ทำความเข้าใจหน้าที่ของ AI และ ML ในธุรกิจ และมุมมองต่อมนุษย์ในการทำงานในอนาคต | Techsauce

ทำความเข้าใจหน้าที่ของ AI และ ML ในธุรกิจ และมุมมองต่อมนุษย์ในการทำงานในอนาคต

ด้วยสถานการณ์ตลาดโลกในปัจจุบันคงปฏิเสธไม่ได้เลยว่าเทคโนโลยีมีบทบาทอย่างมากในทุกแวดวงธุรกิจ โดยเฉพาะเทคโนโลยีอย่าง ML (Machine Learning) และ AI (Artificial Intelligence) ซึ่งถือเป็นเทคโนโลยียอดนิยมที่หากธุรกิจรายไหนยังไม่ได้นำไปประยุกต์ใช้งานอาจทำให้ธุรกิจต้องตามหลังผู้แข่งรายอื่น ๆ ในโลกได้ ซึ่งกว่าจะมาถึงวันนี้นั้นเทคโนโลยีเหล่านี้ได้ถูกวิจัยและพัฒนาตลอดหลายปีที่ผ่านมา เพื่อสามารถปรับความเหมาะสมให้เข้ากับธุรกิจตามยุคสมัยที่เปลี่ยนแปลงไป การทำความเข้าใจทั้งด้านข้อจำกัดและความสามารถของ AI และ ML จึงเป็นเรื่องที่ผู้ประกอบการไม่ควรมองข้าม ICHI ผู้ให้ความรู้ด้าน Digital Solution จึงอยากนำเสนอเรื่องราวอนาคตของ AI และ ML ว่าจะดำเนินและเติบโตไปอย่างไร และในฐานะผู้ประกอบการสามารถปรับทิศทางธุรกิจได้อย่างไรบ้าง ผ่านความเห็นจาก ดร. พณชิต กิตติปัญญางาม ผู้อำนวยการ DPU X มหาวิทยาลัยธุรกิจบัณฑิตย์ นายกสมาคม Thailand Tech Startup Association CEO บริษัท ZTRUS 

การพัฒนาของ AI และ ML 

ดร. พณชิต ได้เล่าถึงความเป็นมาของการนำ AI และ ML มาใช้ในภาคธุรกิจและอุตสาหกรรมซึ่งมีการเริ่มต้นมากตั้งแต่ราวปี ค.ศ. 1960 - 1970 โดยนับได้ว่ามีระยะมากว่า 60 ปีจนถึงในปัจจุบันนี้  โดยการใช้งานนั้นก็แตกต่างไปตามยุคสมัยและบางคอนเซปต์หรือกระบวนความคิดบางอย่างของ AI ก็ยังคงอยู่ และสามารถนำมาปรับใช้กับสาขาธุรกิจต่าง ๆ ได้  

 ในยุคเริ่มต้นนั้นการใช้งาน AI ได้มีการเริ่มป้อนข้อมูลให้กับเครื่องจักรหรืออุปกรณ์ต่าง ๆ แต่ติดปัญหาด้านข้อจำกัดในเรื่องของปริมาณข้อมูลที่ไม่สามารถให้ได้ในจำนวนมากเนื่องจากระบบมีความสามารถในการคำนวณค่อนข้างต่ำ และเป็นการเรียนรู้แบบชั้นเดียว จนเมื่อเข้าสู่ยุคใหม่ที่ Digital Network มีบทบาทสำคัญกับทุกการใช้งานในชีวิตประจำวัน ทำให้เกิดการเร่งพัฒนา AI และ ML ให้มีประสิทธิภาพมากขึ้นผ่านเทคโนโลยีที่เรียกว่า ‘Deep Learning’ 

“‘Deep Learning’ เป็นตัวช่วยในการเพิ่มพลังความสามารถในการคำนวณข้อมูลจำนวนมหาศาล ทำให้ ML สามารถเรียนรู้หลักคิดได้อย่างลึกซึ้ง นำไปสู่ AI ที่มีกระบวนการความคิดซับซ้อนมากขึ้น จึงไม่แปลกใจที่ทุกวันนี้เราได้เห็นเทคโนโลยีที่มีความฉลาดใกล้เคียงกับมนุษย์มากขึ้น” ดร. พณชิต กล่าว

AI และ ML เป็นมากกว่าแค่การประมวลผล แต่ตอบโจทย์ได้อย่างหลากหลาย

 ทุกวันนี้เราต่างได้เห็นการนำ AI และ ML เข้ามาใช้อย่างแพร่หลาย ไม่ว่าจะเป็นอุตสาหกรรมการผลิตที่นำ AI มาใช้ในส่วนหุ่นยนต์เครื่องจักร เพื่อเรียนรู้สภาพแวดล้อม ช่วยตัดสินใจและช่วยรักษาความปลอดภัยภายในโรงงาน รวมไปถึงการใช้งานอย่าง  Speech Recognition หรือการสั่งการด้วยคำสั่งเสียง ที่ปัจจุบันคุ้นเคยกันเป็นอย่างดีในการใช้ Siri หรือ Alexa 

