Blognone Tomorrow 2019 งานสัมนาด้านเทคโนโลยีเชิงธุรกิจที่จัดโดย Blognone สื่อสาย IT ออนไลน์ชั้นนำของไทย ซึ่งในปีนี้กลับมาภายใต้หัวข้อ Human & Machine ซึ่งเป็นหัวข้อที่สะท้อนให้เห็นถึงภาพการเปลี่ยนผ่านและการทำงานร่วมกันระหว่างคนและเทคโนโลยีที่มากขึ้น เนื้อหาจึงเจาะลึก 3 แกนหลัก ได้แก่ AI, IoT และ Cloud Computing
หนึ่งในไฮไลท์สำคัญของงานครั้งนี้คือ session ของคุณธนาธร จึงรุ่งเรืองกิจ จากพรรคอนาคตใหม่ ที่วันนี้ไม่ได้มาพูดเรื่องการเมืองหรือการแก้รัฐธรรมนูญ แต่มาให้ข้อมูลเกี่ยวกับเทคโนโลยี Hyperloop ภายใต้หัวข้อ ‘Hyperloop and Path Skipping Development Strategy’ ถึงสาเหตุว่า 'ทำไม' ตัวเขาถึงสนใจใน Hyperloop และ ทำอย่างไรประเทศไทยถึงจะหลุดพ้นจากกับดักรายได้ปานกลาง
คุณธนาธรเริ่มต้นด้วย การกล่าวถึงข้อมูลในปี 1960 มีประเทศที่ถูกจัดให้เป็นประเทศรายได้ปานกลางอยู่ 101 ประเทศ หลังจากนั้นผ่านมาถึงปี 2008 กลับมีประเทศที่หลุดพ้นออกจากกับดักนี้เพียงแค่ 13 ประเทศเท่านั้น ซึ่งส่วนใหญ่เป็นประเทศที่อยู่ในทวีปยุโรป รวมถึงประเทศในเอเชีย เช่น สิงคโปร์ เกาหลี ฮ่องกง ญี่ปุ่น และไต้หวัน โดยหลายประเทศใช้เวลาค่อนข้างน้อยในการหลุดออกจากการเป็นประเทศรายได้ปานกลาง
ซึ่งล้วนแล้วแต่ใช้ทฤษฎีบางอย่างทำให้ตัวเองหลุดพ้นอย่างรวดเร็ว นั่นก็คือ 'Path Skipping Development Strategy' หรือ ทฤษฏีการข้ามเส้นทางการพัฒนา จากปกติที่หากจะพัฒนาประเทศมักจะเริ่มจากการอุตสาหกรรมผลิตเหล็ก แล้วต่อด้วยผลิตเสื้อผ้า และสินค้าอิเล็กทรอนิกส์ เป็นขั้นตอนไป แต่ไอเดียนี้คือการข้ามขั้น ไปสู่สิ่งที่ยังไม่มีคนทำสำเร็จมาก่อน ให้ประเทศไทยกลายเป็น 'Hub' และเป็นผู้ผลิตก่อนคนอื่น ไม่อย่างนั้นก็คงจะหนีไม่พ้นการนำเข้าเทคโนโลยีเช่นเดิม และไม่สามารถหลุดพ้นจากการกับดักรายได้ปานกลาง
ยกตัวอย่างบริษัท Thai Summit ที่สามารถทำกำไรได้เพิ่มขึ้นแม้จะลดจำนวนพนักงานลงในช่วงหลายปีที่ผ่านมา จากการปรับตัวต่อโลกที่เปลี่ยนไปด้วยเทคโนโลยี
คุณธนาธร กล่าวถึงวิธีที่ Thai Summit สามารถสร้างความยั่งยืน และต่อกรกับความเร็วของโลก ด้วยการคำนึงถึงสิ่งเหล่านี้;
