หลายคนคงคุ้นเคยกับ The 1 ที่เราใช้สะสมคะแนนกันในห้างเครือ Central Group แต่ปัจจุบัน The 1 ได้ทรานส์ฟอร์มตัวเองจากบัตรสะสมคะแนนมาสู่การเป็น Digital Lifestyle & Loyalty Platform โดยมีแอปพลิเคชัน The 1 เป็นศูนย์กลางที่รวบรวม Experience ต่างๆ โดยไม่ต้องพกบัตรสมาชิกอีกต่อไป นอกจากจะเป็นแอปสำหรับสะสม-แลกคะแนนแล้ว ปัจจุบันแอป The 1 ยังทำอะไรได้อีกมากกว่าที่เราคิด ซึ่งเป็นผลงานการพัฒนาของ The 1 Tech Team ที่แม้จะเป็นทีมที่ก่อตั้งขึ้นไม่นานแต่มีการขยายทีมและสร้างผลงานได้แบบก้าวกระโดด ซึ่งเป็นผลสำเร็จของการทำ Digital Transformation ทั้งองค์กร จนเป็นองค์กรที่ทำงานแบบ Startup และเป็น Data Driven x Tech Company เต็มตัว และยังมีอีกหลายโปรเจกต์รออยู่ในอนาคต เราจะพาไปดูว่าอะไรคือเบื้องหลังความสำเร็จของการเปลี่ยนแปลงในครั้งนี้ พร้อมทั้งเผยมุมมองการเปิดรับคนรุ่นใหม่ร่วมทีม ที่ว่า คนแบบไหนที่จะมีโอกาสร่วมเส้นทางไปกับ The 1 ได้ มาร่วมไขความลับเหล่านี้จากตัวแทน The 1 Tech Team
คุณคณินท์ เล่าว่า เมื่อ 3 ปีก่อน ทางทีมงานและผู้บริหารอยากปรับเปลี่ยนองค์กรไปข้างหน้าให้ทันกับความต้องการในโลกยุคดิจิทัล จึงเป็นที่มาของ The 1 Tech Team ที่ก่อตั้งขึ้นจากคนหลักสิบและเติบโตเป็นกว่าร้อยคน ด้วยความที่ทีมงานของคุณคณินท์มีประสบการณ์การทำงานจากหลายด้าน ไม่ว่าจะเป็น IT Transformation, Digital Transformation หรือ Startup ก็ผ่านอุตสาหกรรมต่างๆ มาค่อนข้างเยอะ แต่เขามองว่า แค่การนำเอา Digital Technology เข้ามาใช้ ไม่สามารถทำให้องค์กรยั่งยืนไปกับอนาคตได้
สิ่งที่จะมาช่วยขับเคลื่อนองค์กรไม่ใช่แค่เทคโนโลยี แต่เป็นสิ่งที่อยู่ในองค์กร ซึ่งก็คือ คน กระบวนการ และการทำงาน สิ่งเหล่านี้จะต้องเปลี่ยนแปลงไปพร้อมๆ กัน และเมื่อคุณกวิน ตั้งอุทัยศักดิ์ กรรมการผู้จัดการเข้ามาจึงเกิดการปรับโครงสร้างการทำงานขึ้นใหม่ โดยจากการทำงานแบบ Agile หรือ Squad
คุณกวินเข้ามาก็นำแนวทางให้สร้างองค์กรที่มันแข็งแกร่งขึ้น โดยการที่เราเริ่มที่จะทำงานในโหมดที่ทุกคนจะได้ยินคำว่า Squad, Agile
คุณคณินท์ กล่าวเสริม
Squad คือการสร้างโครงสร้างของทีมขึ้นมาใหม่เพื่อรองรับการเปลี่ยนแปลง โดยใน Squad ประกอบไปด้วยคนจากหลาย Specialty อย่างเช่น Marketing, Data, Product, และ Tech ฯลฯ แบ่งเป็นหลายๆ Squad ซึ่งแต่ละ Squad ไม่จำเป็นต้องมีอยู่ตลอดไปหรืออาจเพิ่มขึ้นก็ได้ โดยปรับเปลี่ยนไปตามข้อมูล พฤติกรรม และเทรนด์ของผู้บริโภค