นอกจากนี้ยังมีระบบ  Recommendation ที่ Netflix นำมาใช้งานในการแนะนำซีรีส์ ภาพยนตร์ต่าง ๆ ผ่านการติดตามจากพฤติกรรมการดูของผู้ชมที่ผ่านมา หรือการนำไปใช้งานในธุรกิจ E-commerce เพื่อนำเสนอสินค้าและบริการ ซึ่งปัจจุบันนี้การทำงานของ AI และ ML ไม่เพียงแค่วิเคราะห์ข้อมูลจากอดีตแต่ล้ำหน้าไปจนถึงสามารถคาดการณ์แนวโน้มความต้องการของผู้บริโภคในอนาคตได้อีกด้วย และประโยชน์ส่วนนี้อีกทำให้ธุรกิจมองเห็นทิศทางที่จะผลิตและสรรหาบริการที่ตอบสนองมาให้ผู้บริโภคได้ทัน

ดร. พณชิต ยังได้ยกตัวอย่างการใช้งานของ AI ในบริษัท แอ็คโคเมท จำกัด โดยทางบริษัทได้มีการนำเอาโปรแกรม AI มาใช้ในแผนกบัญชี เพื่อช่วยในการอ่านใบเสร็จต่าง ๆ เป็นการทุ่นแรงในการทำงาน สะดวก และรวดเร็วมากขึ้น เนื่องจากโดยปกติแล้วการทำงานบัญชีจำเป็นที่จะต้องคีย์ข้อมูลเข้าระบบ และเทียบความถูกต้อง ซึ่งทำการทำงานล่าช้าเนื่องจากพนักงานบัญชีจะต้องมานั่งตรวจสอบตัวสะกด แทนที่จะนำความรู้และทักษะไปทำงานด้านอื่น ๆ โดยไม่ต้องมาเสียเวลา นี่คือหนึ่งในประโยชน์ของ AI คือการควรเข้ามาช่วยเพื่อลดต้นทุนและระยะเวลาต้นทุนในการทำงานให้กับมนุษย์

AI และ ML ไม่ใช่แค่เทคโนโลยีใหม่ แต่คือทางรอดของธุรกิจ 

หลายธุรกิจทุกวันนี้ต่างนำเอา AI เพื่อเข้าไปลดภาระหน้าที่ของพนักงาน ทำให้ได้ผลงานที่รวดเร็วพร้อมแข่งขันในตลาดจนกระทั่ง AI และ ML เป็นที่รู้จักอย่างกว้างขวางในทุกแวดวงอุตสาหกรรม ซึ่งเป็นเรื่องท้าทายของผู้ประกอบการทุกฝ่าย ที่จะต้องเรียนรู้ ปรับตัว และเปลี่ยนแปลง

“ต้องเข้าใจว่า AI จะเข้ามามีบทบาทอยู่ในทุกอุตสาหกรรม 5-6 ปีที่แล้วใครมี AI ถือว่าได้เปรียบกว่าคู่แข่ง แต่ปัจจุบันใครไม่มี AI โอกาสรอดต่ำ”

ดร.พณชิต  อธิบายเพิ่มเติมว่าย้อนกลับไปในช่วง 2015 - 2016 AI เป็นแค่เพียงสิ่งใหม่ที่หลายอุตสาหกรรมยังไม่คุ้นชิน ส่งผลให้ในช่วงนั้นภาคธุรกิจไหนมีการนำมาใช้ ถือว่าเป็นโอกาสสำคัญและมีความได้เปรียบเหนือคู่แข่งเป็นอย่างมาก แต่ในขณะที่ปัจจุบันนี้ การมี AI ในธุรกิจถือเป็นเทคโนโลยีที่ควรมีและเป็นเรื่องปกติในการทำธุรกิจ และหากธุรกิจไม่มีเทคโนโลยีเหล่านี้ อาจส่งผลเสียจนไม่สามารถแข่งขันในตลาดได้ และมีโอกาสรอดต่ำในตลาดโลก เพราะฉะนั้นผู้ประกอบการจะต้องมองว่า AI จะสามารถเข้าไปช่วยงานในรูปไหนได้บ้าง

ทำงานได้เหนือกว่า AI ด้วยการมีความรับผิดชอบ

การทำงานที่ต้องพึ่ง AI นั้น ดร.พณชิต เสริมว่า เหมาะสำหรับรูปแบบการทำงานที่ต้องทำซ้ำ ๆ และสม่ำเสมอ เช่น งานกรอกข้อมูลลงในเอกสาร ที่มีขั้นตอนการตรวจสอบความถูกต้องซ้ำ ๆ หรือการทำงานที่ต้องอาศัยการเคลื่อนที่สินค้าในตำแหน่งเดิมซ้ำ ๆ ซึ่งงานเหล่านี้เป็นรูปแบบการทำงานที่การกินเวลาทำงานของบุคลากรที่มีทักษะสูงเป็นอย่างมาก 

