
ปี 2025 ไม่ใช่แค่ปีที่ AI เติบโต แต่เป็นปีที่ประวัติศาสตร์ต้องจารึกว่า “The Architects of AI” หรือเหล่าผู้สร้าง ได้เปลี่ยนโฉมหน้าเศรษฐกิจและภูมิรัฐศาสตร์โลกไปตลอดกาล นิตยสาร TIME จึงประกาศให้พวกเขาเป็นบุคคลแห่งปี โดยมี Jensen Huang ยืนตระหง่านอยู่ตรงกลาง ในฐานะผู้นำของ Nvidia บริษัทที่มีมูลค่าตามราคาตลาดทะลุ 5 ล้านล้านดอลลาร์สหรัฐ (5 Trillion USD) รายแรกของโลก เปรียบเสมือน Atlas เทพเจ้ากรีกผู้แบกสวรรค์หรือในที่นี้คือตลาดหุ้นทั่วโลกเอาไว้บนบ่าของเขาเพียงลำพัง
หากปี 2023-2024 คือช่วงเวลาแห่งการตื่นเต้นกับ Chatbot ปี 2025 คือปีที่เทคโนโลยีนี้กลายร่างเป็น 'Agentic AI' หรือระบบที่คิดวิเคราะห์และลงมือทำแทนมนุษย์ได้จริง
โลกได้เห็นการเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่เมื่อ OpenAI ปรับโมเดลให้มี "Reasoning Engines" หรือความสามารถในการคิดไตร่ตรองก่อนตอบคำถาม ส่งผลให้ ChatGPT มียอดผู้ใช้งานทะลุ 800 ล้านคนต่อสัปดาห์ หรือคิดเป็น 10% ของประชากรโลก ในขณะเดียวกัน เครื่องมือเขียนโค้ดอย่าง Cursor และ Claude Code ได้กลายเป็นอาวุธคู่กายของวิศวกรซอฟต์แวร์ทั่วโลก ช่วยเพิ่มผลผลิตมหาศาลชนิดที่ว่า Nvidia สามารถผลิตชิปได้มากขึ้นถึง 4 เท่าโดยใช้คนเพิ่มขึ้นเพียง 2 เท่า
Jensen Huang กล่าวกับ TIME ไว้อย่างน่าสนใจว่า AI คือเทคโนโลยีที่จะเข้ามาทลายกำแพงขีดจำกัด GDP ของโลก เขาเชื่อมั่นว่าตัวเลข GDP โลกที่เคยติดเพดานอยู่ที่ 100 ล้านล้านดอลลาร์ จะถูก AI ผลักดันให้พุ่งทะยานไปถึง 500 ล้านล้านดอลลาร์ สร้างยุคสมัยแห่งความมั่งคั่งใหม่อย่างที่ไม่เคยมีมาก่อน
ความร้อนแรงของ AI ในปี 2025 ไม่ได้อยู่แค่ในซิลิคอนวัลเลย์ แต่ลุกลามไปถึงทำเนียบขาว การกลับมาของประธานาธิบดี Donald Trump กลายเป็นตัวเร่งปฏิกิริยาสำคัญ รัฐบาลสหรัฐฯ ชุดใหม่ดำเนินนโยบายแบบ 'Techno-Optimist' เต็มสูบ โดยมีโปรเจกต์เรือธงอย่าง 'Stargate' โครงการความร่วมมือมูลค่า 5 แสนล้านดอลลาร์เพื่อสร้าง Data Center ขนาดยักษ์ รองรับการเทรน AI ที่ทรงพลังที่สุดในโลก
ทว่า จุดเปลี่ยนสำคัญที่ทำให้สหรัฐฯ นั่งไม่ติดเก้าอี้ เกิดขึ้นจากบริษัทสตาร์ทอัพจีนนามว่า "DeepSeek" ที่สร้างแรงสั่นสะเทือนด้วยการเปิดตัวโมเดล AI ประสิทธิภาพสูงเทียบเท่าสหรัฐฯ แต่ใช้ต้นทุนต่ำกว่ามาก เหตุการณ์นี้เปรียบเสมือนสิ่งที่ปลุกให้สหรัฐฯ ตื่นตัว จนนำไปสู่การปรับเปลี่ยนกลยุทธ์ครั้งสำคัญ
จากเดิมที่เคยใช้มาตรการกีดกันและแบนการส่งออกชิป รัฐบาล Trump หันมาใช้กลยุทธ์ 'Tech Addiction' โดยยอมผ่อนปรนให้ Nvidia ส่งออกชิปรุ่นรองท็อปไปยังจีน เพื่อให้จีนยังคงต้องพึ่งพาและเสพติดเทคโนโลยีพื้นฐานของสหรัฐฯ ต่อไป แทนที่จะบีบให้จีนต้องสร้างนวัตกรรมขึ้นมาแข่งเองจนสำเร็จ
ในขณะเดียวกัน จีนก็ไม่ได้นิ่งนอนใจ ปักกิ่งเร่งระดมทุนปั้น 'AI Tigers' หรือเหล่าสตาร์ทอัพยูนิคอร์นหน้าใหม่ และมุ่งเน้นไปที่ "Embodied AI" หรือหุ่นยนต์ฮิวแมนนอยด์ อย่างเช่นบริษัท AgiBot เพื่อแก้ปัญหาโครงสร้างประชากรที่วัยแรงงานกำลังหดตัวอย่างรุนแรง