การที่มีหลาย Squad ทำให้รู้สึกว่าเหมือนมีหลายธุรกิจอยู่ใน The 1 ซึ่งสิ่งนี้ทำให้ The 1 Tech Team มีความแตกต่างจากบริษัทเทคโนโลยีอื่นๆ เพราะการที่มีคนหลาย Specialty มาทำงานร่วมกัน ทำให้แต่ละฝ่ายต้องทำความเข้าใจกัน และผลลัพธ์ก็จะออกมาอยู่บนพื้นฐานของความเข้าใจ การเปลี่ยนแปลงโครงสร้างตรงนี้ก็ถือเป็นแนวทางให้สร้างองค์กรที่แข็งแกร่งขึ้นได้
คุณคณินท์ กล่าวว่า The 1 ยึดถือวิสัยทัศน์ว่า ต้องการเป็น Central of life โดย Life ที่ทางองค์กรหมายถึงคือ ชีวิตของลูกค้าที่เข้ามาจับจ่ายใช้สอยและใช้บริการที่อยู่ใน Ecosystem รวมถึงลูกค้าที่อยู่นอก Ecosystem อย่างพันธมิตรทางการค้าด้วย The 1 อยากเป็นศูนย์กลางของชีวิตทุกคนผ่านการมอบประสบการณ์ที่ดีทั้งทางออนไลน์และออฟไลน์ จึงสร้าง Mobile Application ขึ้นมาเพื่อมาปิดช่องว่าง และเมื่อมีแอปพลิเคชันก็จะสามารถสร้างสิ่งที่เรียกว่า Omni หรือ Digital Loyalty ขึ้นมาได้
เราพยายามที่จะสร้างการเปลี่ยนแปลงให้ The 1 สามารถตอบโจทย์ลูกค้าเราในเชิงของทั้งออฟไลน์และออนไลน์
นอกจากนี้ ยังมีการสร้าง Content Management Platform ขึ้นมา เพื่อเอื้อประโยชน์สองทางทั้งกับลูกค้าในแง่ของการฟีดคอนเทนต์ให้ลูกค้าตามความสนใจและไลฟ์สไตล์ที่แตกต่างหลากหลาย รวมถึงฝ่ายพาร์ทเนอร์หรือแบรนด์เองก็สามารถใช้ช่องทางนี้ในการสื่อสาร ทำการตลาดและสร้าง engagement กับลูกค้า โดยมี The 1 Biz และ The 1 Passport เป็น Platform ที่สนับสนุนการทำงานของแบรนด์ต่างๆ อีกที
จากเดิมที่ลูกค้าต้องพกบัตรสมาชิก The 1 Card และคูปองกระดาษ ก็ได้ทรานส์ฟอร์มครั้งใหญ่สู่แอปพลิเคชัน The 1 ที่เชื่อมโยงลูกค้ากว่า 19 ล้านคนกับแบรนด์ในกลุ่มเซ็นทรัลและพันธมิตรกว่า 2,000 แบรนด์ 30,000 touchpoints ที่ผสานการใช้ Data Insight, MarTech และระบบ CRM เข้าด้วยกัน
ซึ่งคะแนนและรีวอร์ดต่างๆ ลูกค้าจัดการทุกอย่างได้ผ่านแอป โดยเบื้องหลังนั้นการทำงานของแอปฯ The 1 นั้น ได้ใช้ความเข้าใจผู้บริโภคในระดับบุคคลเป็นพื้นฐานจากการวิเคราะห์พฤติกรรมการใช้จ่ายและความสนใจในแอป และพัฒนา MarTech ที่ช่วยให้ The 1 เป็นแพลตฟอร์มที่สามารถทำ Personalized marketing และทำ Hyper-targeted campaign ได้อย่างมีประสิทธิภาพมากขึ้น ทดแทนการใช้เครื่องมือแบบ traditional ที่สื่อสารถึงคนกลุ่มใหญ่ด้วยข้อความและเนื้อหาเหมือนๆ กัน ซึ่งมีค่าใช้จ่ายที่สูงและผู้บริโภคไม่ได้รับเนื้อหาที่ตรงกับความสนใจ ทำให้การทำการตลาดนั้นๆ อาจสูญเปล่า