"โรงงานอุตสาหกรรมที่ยังไม่ได้พัฒนาและเข้าไม่ถึงเทคโนโลยียังมีอีกเป็นจำนวนมาก และยังเป็นช่องว่างทางธุรกิจอย่างมหาศาล ดังนั้นถ้าใครเป็น Solution Provider ได้ ผมเชื่อว่าโอกาสทางธุรกิจยังมีอีกมหาศาล" คุณธนาธรกล่าว
ต่อคำถามที่ว่า ทำไมถึงมองข้ามช็อต ข้ามรถไฟความเร็วสูงไป คุณธนาธรกล่าวว่า ถ้าจะลงทุนในรถไฟความเร็วสูงจากจีนหรือญี่ปุ่น ก็เหมือนการเอาเงินไปจ้างคนต่างชาติในการทำงาน แต่ถ้าหากนำเงินจำนวนเดียวกันนั้น มาปรับรถไฟที่มีปัจจุบันให้เป็นรางคู่ และขณะเดียวกันก็ผลิตตัวรถไฟเอง รวมถึงลงทุนใน R&D ของ Hyperloop จะสามารถตอบโจทย์ให้คนในชาติได้มากกว่า ซึ่งเขาเชื่อว่า Hyperloop หรือการเดินทางผ่านท่อความดันอากาศต่ำ ด้วยความเร็ว 1,000 กิโลเมตรต่อชั่วโมง คือการเดินทางรูปแบบที่ 5 ในอนาคตอันใกล้ และจะประหยัดพลังงานกว่ายานพาหนะรูปแบบอื่น
"สิ่งสำคัญคือกล้าคิดที่จะลงทุนใน R&D หรือเปล่า? ขณะนี้เมื่อเทคโนโลยีมันยังไม่สมบูรณ์ มันก็จะเปิดโอกาสให้มีผู้เล่นใหม่ๆ สอดแทรกขึ้นมาอยู่ตลอดเวลา ถ้าเรามัวแต่รอให้มันสมบูรณ์เต็มร้อยแล้ว ท้ายที่สุดเราก็หนีไม่พ้นการนำเข้าเทคโนโลยี เหมือนกับที่ผ่านมา เหมือนรถไฟฟ้า และ social media"
คุณธนาธรมองว่า ในการเริ่มต้นลงทุนใน R&D และให้ความสำคัญกับการวิจัยและพัฒนาตั้งแต่ในระยะเริ่มต้นเป็นสิ่งสำคัญอย่างมาก เพื่อที่จะเป็นเจ้าของทรัพย์สินทางปัญญา และเพื่อก่อสร้างอุตสาหกรรมและห่วงโซ่อุปทานที่เกี่ยวข้องกับเทคโนโลยี Hyperloop ได้ และแม้ในท้ายที่สุดจะไม่เกิดขึ้นจริง ก็จะไม่สูญเปล่า เพราะความรู้ที่ได้อย่างไรก็สามารถนำไปประยุกต์ใช้กับเทคโนโลยีอื่นได้ด้วย
การเข้ามาของคลื่นเทคโนโลยีทั้ง Infotech และ Biotech จะเปลี่ยนโฉมหน้าของโลกไปอย่างสิ้นเชิง ดังนั้นประเทศจึงต้องสร้าง Ecosystem เพื่อรองรับการเปลี่ยนแปลงนี้ให้ได้
อย่างไรก็ตาม คุณธนาธรได้กล่าวสรุปในตอนท้ายว่า ประเทศไทยยังมีความหวัง เนื่องจากล่าสุดมีคนรุ่นใหม่และนักศึกษาไทยที่เริ่มพัฒนา POD จำลอง เพื่อไปแข่งที่งาน SpaceX Hyperloop POD Competition ของ Elon Musk ในปีนี้ ดังนั้นจึงเชื่อว่าต่อจากนี้จะมีการศึกษาและพัฒนาในอีกหลายๆ ด้าน
ลงทะเบียนเข้าสู่ระบบ เพื่ออ่านบทความฟรีไม่จำกัด