การขับเคี่ยวกันนี้ทำให้เกิดการลงทุนมหาศาลระดับประวัติศาสตร์ กลุ่ม Big Tech อย่าง Meta, Google, Amazon และ Microsoft ทุ่มเงินรวมกันกว่า 3.7 แสนล้านดอลลาร์ในปีเดียวเพื่อสร้างโครงสร้างพื้นฐาน AI จนเกิดคำถามหนาหูจากนักเศรษฐศาสตร์ว่า "เรากำลังอยู่ในฟองสบู่หรือไม่?" ความเสี่ยงทางการเงินจากการกู้ยืมและราคาหุ้นที่พุ่งสูงเกินพื้นฐาน ดูจะเป็นระเบิดเวลาที่หลายคนกังวล
ตัวอย่างที่เห็นได้ชัดคือกรณีที่ Nvidia ลงทุนใน OpenAI จากนั้น OpenAI ก็นำเงินไปจ้าง Oracle สร้าง Data Center และท้ายที่สุด Oracle ก็ต้องนำเงินก้อนนั้นกลับมาซื้อชิปจาก Nvidia อีกทอดหนึ่ง วงจรนี้ทำให้รายได้ของทุกบริษัทดูเติบโตมหาศาล แต่หลายฝ่ายกังวลว่านี่คือการปั่นมูลค่าที่เปราะบาง
แต่ไม่ใช่สำหรับ Masayoshi Son แห่ง SoftBank ผู้กลับมาผงาดในฐานะผู้ศรัทธาใน AI อย่างแรงกล้า เขามองข้ามเสียงวิจารณ์เรื่องฟองสบู่และเชื่อมั่นว่า ในอีก 10 ปีข้างหน้า AI จะฉลาดกว่ามนุษย์ถึง 10,000 เท่า การลงทุนในวันนี้จึงไม่ใช่ความเสี่ยง แต่คือตั๋วใบเดียวที่จะพามนุษยชาติไปสู่ยุค Superintelligence
ท่ามกลางความเร่งรีบ โลกกำลังจ่ายราคาแพงในด้านสังคมและสิ่งแวดล้อม การเกิดขึ้นของ AI Factories หรือ Data Center ขนาดมหึมา ทำให้ความต้องการพลังงานพุ่งสูงจนต้องมีการรื้อฟื้นพลังงานนิวเคลียร์และชะลอเป้าหมายด้านสิ่งแวดล้อม ในขณะที่มิติทางสังคม AI กำลังเผชิญกับด้านมืดที่คาดไม่ถึง คดีฟ้องร้อง OpenAI จากครอบครัวของ Adam Raine วัยรุ่นที่จบชีวิตตัวเองหลังมีความสัมพันธ์ทางอารมณ์ที่ลึกซึ้งเกินไปกับ ChatGPT ได้เปิดเผยปัญหาสุขภาพจิตรูปแบบใหม่ที่เรียกว่า "Chatbot Psychosis"
AI ที่ถูกออกแบบมาให้เอาใจผู้ใช้ กลายเป็นดาบสองคมที่ผลักดันให้ผู้ที่มีความเปราะบางทางอารมณ์หลุดออกจากโลกแห่งความจริง ในขณะที่อีกมุมหนึ่ง ชายชราอย่าง Jim Moore กลับพบว่า AI คือเพื่อนคลายเหงาที่ดีที่สุดในช่วงบั้นปลายชีวิต สะท้อนให้เห็นว่ามนุษย์กำลังเริ่มจ้างวานเทคโนโลยีให้มาทำหน้าที่เติมเต็มความรู้สึกทางใจ ซึ่งเป็นพื้นที่ที่เคยสงวนไว้สำหรับมนุษย์ด้วยกันเท่านั้น
แม้แต่เรื่องของงานก็ยังเป็นประเด็นถกเถียง Jensen Huang ยอมรับอย่างตรงไปตรงมาว่างานบางอย่างจะหายไป แต่ยืนยันว่ามนุษย์จะมีบทบาทใหม่ที่ Productive ยิ่งขึ้น สอดคล้องกับวิสัยทัศน์ของผู้บริหารเทคโนโลยีฝั่งจีนที่มองว่า ในอนาคต อาชีพของมนุษย์คือการเป็นผู้จัดการหุ่นยนต์
สิ่งที่ TIME สะท้อนผ่านบทความนี้คือ บรรยากาศของปี 2025 ที่เสียงเตือนเรื่องภัยพิบัติจาก AI เริ่มแผ่วเบาลง ถูกกลบด้วยเสียงเครื่องจักรและเม็ดเงินลงทุนมหาศาล เหล่าสถาปนิกผู้สร้าง AI ทั้ง Jensen Huang, Sam Altman และ Masayoshi Son เปรียบเสมือนผู้ที่กำลังขับรถแข่งด้วยความเร็วสูงสุด โดยไม่มีใครคิดจะแตะเบรก
พวกเขากำลังพาเราทุกคนพุ่งทะยานไปข้างหน้า สู่ปลายทางที่ยังไม่มีใครรู้แน่ชัดว่าจะเป็นยุคทองแห่งความมั่งคั่ง หรือหุบเหวแห่งความโกลาหล ซึ่งบางทีคำพูดที่ Donald Trump กล่าวกับ Jensen Huang ระหว่างการพบปะอาจเป็นบทสรุปที่ดีที่สุดของสถานการณ์โลกในขณะนี้
"ผมไม่รู้หรอกว่าพวกคุณกำลังทำอะไรอยู่ แต่ผมหวังว่าคุณจะคิดถูก"
ที่มา: Time
ลงทะเบียนเข้าสู่ระบบ เพื่ออ่านบทความฟรีไม่จำกัด