อีกคอนเทนต์ที่น่าสนใจจากเวที Founder ในงาน Techsauce Global Summit 2025 คือ สตาร์ทอัพนอกสายตา Jago Coffee โดยมี โยชัวร์ ทานู (Yoshua Tanu) ผู้ร่วมก่อตั้งและซีอีโอ มาเล่าถึงการเติบโตของธุรกิจคาเฟ่เคลื่อนที่ ด้วยจุดขายกาแฟคุณภาพดี ราคาประหยัด และเข้าถึงง่าย ในหัวข้อ 'Underdog Startup, The Growth Story of Cafe on Wheels'
โยชัวร์เผยภาพรวมของตลาดค้าปลีกในอินโดนีเซีย ซึ่งรวมถึงธุรกิจอาหารและเครื่องดื่มว่า มีมากถึง 76% ที่ขับเคลื่อนด้วยพ่อค้าแม่ค้าหาบเร่แผงลอย ขณะที่เชนร้านค้าขนาดใหญ่อย่างร้านกาแฟ เปิดหลายพันสาขาในช่วง 5-6 ปีที่ผ่านมา และมุ่งเข้าถึงผู้บริโภคระดับกลาง แต่หารู้ไม่ว่า ผลจากความเหลื่อมล้ำด้านรายได้ในอินโดนีเซีย ทำให้ชนชั้นกลางส่วนใหญ่ไม่สามารถจ่ายค่ากาแฟ เช่น แบรนด์ Starbucks ได้ทุกวัน
เดิมที Jago Coffee ขายกาแฟแบบดั้งเดิม คือ ใช้กาแฟสำเร็จรูป น้ำตาล และครีมเทียม โยชัวร์จึงปรับรูปแบบธุรกิจ Jago Coffee ใหม่ โดยนำเสนอ ผลิตภัณฑ์คุณภาพดี คือ ใช้กาแฟแท้ นมสดแท้ และส่วนผสมต่างๆ เช่นเดียวกับคาเฟ่ ทั้งยังสร้างประสบการณ์ใหม่ให้ลูกค้าโดยต้อนรับลูกค้าแบบเดียวกับคาเฟ่ เช่น มีบาริสต้าที่ยิ้มแย้ม ให้บริการด้วยความอบอุ่น ที่เหนือกว่านั้นคือ ทำให้ลูกค้ารู้สึกว่าการดื่ม Jago เหมือนได้ยกระดับทางสังคมและเศรษฐกิจ คล้ายกับการถือแก้ว Starbucks ที่ทำให้คนอื่นคิดว่า มีรายได้สูงกว่าความเป็นจริง

เพื่อเข้าถึงลูกค้าจำนวนมาก นวัตกรรมสำคัญที่ Jago ใช้คือ โมเดลรถเข็นไฟฟ้าเคลื่อนที่ (EV) ซึ่งช่วยให้เดินทางไปหาลูกค้าได้เร็วขึ้น ไกลขึ้น และยังลดค่าใช้จ่ายได้มากถ้าเทียบกับการมีร้านกาแฟแบบดั้งเดิม เพราะไม่ต้องมีค่าเช่าร้าน ค่าจ้างพนักงาน และค่าสาธารณูปโภค ส่งผลให้ Jago สามารถขายกาแฟได้ในราคาที่ถูกลง 0.50 ดอลลาร์
โยชัวร์บอกว่า ลูกค้าที่ต้องการซื้อกาแฟสามารถโบกมือเรียกรถเข็น, เดินเข้าไปซื้อ หรือใช้แอปพลิเคชัน Jago สั่งให้มาส่งที่บ้านได้ ด้วยทางเลือกเหล่านี้จึงสามารถดึงดูดลูกค้าสองกลุ่มหลัก คือ White Collar ที่เป็น Gen Z และพนักงานออฟฟิศรุ่นใหม่ ซึ่งมีรายได้ไม่มากแต่ต้องการดื่มกาแฟคุณภาพดีทุกวัน (ถ้าซื้อ Starbucks จะได้แค่สัปดาห์ละ 1-2 ครั้ง) กับ Blue Collar เช่น คนขับแท็กซี่ คนขับ Grab รปภ. ที่ปกติซื้อกาแฟสำเร็จรูปดื่มทุกวัน แต่สุดท้ายก็เปลี่ยนมาซื้อ Jago เพราะได้กาแฟที่มีรสชาติดีกว่าในราคาใกล้เคียงกาแฟแบบเดิม

เมื่อได้กระแสตอบรับดี จากรถเข็น 1 คันในปี 2020 ก็ขยายเป็น 1,600 คัน ซึ่งส่งผลให้ Jago Coffee เติบโตแบบออร์แกนิกถึง 1000% ในช่วงเวลาเพียง 3 ปี และมียอดสั่งซื้อถึงเดือนละ 2.5 ล้านครั้ง โดยไม่ต้องใช้เครื่องมือทางการตลาดใดๆ
และเพื่อรองรับการเติบโตอย่างรวดเร็ว Jago จึงพัฒนาระบบเพื่อใช้งานเอง ประกอบไปด้วย 3 ส่วน ได้แก่ 1) แอปสำหรับลูกค้า เพื่อใช้สั่งซื้อและค้นหารถเข็นใกล้ฉัน 2) ระบบ Mobile POS สำหรับบริษัท ใช้รวบรวมข้อมูลลูกค้าและระบบชำระเงินภายในเพื่อติดตามยอดขาย, ดูสินค้าคงคลัง และคาดการณ์ยอดขาย และ 3) เทคโนโลยีเชิงพื้นที่ (Geospatial Technology) ที่ผสานข้อมูลพฤติกรรมการซื้อเข้ากับ Machine Learning คาดการณ์ตำแหน่งที่เหมาะสมที่สุดที่รถเข็นควรไปอยู่ในแต่ละวัน ทำให้มั่นใจได้ว่าจะสามารถเข้าถึงลูกค้าได้เร็วที่สุด

โยชัวร์กล่าวในตอนท้ายว่า เป้าหมายสูงสุดของเขาคือ เปลี่ยนระบบการค้าแบบหาบเร่แผงลอยมาสร้างเป็น ระบบนิเวศการจัดจำหน่ายแบบเคลื่อนที่ และไม่ได้เปลี่ยนแค่อุตสาหกรรมกาแฟ แต่จะเปลี่ยนอุตสาหกรรมค้าปลีกทั้งระบบไปสู่ความคล่องตัวและความยืดหยุ่น ซึ่งเมื่อรวมกับข้อมูลเชิงภูมิศาสตร์และข้อมูลลูกค้า จะสามารถนำเสนอผลิตภัณฑ์อาหารและเครื่องดื่มประเภทต่างๆ ให้ลูกค้าและประสบความสำเร็จได้อีกมาก
ลงทะเบียนเข้าสู่ระบบ เพื่ออ่านบทความฟรีไม่จำกัด