คุณเทวินทร์ ได้เผยถึงเบื้องหลังการทำงานว่า เบื้องหลัง Loyalty platform นี้มี Technology Stack อยู่เยอะมาก ด้วยจำนวนลูกค้าที่มีเกือบ 20 ล้านคน และ Product SKU ใน Central Group นั้นมีมากกว่า 10 ล้าน SKU เพราะฉะนั้นจะมีความซับซ้อนสูง
เวลาเราพูดเรื่องแนวคิด Personalization มันคือการเอา 20 ล้านมาคูณ 10 ล้าน SKU มันเกิดเป็นทางเลือกที่ นำเสนอให้ลูกค้าผ่าน Micro segment ปริมาณมหาศาล ในการทำเรื่องพวกนี้มันจึงจำเป็นต้องมี Tech stack อยู่เยอะในการที่จะขับเคลื่อนหรือให้ทางออกที่ดีที่สุดต่อลูกค้าของเรา
ทั้งนี้ตัวอย่างของฟีเจอร์ที่มอบประสบการณ์ Personalization และช่วยสนับสนุนการขายแบบ Omni Channel นั้นได้แก่
นอกจากนี้ The 1 มี Business Portal ชื่อ The 1 Biz ซึ่งเป็น Business Intelligence Platform ที่ช่วยให้ธุรกิจนอกกลุ่มเซ็นทรัลสามารถเชื่อมต่อระบบลอยัลตี้ของ The 1 ในการสะสมและแลกคะแนน The 1 ณ จุดขาย สามารถทำแคมเปญการตลาดผ่าน experience ของ The 1 และเห็น Customer Insight จากการจัดการและวิเคราะห์ข้อมูลลูกค้าทั้งเชิงกว้างและเชิงลึกอย่างแม่นยำแบบ 360 องศา (Single View of Customer) เพื่อนำไปพัฒนาสินค้า บริการและแคมเปญการตลาดได้มีประสิทธิภาพมากขึ้น
คุณคณินท์ ได้เล่าถึงเป้าหมายสำคัญของ The 1 คือการทำให้ลูกค้ามาใช้เวลาบนแอปฯ The 1 ให้มากที่สุด ผ่านสิ่งสำคัญคือ คอนเทนต์
การที่จะทำตรงนี้ได้คอนเทนต์หรือสิ่งที่เราจะนำเสนอให้เขามันต้องโดนใจ แล้วก็ต้องมาในช่วงเวลาที่เหมาะสม (Right time, Right product, Right service, Right person) เราก็เลยพยายามทำ Hyper targeted personalization ให้ได้ในอนาคต ซึ่งตอนนี้เราก็เริ่มทำมาตลอด และจะชัดมากขึ้นในปีหน้าและปีต่อ ๆ ไป
อีกทั้งเป้าหมายที่ The 1 จะทำต่อไปข้างหน้าคือ การรุกเข้าไปในตลาดใหม่ๆ เช่น ด้าน Health & Wellness การเข้าถึงบริการด้านสุขภาพ ผ่านการทำ Personalization ด้วย Data ที่มี โดยการนำเสนอคอนเทนต์แบบ Hyper-targeting ที่ตรงใจ ถูกที่ถูกเวลาและบูรณาการช่องทางให้ครบและจบในที่เดียว เพื่อทำให้ลูกค้าอยากมาชอปปิ้งหรือใช้บริการบนแพลตฟอร์มอย่างเพลิดเพลิน
