ธุรกิจของคุณเคยประสบปัญหาเหล่านี้บ้างไหม ใช้เงินกู้ผิดประเภททำให้ต้องจ่ายดอกเบี้ยสูง, ไม่แยกกระเป๋าส่วนตัวกับกระเป๋าธุรกิจ, ไม่ใช่เจ้าของบริษัททำแทนไม่ได้, ขายดีแต่ไม่มีกำไร, ไม่มีเวลาคิดอะไรใหม่ๆ เพื่อพัฒนาธุรกิจ
ในช่วง 5 ปี ที่ผ่านมา มีธุรกิจเกิดใหม่กว่า 70,000 รายต่อปี ในจำนวนทั้งหมดนี้มีเพียง 50% ที่ก้าวผ่านปีแรกไปได้ 10% ต้องปิดกิจการไปในที่สุด นี่คือตัวเลขเชิงสถิติที่อ้างอิงมากจากสำนักงานส่งเสริมวิสาหกิจขนาดกลางและขนาดย่อม(สสว.) แสดงให้เห็นถึงแนวโน้มที่น่าเป็นห่วงไม่น้อยสำหรับกลุ่มคนทำธุรกิจ เป็นหลักฐานยืนยันว่าธุรกิจส่วนใหญ่ประสบปัญหาบางอย่างที่ทำให้ไปต่อไม่ได้ แต่น้อยครั้งที่เราจะเห็นความพยายามในการศึกษาและถอดบทเรียนเพื่อหาแนวทางการแก้ไขปัญหากันอย่างเป็นรูปแบบจริงจัง
TMB ได้เปิดผลวิจัย Insights ของธุรกิจ SME จากผลวิจัยที่มีกลุ่มเป้าหมายเป็น SME ไทยทั่วประเทศที่มีขนาดรายได้เฉลี่ย 1 - 50 ล้านบาท ซึ่งถือเป็นกลุ่มธุรกิจที่ยังไม่มีโครงสร้างและแผนการจัดการที่ชัดเจนนัก คละประเภทธุรกิจและอุตสาหกรรม สรุปปัจจัยหลัก 7 ประการซึ่งเป็นปัญหาที่ทำให้ SME ไทยอยู่รอดไปจนถึงเติบโตตามเป้าหมายที่ตั้งไว้ไม่ได้ พร้อมทั้งเสนอแนวทางการแก้ปัญหาที่ชัดเจนและสามารถนำไปปรับใช้ได้ทันที
“เงินทุน” คือหนึ่งในปัจจัยหลักในการริเริ่มธุรกิจให้เป็นรูปธรรม ซึ่งแหล่งที่จะได้มาซึ่งเงินทุนก็มีหลากหลาย แต่จากผลสำรวจพบว่า 84% ของ SME ใช้เงินเก็บทั้งชีวิตในการลงทุนโดยปราศจากการวางแผนการดำรงชีพของครอบครัว และ 27% ของ SME ใช้เงินกู้เอนกประสงค์ / บัตรเครดิต ซึ่งเข้าถึงได้ง่ายแต่ดอกเบี้ยแพงเกินไป เป็นแหล่งเงินทุนในการทำธุรกิจที่ผิดประเภท มีความเสี่ยงสูงที่จะทำให้เกิดปัญหาหนี้สินเรื้อรัง อีกทั้งในยุคที่ทุกอย่างเปลี่ยนแปลงเร็วมาก แผนการใช้เงินทุนต้องมีความยืดหยุ่นและละเอียดมากขึ้นกว่าเดิม การทุ่มใช้เงินทุนจำนวนมากโดยที่ไม่คำนึงถึงสภาพตลาดที่เปลี่ยนแปลงเร็วตลอดเวลาทำให้ SME จำนวนมากใช้ทุนไปมากโดยได้ผลตอบแทนไม่เท่าที่ควร
วิธีแก้ปัญหา
กว่า 72% ของ SME ไทย ไม่ใช้แผนธุรกิจในการดำเนินธุรกิจ ต่อให้ลงมือเขียนแผนไว้แล้วบ้างก็ตาม ดังนั้นสิ่งที่เกิดขึ้นจึงเป็นการแก้ปัญหาเฉพาะหน้าเป็นรายวันไปเรื่อยๆ เปิดช่องว่างให้สามารถเกิดปัญหาจากตัวแปรต่างๆ จนสามารถทำให้ธุรกิจสะดุดได้ง่าย รวมถึงการมองไม่เห็นภาพใหญ่ของธุรกิจอย่างครอบคลุม ทำให้ขาดการดำเนินแผนการที่ต่อเนื่องอันจะนำไปสู่การเติบโตไปข้างหน้าของธุรกิจในระยะยาว