 “หากคนที่ทำงานเพียงทำตามสั่งก็จะไม่ต่างกับหุ่นยนต์ ซึ่งหุ่นยนต์รู้เรื่องทำงานตามคำสั่งได้แม่นยำกว่าเรา แต่ถ้าเรารู้วิธีการสั่งงานหุ่นยนต์ เราจะเป็นคนที่เก่งขึ้น สิ่งที่มนุษย์ต้องพยายามเข้าใจคือ ต้องไม่กลัวการมาของ AI เนื่องจาก AI และมนุษย์ต่างก็ไม่สามารถทำงานได้แม่นยำ 100% แต่สิ่งที่มนุษย์มีคือ ‘ความเชื่อใจ’ และ ‘ความรับผิดชอบ’ เพราะ AI มาจาก Artificial Intelligence คือปัญญาประดิษฐ์ ซึ่งสามารถสร้างขึ้นได้ แต่ Artificial Responsibility หรือความรับผิดชอบแบบประดิษฐ์ ไม่สามารถสร้างขึ้นได้ เพราะความรับผิดชอบเกิดจากจิตใจมนุษย์เท่านั้น”

 สิ่งที่แตกต่างจาก AI คือการที่มนุษย์มีความรับผิดชอบ ความรับผิดชอบต่อการที่จะต้องผลิตผลงานให้ออกมาดีที่สุด เพราะมีความสามารถในการคำนึงถึงผลกระทบที่ตามมา ซึ่ง AI ไม่ได้ถูกโปรแกรมให้เข้าใจสิ่งนี้ ฉะนั้นแทนที่มนุษย์จะใช้เวลาส่วนใหญ่ไปกับการทำงานรูปแบบซ้ำ ๆ เดิม ๆ มนุษย์ควรนำเวลาที่มีค่าไปควบคุม และพัฒนา AI ให้สามารถใช้งานได้มีสิทธิภาพ เพื่อผลลัพธ์ระยะยาวที่ดีกว่า 

ท้ายสุดแล้วอาจกล่าวได้ว่า มนุษย์ต้องเรียนรู้การใช้งาน เข้าใจข้อจำกัด เพื่อบรรลุเป้าหมายของการทำงานอย่างมีประสิทธิภาพและตามทันกับอนาคตของ AI และ ML ต่อไปในฐานะผู้ควบคุมดูแลการทำงานของ AI และ ML ที่มีสิ่งที่เทคโนโลยีเหล่านี้ไม่มี และปล่อยให้การทำงานของ AI และ ML เป็นเพียงเครื่องมือที่เข้ามาลดภาระของเรา 

เรียนรู้เพิ่มเติมเกี่ยวกับ AI และ ML ได้ทาง https://www.jrit-ichi.com/cutting/2022/07/20/1221/ 



บทความนี้เป็น Advertorial 

ลงทะเบียนเข้าสู่ระบบ เพื่ออ่านบทความฟรีไม่จำกัด

No comment

RELATED ARTICLE

Responsive image

รู้จัก Cell BioPrint อุปกรณ์ช่วยเลือกสกินแคร์ตาม DNA จาก L’Oréal นวัตกรรมใช้เทปแปะหน้า แค่ 5 นาทีรู้ทุกปัญหาผิว

ลอรีอัลเปิดตัว Cell BioPrint ที่งาน CES 2025 นวัตกรรมตรวจวิเคราะห์ผิวเฉพาะบุคคล ด้วยเทคโนโลยี Proteomics พร้อมแนะนำสกินแคร์เฉพาะตัว ใช้งานง่ายใน 5 นาที!...

Responsive image

Samsung เปิดตัว Live Translate ฟีเจอร์แปลสดบนทีวี ก้าวข้ามอุปสรรคด้านภาษา สู่ประสบการณ์การรับชมแบบไร้พรมแดน

Samsung ได้เรียกเสียงฮือฮาในวงการเทคโนโลยีอีกครั้งที่งาน CES 2025 ด้วยการเปิดตัว “Live Translate” ฟีเจอร์ใหม่ล่าสุดที่ช่วยให้ผู้ชมสามารถเพลิดเพลินกับรายการถ่ายทอดสดจากทั่วโลกได้โดย...

Responsive image

พลิกโฉมการจัดการโรคด้วย AI เปลี่ยนการรักษาสู่การป้องกันเชิงรุก

AI กำลังเข้ามามีบทบาทอย่างมากในการเปลี่ยนแปลงอุตสาหกรรมสุขภาพและการแพทย์ โดยเฉพาะอย่างยิ่งในการจัดการโรค ซึ่งไม่ได้จำกัดอยู่แค่การรักษาอีกต่อไป แต่ยังครอบคลุมไปถึงการตรวจหาโรคตั้งแ...