คุณปภัสเผยว่า การปรับองค์กรเมื่อ 3 ปีที่แล้ว ทำให้เกิดสิ่งใหม่คือ Tech Team ขึ้นมา ช่วงเวลานั้น ทุกคนเปิดใจในการวางทิศทางพร้อมกับคนที่มี Skillset ใหม่ๆ เมื่อ Tech Team เข้ามา เลยทำให้ทั้งองค์กรกลายเป็น Tech company โดยที่ไม่จำเป็นต้องแยก Tech Team ออกไปเป็นอีกบริษัท ทำให้ในองค์กรมีความหลากหลาย ดังนั้นสิ่งที่ The 1 แตกต่างจากที่อื่น คือไม่ได้มีแค่คนสายเทคเพียงอย่างเดียว
เรามีทั้งเทคโนโลยีและธุรกิจอยู่ด้วยกัน การอยู่ด้วยกันนี้ข้อดีอย่างหนึ่งคือ ความเข้าอกเข้าใจกัน ความคล่องตัวในการที่จะเข้าใจกับสิ่งที่เราจะทำ เมื่อทีมเทคโนโลยีเข้าใจว่าทีมธุรกิจจะไปเดินหน้าไปทางไหน แล้วทีมธุรกิจเข้าใจความยากของทีมเทคโนโลยี พวกนี้มันทำให้พลวัตในการทำงานสูง แล้วความเข้าอกเข้าใจมันทำให้ผลลัพธ์มันออกมาอยู่บนพื้นฐานของความเข้าใจร่วมกัน
คุณวงศ์ทิพพา กล่าวเสริมว่า ทีมงานทำงานร่วมกันระหว่างเทคโนโลยีและธุรกิจ จริงๆ คือเราพูดได้ว่าแม้กระทั่งในสถานที่ที่เรานั่งอย่างนี้ เรานั่งใกล้ชิดกัน อยู่ในชั้นเดียวกัน การสื่อสารหลายอย่างไม่มีช่องว่าง
คุณคณินท์ยังเสริมอีกว่า ในการทำงาน 1 Squad จะมี Squad lead, Marketing, Business, Data, Product, Tech, QA และ Operation อยู่ในหนึ่ง Squad
ซึ่งทำให้เหมือนว่ามีหลายธุรกิจอยู่ใน The 1 แล้ว Squad lead เป็นเหมือน CEO เล็ก ๆ อยู่ใน Squad เพื่อที่จะนำธุรกิจนั้นโดยมีทุกภาคส่วนอยู่ในนั้น ดังนั้นจะเห็นว่า นี่คือการรวมคนที่มีความถนัดเฉพาะทางจากทุก ๆ ด้านเข้าไปทำงานร่วมกัน และในแต่ละ Squad เองก็มีการปฏิบัติที่แตกต่างกันไปด้วย ดังนั้นจึงมีความยืดหยุ่น
นี่คือสิ่งที่เราแตกต่างจากองค์กรใหญ่ๆ ที่อื่น เหมือนเราแยกธุรกิจออกมาแล้วก็มีเทคโนโลยีรวมอยู่ด้วย เป็นการผนึกกำลัง เป็นการสร้างวัฒนธรรมที่มีรูปแบบใหม่ออกมามากกว่า
แม้จะเป็นบริษัทที่ต้องใช้เทคโนโลยีและคนสายเทคในการขับเคลื่อน แต่วัฒนธรรมองค์กรของ The 1 ก็มีไลฟ์สไตล์การทำงานที่น่าสนใจเป็นอย่างมาก โดยคุณปภัส ได้เผยถึงวัฒนธรรมองค์กรของ The 1 ว่า มีการทำงานแบบผสมผสานทุกฟังก์ชันเข้าด้วยกัน ทำให้เกิดความผ่อนคลายและเข้าอกเข้าใจกัน โดยสิ่งหนึ่งที่แตกต่างจากที่อื่นคือการมี Culture Squad เป็นทีมที่ดูแลความสุขและเพิ่มความสุขให้กับพนักงาน ซึ่ง Culture Squad นี้เป็นอาสาสมัครให้สำหรับใครก็ตามที่อยากจะขับเคลื่อนความสุขขององค์กรได้มาทำ โดยมีการรับฟังความคิดเห็นของคนส่วนใหญ่ในองค์กรว่า คุณอยากได้อะไรจากองค์กรนี้