วิธีแก้ปัญหา
67% ของ SME มีพฤติกรรมที่ทำให้เงินธุรกิจกับเงินส่วนตัวปนกัน ซึ่งสำหรับพฤติกรรมที่ทำให้เงินธุรกิจกับเงินส่วนตัวปนกันนั้นมีสาเหตุจากการแยกเงินส่วนตัวกับธุรกิจไม่ขาด 30% และ 29% ไม่เคยตั้งเงินเดือนให้ตัวเอง
ข้อเสียของการไม่แยกกระเป๋าธุรกิจกับกระเป๋าส่วนตัวคือการที่ไม่มีความน่าเชื่อถือสำหรับธนาคาร ทำให้การวางแผนการใช้เงินในธุรกิจมีโอกาสสะดุดได้ และไม่สามารถรู้ได้ว่าเอาเข้าจริงแล้วธุรกิจมีเงินเหลืออยู่เท่าไหร่
วิธีแก้ปัญหา
อุปสรรคสำคัญอีกอย่างที่เกิดจากตัวเจ้าของธุรกิจเองคือการใช้ความรู้สึกค่อนข้างมาก ขาดการคิดคำนวณอย่างละเอียดถี่ถ้วน หลายครั้งรู้สึกว่าธุรกิจกำลังดำเนินไปได้ดีแต่เอาเข้าจริงไม่เป็นไปอย่างที่คิด ขายดีแต่กลับไม่มีกำไรมากอย่างที่ควรจะเป็น ปัญหานี้หลักๆ แล้วมันคือเรื่องของการตั้งราคาโดยที่ขาดการคำนวณ “ต้นทุนที่แท้จริง”
วิธีแก้ปัญหา
“หาต้นทุนที่แท้จริง” ก่อน ต้นทุนที่แท้จริง ประกอบไปด้วย “ต้นทุนทางตรง” และ “ต้นทุนทางอ้อม”
ต้นทุนทางตรง คือต้นทุนจำพวก ค่าวัตถุดิบ, ค่าเครื่องจักร, ค่า packaging, เงินเดือนพนักงาน เป็นต้น ต้นทุนทางอ้อม คือต้นทุนจำพวก ค่าเช่าสำนักงาน, ค่าซ่อมบำรุงเครื่องจักร, ค่าน้ำค่าไฟ, ค่าอุปกรณ์สำนักงาน, เงินเดือนผู้บริหาร เป็นต้น
เมื่อนำต้นทุนทั้งสองแบบมารวมกันจึงจะได้ต้นทุนที่แท้จริงเพื่อนำไปคำนวนหากำไรที่แท้จริง
“การสร้างความแตกต่าง” เป็นหนึ่งในจุดอ่อนของ SME ไทย ซึ่งจากสถิติของการวิจัยนี้ก็ช่วยยืนยันข้อสังเกตนี้ได้เป็นอย่างดี เพราะกว่า 87% ของ SME ใช้เวลาไปกับงาน operation เพื่อรันธุรกิจแบบวันต่อวัน และมีเพียง 13%ของ SME ที่ให้เวลาให้กับ “การตลาด” ซึ่งความสำคัญหลักๆ ของการตลาดคือการสร้างความแตกต่างจากคู่แข่ง การคิดหาสิ่งใหม่ๆ มาปรับปรุงให้สินค้าและบริการมีจุดเด่นที่แข็งแรง ความสำคัญของงาน operation เปรียบเหมือนการก้มหน้ามองดินซึ่งเป็นสิ่งตรงหน้าที่ต้องทำทุกวันให้วงล้อธุรกิจหมุนต่อเนื่อง แต่หากไม่ให้ความสำคัญกับการสร้างความแตกต่าง ก็เหมือนกับการไม่เงยหน้ามองฟ้าเสียบ้าง จะทำให้ขาดศักยภาพในการแข่งขันระยะยาว
