เจาะโมเดล 3Cs (Coach-Cash-Connect) สูตรการปั้นสตาร์ทอัพไทยให้โตไกลด้วยหลัก 'โค้ช-เงินทุน-เครือข่าย'

ในแต่ละปี มีสตาร์ทอัพหน้าใหม่ถือกำเนิดขึ้นทั่วโลกราว 50 ล้านราย แต่มีเพียง 10% เท่านั้นที่สามารถอยู่รอดได้ในระยะยาว ประเทศไทยเองก็ไม่ต่างกัน เรามีผู้ประกอบการที่มีไอเดียดีๆ มากมาย แต่กลับต้องเผชิญกับความท้าทายสำคัญที่เรียกว่า หุบเหวมรณะ (Valley of Death) ซึ่งเป็นช่วงที่ธุรกิจไม่สามารถขยายสเกลต่อไปได้ ปัญหาหลักไม่ได้อยู่ที่การขาดแคลนไอเดีย แต่มาจากการที่ Ecosystem ยังขาดการสนับสนุนที่ต่อเนื่อง และยังกระจัดกระจาย

สำหรับประเทศไทยนั้น มีจุดเด่นด้านการก่อตั้งธุรกิจในระยะเริ่มต้น แต่กลับประสบปัญหาในการสเกล ให้กลายเป็นบริษัทที่แข่งขันในระดับโลกได้ ด้วยเหตุนี้ รศ.ดร.ณัฐชา ทวีแสงสกุลไทย และทีมวิจัย จึงได้พัฒนากรอบการทำงานที่เรียกว่า โมเดล 3Cs (Coach-Cash-Connect) 

ซึ่งเป็นกรอบการทำงานที่ผสมผสาน 'พี่เลี้ยง-เงินทุน-เครือข่าย' เข้าไว้ด้วยกัน เพื่อปิดช่องว่างในระบบนิเวศนวัตกรรมของไทย และเป็นแนวทางสนับสนุนวิสาหกิจที่ขับเคลื่อนด้วยนวัตกรรม (Innovation-Driven Enterprises หรือ IDEs) โดยเฉพาะ ซึ่งได้มีการนำร่องไปใช้แล้วกับโครงการ Growth Program 2024

โมเดล 3Cs คืออะไร ? เจาะสูตรการปั้นสตาร์ทอัพให้โตไกล

โมเดล 3Cs เป็นกรอบแนวคิดที่ถูกพัฒนาขึ้นจากการศึกษาโมเดลการเลี้ยงสตาร์ทอัพที่ประะสบความสำเร็จระดับโลกอย่าง MIT Venture Mentoring Service (MIT VMS) และ Founder Insitute (FI) ก่อนจะนำมาปรับให้เข้ากับบริบทของประเทศไทยที่ยังมีฐานผู้ประกอบการและนักลงทุนไม่ใหญ่เท่านานาชาติ สำหรับโมเดล 3Cs แบ่งออกเป็น 3 เสาหลักดังนี้

Coach (พี่เลี้ยง)

Coach นับเป็นหัวใจสำคัญที่สุดในการสร้างรากฐานที่แข็งแกร่งให้กับ IDEs โดยพี่เลี้ยงที่ว่านี้หมายถึงการให้คำปรึกษาและองค์ความรู้ที่จำเป็น ไม่ใช่แค่การสอนทฤษฎี แต่เป็นพี่เลี้ยงที่มีประสบการณ์ตรงคอยให้คำแนะนำเชิงลึก ทั้งด้านกลยุทธ์ การตลาด กฎหมาย ไปจนถึงการพัฒนาทักษะที่จำเป็น Soft Skill ซึ่งเป็นกลไกสำคัญที่จะช่วยลดช่องว่างด้านข้อมูลและความรู้ของผู้ประกอบการ 

