องปิดสวิตช์ไป ดังนั้นมองว่าอีกไม่กี่ปีข้างหน้าโลกจะเปลี่ยนแปลงไปแบบ Exponential curve ฉะนั้น Real Leader ผู้นำตัวจริง ! ต้องลุกขึ้นมาสร้างการเปลี่ยนแปลง สิ่งเดียวที่ต้องทำคือการเป็นผู้นำในการ Transformation ที่ควรจะทำเมื่อวันที่เราแข็งแรง และพอมีกระสุน ดังนั้นควรลงทุนเวลา เพื่อความคุ้มค่าทั้งชีวิตที่จะได้รับจากหลักสูตรนี้ เพราะเราเน้นในเรื่อง “ผลลัพธ์” พร้อมกับความเข้มงวดในการเรียนที่ไม่ใช่แค่การ “ฟัง” แต่คือการ “แชร์” และ “ลงมือทำ”
สามารถลงทะเบียนผ่าน https://docs.google.com/forms/d/e/1FAIpQLSecc-wqyhSSDLJW9E2AtAsWN9lL6KiAaASiEDtmbcI7Yw0JWQ/viewform
อ่านรายละเอียดเพิ่มเติม: https://tenx.utcc.ac.th/
กำหนดการอบรม :
ระหว่างวันที่ 21 มิถุนายน ถึง วันที่ 10 กันยายน 2565 (วันอบรม จำนวน 22 ครั้ง)
อบรมทุกวันอังคาร สถานที่จัดอบรม : มหาวิทยาลัยหอการค้าไทย ถนนวิภาวดีรังสิต
อบรมทุกวันเสาร์ : ในรูปแบบ Virtual Learning ผ่าน TEN X platform powered by Conicle
หากมีข้อสงสัยสามารถติดต่อได้ที่
ผู้ประสานงานหลักสูตร : คุณศุภเสริฐ กีรติยานันทน์ เบอร์โทรศัพท์: 098-424-5241และ คุณวรพรรณ ยุพาวัฒนะ เบอร์โทรศัพท์: 096-845-4698 หรือ Line: @tenx
ลงทะเบียนเข้าสู่ระบบ เพื่ออ่านบทความฟรีไม่จำกัด