วิธีแก้ปัญหา
สำหรับ SME ที่ไม่ได้มีทุนในการจ้างบุคลากรที่มีทักษะ ประสบการณ์ และความเป็นมืออาชีพในการทำงานสูงมากนัก ปัญหาหนักใจสำหรับตัวเจ้าของธุรกิจคือการวางภาระไม่ลง ฝากงานไว้กับใครไม่ค่อยได้ เชื่อว่าตัวเองต้องลงมือทำทุกอย่างเอง ไม่อย่างนั้นยอดขายจะตก ธุรกิจจะสะดุด ปัญหาของการแบกทุกอย่างไว้กับตัวคือตัวเจ้าของเองจะเหนื่อยตลอดเวลา ไม่มีเวลาสำหรับอย่างอื่น และความเสี่ยงก็มีอยู่มากเช่นหากตัวเจ้าของเองเกิดติดกิจธุระสำคัญ หรือเกิดเจ็บป่วย ธุรกิจที่พึ่งพาตัวเจ้าของมากเกินไปแทนที่จะพึ่งพาระบบทีมที่เข้มแข็งจะติดขัด และสะดุดได้ง่ายในวันที่เกิดปัจจัยที่คาดไม่ถึงเข้ามาแทรกซ้อน
วิธีแก้ปัญหา
นี่อาจจะเป็นปัญหาที่สำคัญที่สุด เป็นได้ทั้ง “จุดตาย” และ “จุดเปลี่ยน” เราปฏิเสธไม่ได้อีกต่อไปว่าโลกเปลี่ยนแปลงเร็วขึ้นทุกวัน และไม่มีใครหนีพ้นความเปลี่ยนแปลง เรื่องนี้ไม่ใช่เรื่องใหม่ แต่ตามสถิติงานวิจัยแล้ว SME กว่า 38% ยังไม่พร้อมรับสิ่งใหม่ ซึ่งแบ่งออกเป็น 19% ที่กลัวว่าการเริ่มสิ่งใหม่จะมีปัญหาตามมา 14% ไม่มีเวลาหาข้อมูลเพื่อคิดสิ่งใหม่ๆ และ 5% มองว่าแค่สิ่งที่ทำอยู่ก็ดีอยู่แล้ว ปัญหานี้มักจะเกิดขึ้นกับธุรกิจที่เป็น traditional มากกว่า SME รุ่นใหม่ ซึ่งกระแสความเปลี่ยนแปลงของยุคดิจิทัลที่จะ disrupt ทุกธุรกิจไปจากเดิมอย่างสิ้นเชิงในเร็ววันนี้ ทำให้ใครที่ไม่ปรับตัวจะอยู่รอดได้ยากอย่างแน่นอน
วิธีแก้ปัญหา
จะเห็นได้ว่าโดยรวมแล้วการจะระบุปัญหา และการแก้ไขปัญหาสำหรับ SME ไม่ใช่เรื่องที่ยุ่งยากซับซ้อนไปเสียหมด มีทั้งการแก้ปัญหาที่ทำได้โดยง่ายเช่นการแยกกระเป๋าส่วนตัวออกจากธุรกิจ หรือใช้เครื่องมือง่ายๆ มาช่วยในการบริหารจัดการ บางปัญหาก็ต้องสั่งสมประสบการณ์ และเพิ่มพูนความรู้ไปจนถึงการสร้างเครือข่ายเพื่อที่จะมองเห็นโอกาสจากปัญหาเหล่านั้นได้ ทั้งนี้สิ่งสำคัญที่สุดคือ mindset ที่รับรู้ปัญหาตามสภาพที่เป็นจริง และเปิดรับการเปลี่ยนแปลง กล้าเรียนรู้สิ่งใหม่ และตระหนักว่าในโลกที่เทคโนโลยีกำลังเปลี่ยนทุกธุรกิจไปอย่างรวดเร็ว เราจำเป็นต้องปรับตัวใหม่เพื่อ “รอดตาย” และสามารถ “ไปให้ถึงฝัน” ที่ตั้งเป้าเอาไว้ได้
บทความนี้เป็น Advertorial
ลงทะเบียนเข้าสู่ระบบ เพื่ออ่านบทความฟรีไม่จำกัด