คำถามต่อมาคือต้อง Coach หรือสอนอะไร ? แกนกลางของ Coach คือหลักสูตรที่เรียกว่า A-School ซึ่งเป็นแพลตฟอร์ม Incubator ที่พัฒนาโดย CU Innovation Hub ถูกออกแบบมาเพื่อสนับสนุนผู้ประกอบการในทุกช่วงการเติบโตผ่านหลักสูตร 7 ระดับ ที่ครอบคลุมตั้งแต่

  • ระดับที่ 1-2 ช่วงก่อนเกิดไอเดีย (Pre-idea) และการตรวจสอบไอเดีย (Idea Validation) 
  • ระดับที่ 3-4 การพัฒนาต้นแบบ (Prototype) และการพัฒนาผลิตภัณฑ์ (Product Development)
  • ระดับที่ 5-6 การเปิดตัวสู่ตลาด (Market Launch) และการเติบโตของตลาด (Market Growth)
  • ระดับที่ 7 การเตรียมความพร้อมระดมทุนในระดับ Series A, B, C หรือการเข้าตลาดหลักทรัพย์ (IPO)

โดยรูปแบบการให้คำปรึกษาจะผสมผสานหลากหลายวิธีเพื่อให้เกิดประโยชน์สูงสุด ได้แก่ 

  • ต้องรักษาสมดุลระหว่างการให้คำปรึกษาแบบตัวต่อตัวและแบบกลุ่ม เพื่อให้ได้ทั้งมุมมองเชิงลึกที่เหมาะกับธุรกิจของตนเอง และได้เรียนรู้จากประสบการณ์ของเพื่อนผู้ประกอบการ
  • เน้นลงมือทำ โดยต้องมีกิจกรรมอย่างการฝึกซ้อม Pitching และการเรียนรู้จากการปฏิบัติจริง
  • การให้คำปรึกษาจะต้องปรับเปลี่ยนไปตามระยะของธุรกิจ เพื่อให้สตาร์ทอัพได้รับคำแนะนำที่จำเป็น และตรงจุดที่สุดในแต่ละช่วงเวลา

Cash (เงินทุน)

Cash ในที่นี้ไม่ได้หมายถึงแค่การระดมทุนให้ได้เม็ดเงินก้อนใหญ่ แต่คือการสร้าง เส้นทางการเข้าถึงเงินทุนที่ต่อเนื่องและเหมาะสม (Funding Pathway) เพื่อแก้ปัญหาสำคัญที่ผู้ประกอบการไทยต้องเผชิญ นั่นคือระบบนิเวศการลงทุนที่ยังกระจัดกระจาย โดยแม้ประเทศไทยจะมีโครงการสนับสนุนด้านเงินทุนจากภาครัฐอยู่แล้ว แต่สตาร์ทอัพจำนวนมากยังต้องเผชิญกับ 3 ปัญหาสำคัญคือ

  • แหล่งเงินทุนที่กระจัดกระจาย ทำให้ผู้ประกอบการต้องเสียเวลาและทรัพยากรในการวิ่งหาทุนแต่ละช่วง
  • ความอ่อนแอของการลงทุนช่วงเริ่มต้น ซึ่งเมื่อเทียบกับ Ecosystem ในสหรัฐฯ แล้ว ประเทศไทยยังมีนักลงทุนที่กล้ารับความเสี่ยงในธุรกิจเริ่มต้นไม่มากนัก
  • การขาดความรู้ความเข้าใจ เรื่องการวางแผนการเงิน, การประเมินมูลค่าบริษัท และกลยุทธ์การระดมทุน

Cash ในโมเดล 3Cs จึงออกแบบโดยใช้แนวคิดหลักคือ การสร้างระบบที่เงินทุนสามารถไหลเวียนไปสู่สตาร์ทอัพได้อย่างต่อเนื่องตามระยะการเติบโต โดยมีหลักการดังนี้

