9 ทักษะการวางกลยุทธ์เพื่อขับเคลื่อนนวัตกรรมที่นักธุรกิจควรมี โดย William Malek | Techsauce

9 ทักษะการวางกลยุทธ์เพื่อขับเคลื่อนนวัตกรรมที่นักธุรกิจควรมี โดย William Malek

หลังจากคร่ำหวอดในวงการวิศวกรรมและระบบพลังงานมานานกว่า 10 ปี William Malek  ผู้เป็น Senior Executive Director SEAC ประเทศไทย ได้ค้นพบอีกหนึ่งความน่าสนใจในวงการธุรกิจอันได้แก่ การปรึกษาด้านการจัดการ หรือ Management Consulting โดยมีจุดมุ่งหมายเพื่อพัฒนานวัตกรรมทางธุรกิจให้ยั่งยืนและมีประสิทธิภาพมากขึ้นในอนาคต ซึ่งโฟกัสไปที่ทักษะการวางกลยุทธ์เพื่อขับเคลื่อนนวัตกรรม ในงาน Techsauce Global Summit 2020: Special Edition - Evolving Stronger คุณวิลเลี่ยมได้ถ่ายทอดประสบการณ์และทัศนคติที่มีต่อทักษะนี้ ว่าทำไมถึงมีความสำคัญเป็นอย่างยิ่งต่ออนาคตรวมไปถึงแนะนำ 9 ความชำนาญที่นักธุรกิจควรมี และคุณสมบัติสำคัญในการเป็นนักวางกลยุทธ์ทางธุรกิจที่มีประสิทธิภาพ

William Malek คุณวิลเลี่ยมมองสถานการณ์โรคระบาดโควิด 19 ออกเป็นสองมุม โดยมองว่าโควิดเป็นทั้งวิกฤติแห่งหายนะและวิกฤตแห่งโอกาสในเวลาเดียวกัน การที่คุณวิลเลี่ยมมีมุมมองต่อสถานการณ์เป็นเช่นนี้ นั่นก็เพราะว่า ไม่ว่าธุรกิจจะเจอปัญหาที่ไม่สามารถทำให้ดำเนินกิจการตามปกติได้ ผู้ประกอบการยังจำเป็นที่จะต้องมองบวกหรือมองเห็นปัญหาในมุมที่ต่างออกไปอยู่เสมอ เพื่อจะได้มองเห็นวิธีแก้ปัญหาที่คาดไม่ถึง ต้องไม่มองเห็นปัญหาแค่เพียงด้านเดียวเพราะจะเป็นการปิดกั้นมุมมองใหม่ๆ และเป็นข้อจำกัดที่ทำให้คิดค้นกลยุทธ์ที่จะใช้นำมาบรรเทาวิกฤตได้น้อยลง นั่นก็คือการนำหลักการวางกลยุทธ์ (Strategic Foresight) มาใช้ แล้วจึงจะเห็นว่าทำไมธุรกิจถึงต้องมีการวางกลยุทธ์เพื่อรับมือกับสิ่งที่คาดไม่ถึงในอนาคต  โดยคุณวิลเลียมมีคำแนะอีกด้วยว่ามนุษย์จำเป็นต้องเป็นผู้นำแม้ในยามคับขัน ต้องยอมรับที่จะเรียนรู้และเปลี่ยนแปลงองค์กรในระยะเวลาสั้น และต้องรู้จักวางแผนถึงอนาคตด้านบวกที่ยั่งยืน