ตัวอย่างกิจกรรมที่ Culture Squad เคยจัดเช่น Happy Friday Party โดยทุกคนสามารถเสนอได้ว่าในแต่ละสัปดาห์อยากให้มีกิจกรรมอะไร หรือการจัด Townhall ให้ผู้บริหารมาร่วมพูดคุยถึงทิศทางของบริษัทและพูดถึงชีวิตการทำงานของแต่ละคนเป็นอย่างไร เพื่อให้ทุกคนรู้สึกเป็นส่วนหนึ่งของบริษัท แต่หลังจากเกิดการระบาดของโควิด-19 กิจกรรมก็มีการเปลี่ยนรูปแบบไป เช่น กิจกรรมเปิดกล้องนั่งคุยทุกวันศุกร์ โดยให้แต่ละคนมาแชร์ประสบการณ์ชีวิตของตัวเอง ก็จะทำให้คนที่เข้ามาใหม่ในช่วงโควิด-19 ได้รู้จักกันมากขึ้น และภายในทีม Tech มีการจัดกรรมภายในทีมเช่น กิจกรรมจัดโต๊ะ Contest เพื่อทำให้คนภายในทีมได้ทำความรู้จักกันผ่านวิธีการจัดโต๊ะทำงานของตัวเอง
อีกสิ่งหนึ่งที่เป็นตัวจุดประกายความผ่อนคลายขององค์กรนี้คือ การเรียกพี่เรียกน้อง ทำให้เห็นว่าที่นี่ไม่มีลำดับชั้นอะไรขนาดนั้นและให้ความใส่ใจกับพนักงานในบริษัทแม้แต่เรื่องเล็กๆ น้อยๆ
คุณปภัส เสริมว่า นอกจาก Culture Squad จะสร้างความสุขให้กับคนในองค์กรแล้ว ยังสร้างการเรียนรู้ใหม่ๆ เพื่อเป็นการเปิดรับสิ่งใหม่ให้กับตนเองและองค์กรผ่านการจัดการองค์ความรู้กลางขององค์กรอีกด้วย อย่างที่บอกว่าในบริษัทมีคนหลาย Specailty ก็จะมีคอร์สออนไลน์ให้กับคนที่มีความถนัดในแต่ละด้าน ซึ่งก็เป็นโจทย์ของหัวหน้าแต่ละทีมที่จะต้องถามคนในทีมว่าอยากพัฒนาอะไร
เมื่อพูดถึงบริษัท Tech หลายๆ คนคงจะนึกถึงภาพสถานที่ที่มีแต่ผู้ชายทำงาน แต่คุณวงศ์ทิพพา กล่าวว่า เกือบ 50% ของพนักงานใน The 1 เป็นผู้หญิง ด้วยเทคโนโลยีที่เข้าถึงทุกคนได้มากขึ้น ก็ทำให้งานทางด้านนี้เป็นที่สนใจมากขึ้นสำหรับทุกเพศตามไปด้วย
คุณเทวินทร์ เสริมว่า การที่เราจะเป็น Central of life ได้ก็ต้องมีครบทุกมุม การมีผู้หญิงในการทำงานก็เป็นเรื่องสำคัญ เลยไม่เคยมองเรื่องเพศว่าเป็นประเด็น ซึ่งหลักฐานที่เห็นได้ชัดในองค์กรคือ ทุก Squad ใน The 1 มี Leader เป็นผู้หญิงหมดเลย
นอกจากนี้ คุณปภัสยังเสริมอีกว่า ไม่อยากให้มองความหลากหลายเป็นแค่เรื่องเพศ เพราะ The 1 เป็นองค์กรที่มี Diversity สูง โดยความหลากหลายในที่นี้มันสามารถเป็นได้ทั้งความหลากหลายทางความคิดหรือความหลากหลายในทุกสิ่ง แต่สุดท้ายแล้ว The 1 ก็เด่นในเรื่องความเปิดกว้างทางความคิดและขับเคลื่อนความหลากหลายในหลายแกน และนี่ก็เป็นอีกสิ่งที่ The 1 ยึดถือ