  • จัดหาเงินทุนตามช่วงการเติบโต ตั้งแต่ช่วง Pre-idea ไปจนถึงการระดมทุนระดับ Series A หรือสูงกว่านั้น เพื่อให้มั่นใจได้ว่า IDEs จะได้รับเงินทุนที่เหมาะสมในแต่ละขั้นตอนการเติบโต
  • ใช้แหล่งเงินทุนที่หลากหลายเข้าด้วยกัน ได้แก่ หน่วยงานรัฐ, นักลงทุนเอกชน (เช่น Venture Capital, Angel Investor) และบริษัทโฮลเดิ้งของมหาวิทยาลัย (University Holding Company)
  • ฝึกอบรบด้านการเงิน ไม่ใช่แค่ให้เงิน แต่ให้ความรู้ทางการเงิน, กลยุทธ์การระดมทุน และความสัมพันธ์กับนักลงทุน

Connect การสร้างเครือข่าย

Connect ถูกออกแบบมาเพื่อผสานแนวคิดของต่างชาติที่เน้นสร้างเครือข่ายระดับโลกตั้งแต่เนิ่นๆ เข้ากับแนวคิดของไทยที่ให้ความสำคัญกับการสร้างเครือข่ายในประเทศให้แข็งแกร่งก่อน โดยสร้างกรอบการทำงานที่เรียกว่า เครือข่ายอัจฉริยะ (Synergic Networks) ซึ่งเป็นการบูรณาการผู้เล่นหลัก 6 กลุ่มเข้าไว้ด้วยกันอย่างเป็นระบบ ได้แก่

  • ภาครัฐ
  • Accelerator
  • มหาวิทยาลัย
  • สตาร์ทอัพ (IDEs)
  • นักลงทุน 
  • ผู้เชี่ยวชาญด้านกฎหมาย

สำหรับหน้าที่หลักของ Synergic Networks คือ

  • สร้างการเชื่อมต่อระหว่างผู้มีส่วนได้ส่วนเสีย ทำให้การเข้าถึงผู้เชี่ยวชาญ นักลงทุน หรือพันธมิตรเป็นเรื่องง่ายขึ้น
  • สร้างพันธมิตรระดับโลก เพื่อเปิดประตูให้สตาร์ทอัพไทยได้เชื่อมต่อกับตลาดและเทคโนโลยีในต่างประเทศ
  • สร้างแพลตฟอร์มข้อมูลแบบบูรณาการ (Integrated Data Platform) เพื่อเป็นศูนย์กลางข้อมูลที่ช่วยในการจับคู่ธุรกิจและวิเคราะห์แนวโน้มตลาด
  • การเข้าถึงตลาดต่างประเทศ เพื่อช่วยเหลือสตาร์ทอัพในการวางแผนและขยายธุรกิจไปสู่ระดับนานาชาติ
  • พัฒนาทักษะและองค์ความรู้ โดยจัดกิจกรรมสร้างเครือข่ายควบคู่ไปกับการให้ความรู้ เช่น Investor Forums และ Expert Consultations

เพื่อทดสอบประสิทธิภาพของโมเดล 3Cs ทีมนักวิจัยได้นำไปใช้จริงในโครงการนำร่อง 'Growth Program 2024' ซึ่งเป็นความร่วมมือระหว่าง สอวช. (NXPO), NIA และ CU Innovation Hub โดยมีการคัดเลือกสตาร์ทอัพที่มีศักยภาพสูง 20 ทีมจากผู้สมัครทั้งหมด 133 ทีม ครอบคลุมหลากหลายอุตสาหกรรม เช่น DeepTech, HealthTech, FoodTech และ AgriTech

สตาร์ทอัพที่เข้าร่วมโครงการได้ผ่านกระบวนการบ่มเพาะเข้มข้นตลอด 3-6 เดือน ทั้งการอบรม, การให้คำปรึกษาแบบตัวต่อตัวกับพี่เลี้ยงมืออาชีพ 10 ท่าน, และกิจกรรมสร้างเครือข่าย ซึ่งก็พบว่าสตาร์ทอัพทั้ง 18 ทีมที่ส่งผลครบถ้วน มีพัฒนาการที่ดีขึ้นในทุกมิติอย่างมีนัยสำคัญ โดยเฉพาะในด้าน Cash ที่มีพัฒนาการโดดเด่นที่สุด สัะท้อนให้เห็นว่าโครงการสามารถแก้ปัญหาที่เป็นจุดอ่อนที่สุดของผู้ประกอบการไทยได้อย่างตรงจุด