The Wave of Disruption (Wicked Problems) คลื่นแห่งการหยุดชะงัก

คนส่วนใหญ่อาจมองว่าวิกฤตการณ์โควิด 19 เป็นคลื่นที่ทำให้เศรษฐกิจรวมถึงอุตสาหกรรมด้านอื่นๆ ในประเทศไทยต้องหยุดชะงัก แต่คุณวิลเลียมกลับมองว่าความร้ายแรงของโรคระบาดในครั้งนี้นั้นยังไม่รุนแรงจนถึงกับเป็นคลื่นที่ทำให้เศรษฐกิจหยุดชะงักแบบที่ใครๆ คิด มองว่าเป็นเพียงแค่ระยะแห่งการฝึกซ้อมสำหรับภาคธุรกิจก่อนจะเจอวิกฤตแห่งหายนะที่แท้จริง ซึ่งถ้าเปรียบเทียบกับระยะต่างๆ ของคลื่น ผลกระทบจากโควิดจะอยู่แค่ในขั้นต้นๆ เท่านั้น ในอนาคตมนุษยชาติจะต้องพบเจอคลื่นลูกใหญ่ที่สร้างผลกระทบในวงกว้างและรายแรงกว่าโรคระบาดอย่างแน่นอน อันได้แก่ปัญหาสังคมผู้สูงอายุและปัญหากรุงเทพฯ กลายเป็นเมืองบาดาล ปัญหาดังกล่าวมีที่มาที่ไปอย่างไร และส่งผลกระทบต่อภาครวมของเศรษฐกิจต่อประเทศรุนแรงขนาดไหน คุณวิลเลียมได้อธิบายให้ฟังพร้อมทั้งเน้นย้ำถึงความสำคัญในการนำทักษะการกำหนดกลยุทธ์มาประยุกต์ใช้เพื่อวางแผนแก้ปัญหาดังกล่าว 

สังคมผู้สูงอายุมีแนวโน้มที่จะเกิดขึ้นในระยะเวลาอันใกล้ เรียกได้ว่าอีกไม่กี่ปีต่อจากนี้ แต่ก็ยังเป็นปัญหาที่ไม่ได้รับความสนใจมากนัก เพราะหลายๆ ฝ่ายไม่คิดว่าจะเกิดขึ้นจริงในระยะเวลาเร็วๆ นี้ อย่างไรก็ตามปัญหาผู้สูงอายุจะส่งผลกระทบในวงกว้างมากกว่าที่หลายคนจะจินตนาการถึง เพราะนั้นแสดงถึงปัญหาการขาดแคลนแรงงานที่จำเป็นในอนาคต ซึ่งนับว่าเป็นกลุ่มสำคัญในการขับเคลื่อนเศรษฐกิจของประเทศ ประการที่สองคือปัญหากรุงเทพฯ เมืองบาดาล มีการคาดการณ์เอาไว้ว่ากรุงเทพฯ จะถูกน้ำท่วมจนกลายเป็นเมืองใต้น้ำภายในปี 2050 และการเป็นเมืองศูนย์กลางทางเศรษฐกิจของประเทศที่จะจมหายไปภายใน 30 ปี คงจะไม่ใช่เรื่องที่ดีนัก ปัญหาเหล่านี้สะท้อนให้เห็นว่าการวางแผนรับมือกับภาวะวิกฤติในอนาคตมีความสำคัญมากแค่ไหน นอกจากจะช่วยลดระดับความรุนแรงจากผลกระทบที่จะเกิด ยังทำให้สามารถเปลี่ยนแปลงอนาคตไปในทางที่ดีขึ้นได้อีกด้วย บททดสอบจากการนำการคาดการณ์นี้ไปใช้กับกลุ่มบริษัทต่างๆ ตั้งแต่ปี 2008 ถึงปี 2015 พบว่า บริษัทมีกำไรเพิ่มขึ้นถึง 33% และมีอัตราการเติบโตกว่า 200% จากผลลัพธ์นี้ยิ่งสะท้อนให้เห็นว่าการวางกลยุทธ์รับมือกับหายนะในอนาคตนั้นเป็นสิ่งที่จำเป็นอย่างยิ่งสำหรับธุรกิจภาคองค์กร 