ก่อนที่จะรู้ว่า The 1 ต้องการร่วมงานกับคนแบบไหน เรามาทำความรู้จักกับตำแหน่งและหน้าที่ใน The 1 Tech Team กันก่อนคร่าวๆ โดยเบื้องหลังของ The 1 นั้นมี Technology stack อยู่จำนวนมาก มีทีมเทคโนโลยีเต็มรูปแบบเหมือนกับ Fintech Company หรือ E-commerce โดยมีรายละเอียดคือ
คุณคณินท์ กล่าวว่า ด้วยความที่ The 1 เป็น Data Driven x Tech Company และยังมีเป้าหมายที่จะพัฒนาธุรกิจในด้านอื่นๆ อีก ทำให้ต้องการคนที่รู้สึกสนุกกับการได้รับประสบการณ์ที่ท้าทาย และรักที่จะคิดริเริ่มสิ่งใหม่ๆ
คุณวงศ์ทิพพา เสริมว่า การที่จะร่วมงานกับใครต้องดูทัศนคติและพลังในความมุ่งมั่นตั้งใจด้วย เพราะการริเริ่มทำสิ่งใหม่ๆ ต้องมีทัศนคติที่เปิดกว้างว่าสิ่งที่กำลังทำอยู่เป็นโอกาสของทั้งตัวเองและบริษัทให้พัฒนาก้าวต่อไป และนอกจากจะเป็นคนที่กล้าคิดแล้ว ก็ต้องกล้าพูดด้วยว่าคุณคิดเห็นอย่างไร เพราะ The 1 เป็นที่ที่ให้คุณค่ากับทุกความคิดเห็น
คุณปภัสมองในฐานะ Product ว่า แน่นอนว่าทักษะเฉพาะทางเป็นสิ่งที่สำคัญ แต่อีกสิ่งที่สำคัญไม่แพ้กันเลยคือ Interpersonal skill เพราะ Product เป็นเหมือนสื่อกลางที่ต้องสื่อสารกับทุกคน นอกจากนี้การมีไหวพริบก็เป็นอีกสิ่งที่สำคัญ เพราะปัจจุบันเป็นสิ่งที่ไม่แน่นอน เราไม่สามารถการันตีได้ว่าจะไม่มีปัญหาหรือการเปลี่ยนแปลงใดๆ เกิดขึ้น เพราะฉะนั้นการตื่นตัวและมีไหวพริบติดตัวในการรับมือกับสถานการณ์ต่างๆ จึงเป็นสิ่งสำคัญ
สุดท้ายนี้ ทาง The 1 Tech Team ยังบอกอีกว่า ในช่วงที่ผ่านมาเป็นการสร้างรากฐานให้กับองค์กรจึงมีการสรรหาคนเก่งและคนมีประสบการณ์เข้ามาช่วยกันขับเคลื่อนธุรกิจให้เกิดผลลัพธ์ แต่ในปีหน้าต้องการเด็กจบใหม่เข้ามาร่วมทีมมากขึ้น เพราะเด็กจบใหม่เป็นเหมือนตัวแทนของคนรุ่นใหม่ และเชื่อว่าเด็กรุ่นใหม่จะเป็นพลังในการขับเคลื่อนองค์กรไปสู่อนาคตได้
The 1 เติบโตมาพร้อมกับคนรุ่นใหม่เสมอ เพราะทุกครั้งที่มีการเปลี่ยนแปลงใหญ่ๆ ในองค์กร ก็จะเป็นคนกลุ่มใหม่ๆ ที่เข้ามาเปลี่ยนแปลง
นี่เป็นตัวอย่างขององค์กรที่ขับเคลื่อนด้วย Data และ Mindset การบริหารแบบ Startup ที่ประสบความสำเร็จในเรื่องของการทำ Digital Transformation ภายใต้ยักษ์ใหญ่อย่างเครือเซ็นทรัล และอาจเป็นพื้นที่ และรูปการทำงานที่คนรุ่นใหม่กำลังมองหา
บทความนี้เป็น Advertorial
ลงทะเบียนเข้าสู่ระบบ เพื่ออ่านบทความฟรีไม่จำกัด