ความสำเร็จของโครงการนำร่องได้นำไปข้อเสนอแนะเชิงปฏิบัติ เพื่อยกระดับ Ecosystem ของไทยอย่างยั่งยืน เช่น

  • สร้างแพลตฟอร์มแห่งชาติในด้าน Mentorship โดยเสนอจัดตั้งแพลตฟอร์มดิจิทัลกลางเพื่อรวบรวมฐานข้อมูลพี่เลี้ยง, จับคู่กับสตาร์ทอัพ และติดตามผลการดำเนินงานอย่างเป็นระบบ โดยควรทำงานร่วมกับเครือข่ายจากภาครัฐ, มหาวิทยาลัย และภาคเอกชน เพื่อขยายการเข้าถึงและสร้างความเท่าเทียม
  • ใช้กลไกการให้ทุนตามช่วงการเติบโต (Stage-Based Funding) ใช้การออกแบบระบบการให้ทุนที่สอดคล้องกับความต้องการในแต่ละระยะของธุรกิจ ตั้งแต่เงินให้เปล่าในช่วงเริ่มต้น ไปจนถึงการร่วมลงทุน ในช่วงขยายตลาด 
  • ส่งเสริมการเชื่อมต่อใน Ecosystem เสนอให้ภาครัฐควรมีมาตรการจูงใจ เช่น สิทธิประโยชน์ทางภาษี หรือทุนสนับสนุนแบบจับคู่ เพื่อกระตุ้นให้เกิดความร่วมมือระหว่างมหาวิทยาลัย, Incubator, Accelerator และภาคเอกชน 
  • พัฒนาระบบรับรองมาตรฐานพี่เลี้ยง เสนอให้มีการนำระบบการรับรองมาตรฐานพี่เลี้ยงแห่งชาติ, การฝึกอบรมที่เป็นมาตรฐาน และนำกลไกการรักษาบุคลากร (retention mechanisms) มาใช้

อ้างอิง : Empirical implementation of coach-cash-connect mentoring model for innovation-driven enterprises in Thailand: Insights for policy development and sustainable growth

ลงทะเบียนเข้าสู่ระบบ เพื่ออ่านบทความฟรีไม่จำกัด

No comment

RELATED ARTICLE

Responsive image

รวมคลื่น Layoff 2025 บิ๊กเทคปลดคนครั้งใหญ่ 300 กว่าวันที่ผ่านมาเจออะไรบ้าง ?

อัปเดตวิกฤต Layoff ปี 2025 ในวงการเทค Intel ปลดกว่า 23,000 คน ตามด้วย Microsoft และ Amazon วิเคราะห์ภาพรวมการลดคนครั้งใหญ่และแนวโน้มตลาดแรงงานยุค AI...

Responsive image

สรุป 17 ดีลใหญ่ AI ที่เกิดขึ้นในปี 2025

สรุปครบ 17 ดีล AI ยักษ์ใหญ่ปี 2025 พร้อมเจาะลึกปม Circular Deals หรือการหมุนเงินลงทุนเป็นวงกลม สัญญาณเตือนฟองสบู่ที่นักลงทุนต้องระวัง...

Responsive image

ทิศทาง Agoda ในยุค AI-First จาก CEO เตรียมปักธงปั้นกรุงเทพฯ เป็น ‘Silicon Valley แห่งเอเชีย’ พร้อมส่องเทรนด์ท่องเที่ยวปี 2026

เจาะลึกวิสัยทัศน์ Agoda 2025 ปั้นกรุงเทพฯ สู่ Silicon Valley แห่งเอเชีย พร้อมเปิดตัวกลยุทธ์ AI-First และ Autonomous Agent ผู้ช่วยอัจฉริยะที่คิดแทนคุณได้ เผยข้อมูล Insight เที่ยวไทย...