9 ความชำนาญที่นักธุรกิจควรมี

  1. Executive Sponsorship needed for Foresight การสนับสนุนผู้บริหารนับว่าเป็นสิ่งสำคัญอันดับต้นๆ ต่อทิศทางในอนาคตขององค์กร เพราะวิสัยทัศน์ของผู้นำนั้นจะช่วยกระตุ้นโครสร้างองค์กรทั้งภายนอกและภายในให้มองเห็นอนาคตไปในทิศทางเดียวกัน โดยผู้นำหรือผู้บริหารองค์กรก็จำเป็นที่จะฝึกฝนความคิดของพนักงานให้พร้อมรับมือกับสถานการณ์ที่ไม่แน่นอนอยู่เสมอ ยกตัวอย่าง Zhang Ruimin, CEO ของ Haier นับว่าเป็นบุคคลต้นแบบที่ทำทักษะข้อนี้มาใช้ คุณ Zhang ไม่ได้เป็นเพียงซีอีโอ แต่ยังเป็นแรงบันดาลใจที่ทำให้พนักงานอยากขับเคลื่อนองค์กรไปพร้อมๆ กัน  
  2. Learning การเรียนรู้ที่ทุกๆ องค์กรพึงมี การเรียนรู้หมายรวมไปถึงการแสวงหาความรู้ใหม่ๆ อยู่ตลอดเวลานอกเหนือจากสิ่งที่ตัวเองถนัด บางครั้งอาจมีเรื่องที่เรารู้ดีอยู่แล้ว แต่ก็จงหมั่นฝึกฝนและตั้งหน้าตั้งตาเรียนต่อไป เพราะถ้าเรามัวแต่เรียนเเต่เรื่องซ้ำๆ ที่ไม่รู้ ก็จะเป็นการจำกัดตัวเองให้หยุดการเรียนรู้อยู่เพียงแค่นั้น 
  3. Anticipatng การคาดการณ์ต่อสิ่งที่จะเกิดขึ้น ซึ่งหมายรวมไปถึงการกำหนดเป้าหมายขององค์กร เป้าหมายที่ต้องการจะบรรลุ และมองหาทางเลือกเพื่อจะช่วยนำไปสู่เป้าหมายนั้นๆ เช่นบริษัท 3M ที่มีจุดมุ่งหมายการเป็นแบรนด์ระดับโลก และยกระดับคุณภาพการผลิตไปสู่สากล เริ่มแรก 3M เป็นเพียงยี่ห้อผลิตเทปกาวธรรมดาๆ แต่ตอนนี้ 3M มีผลิตภัณฑ์หลากหลายต่อทุกกลุ่มผู้บริโภค 
  4. Innovating การสร้างสรรค์นวัตกรรมโดยการระดมความคิดและผสมผสานรูปแบบของธุรกิจเดิมที่มี (Business Model) และการออกแบบเข้าด้วยกัน เพื่อผลลัพธ์ที่ดีกว่าเดิม 
  5. Startegy การวางกลยุทธ์เพื่อการแปลงทางและรวบรวมเลือกต่างๆ ทั้งหมดที่มีเพื่อก้าวไปสู่อนาคตที่คุณต้องการให้ธุรกิจของคุณพัฒนาไปได้ กลยุทธ์ยังช่วยให้เกิดการบรรจบกันใหม่ของวิสัยทัศน์สำหรับอนาคตที่ต้องการ เช่นเดียวกับ 3M พวกเขามองหาโอกาสในการขยายรูปแบบผลิตภัณฑ์และผลิตสินค้าใหม่ๆ อยู่เสมอ
  6. Back-Casting การมองหาแนวคิดในการดำเนินการเพื่อลดช่องว่างของธุรกิจที่มี เป็นการเติมเต็มช่องว่างสำหรับอนาคตที่ต้องการ ขั้นตอนแรกอาจเริ่มต้นด้วยการกำหนดช่องว่างของธุรกิจ จากนั้นมองหาทรัพยากรเดิมขององค์กรที่มีอยู่แล้วมาแก้ไขปัญหาช่องว่าง
  7. Executing การแปลงกลยุทธ์ไปสู่การปฏิบัติเพื่อให้ธุรกิจของคุณก้าวไปข้างหน้า เริ่มต้นด้วยการอำนวยความสะดวกในการปฏิสัมพันธ์ระหว่างบุคคลขององค์กรเพื่อสร้างผลลัพธ์ที่ดีขึ้น 
  8. Influencing การมีอิทธิพลและสร้างความเปลี่ยนแปลงด้านบริหารการจัดการในอนาคตให้กับทั้งกลุ่มผู้นำและกลุ่มธรุกิจอื่นๆ ที่มีส่วนเกี่ยวข้อง การสร้างอิทธิพลสามารถทำได้โดยการสื่อสารวิสัยทัศน์ที่เกี่ยวข้องเพื่อดึงดูดความสนใจของผู้มีส่วนได้ส่วนเสียและมีอิทธิพลต่อการกระทำของพวกเขา โดยสร้างมูลค่าที่น่าเชื่อในการเติบโตทางธุรกิจ
  9. Reviewing การทบทวน การวัดและรวบรวมข้อเสนอแนะที่เกี่ยวกับข้องกับคุณภาพและผลลัพธ์ เพื่อประเมินระดับธุรกิจของตัวเอง ก่อนจะนำไปสู่การปรับปรุงอย่างต่อเนื่องในอนาคต โดยไม่ได้หมายถึงแค่การประเมินความก้าวหน้าของธุรกิจ แต่ยังหมายรวมไปถึงการข้อเสนอแนะของคุณภาพและผลลัพธ์อีกด้วย 

ก่อนจะจบบทเรียนสำคัญในการวางกลยุทธ์เพื่อสร้างนวัตกรรม คุณวิลเลียมยังได้สรุปคุณสมบัติที่สำคัญของการเป็นนักวางแผนเชิงกลยุทธ์ เนื่องจากเขาถูกตั้งถามหลายครั้งเกี่ยวกับตำแหน่งงานชนิดนี้มาก่อน มีข้อกำหนดมากมายในการเป็นผู้เชี่ยวชาญในตังแหน่งดำกล่าว แต่ส่วนที่สำคัญที่สุดคือนักวางกลยุทธ์ต้องมีความหลงใหลในการมองการณ์ไกลอย่างแท้จริง เนื่องจากตำแหน่งนี้มีความแตกต่างจากนักวางแผนทั่วๆ ไปอยู่พอสมควร เป็นตำแหน่งที่ต้องอาศัยความเฉพาะเจาะจงมากขึ้นเพราะต้องประกอบด้วยกระบวนการคิดอันหลากหลายและวิสัยทัศน์สำหรับอนาคตที่ดี

และนี่เป็นเพียงคอนเทนต์บางส่วนภายในงาน Techsauce Global Summit 2020 เท่านั้น พบกับเนื้อหาที่น่าสนใจเร็วๆ นี้ หรือติดตามรายละเอียดได้ที่ https://summit.techsauce.co

ลงทะเบียนเข้าสู่ระบบ เพื่ออ่านบทความฟรีไม่จำกัด

No comment

RELATED ARTICLE

Responsive image

‘Yindee’ แชตบอตในแอป ttb Touch ใช้ Gen AI จับความรู้สึก ตอบเร็วและฉลาดกว่าที่เคย

Yindee แชตบอตที่อยู่บน Mobile Banking ของ ttb ทำงานผ่านแอป ttb Touch สามารถจับ Mood & Tone ของลูกค้าหรือผู้ใช้บริการ ว่าขณะแชตนั้น ลูกค้าอยู่ในอารมณ์ไหน ด้วย Generative AI โดย Azur...

Responsive image

คนอยากใช้พลังงานเยอะ แต่โลกอยากได้ปล่อยคาร์บอนน้อย บริษัทพลังงานแก้ไขความย้อนแย้งนี้อย่างไรดีในยุค AI

The Energy/Prosperity Paradox หรือภาวะย้อนแย้งแห่งพลังงาน และความเจริญ ถือเป็นความท้าทายระดับโลกที่บริษัทด้านพลังงานกำลังพบเจอ เพราะในตอนนี้โลกกำลังต้องการพลังงานเพิ่มขึ้นอย่างไม่เ...

Responsive image

เศรษฐกิจไทย ‘ฟื้นตัว’ แล้วหรือยัง ? ฟังความเห็นจาก 3 ผู้นำธุรกิจยักษ์ใหญ่ไทย

ค้นพบศักยภาพการเติบโตทางเศรษฐกิจในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ รวมถึงไทย จีน สิงคโปร์ อินโดนีเซีย เวียดนาม และกัมพูชา พร้อมโอกาสการลงทุนที่น่าสนใจในภาคอุตสาหกรรม การเงิน และเทคโนโลยี...