
ประเทศไทยเคยถูกขนานนามว่าเป็น ‘เสือเศรษฐกิจตัวใหม่’ ของภูมิภาค แต่วันนี้สถานะของประเทศไทยกลับน่าเป็นห่วง เมื่อตัวเลขการเติบโตทางเศรษฐกิจ (GDP) รั้งท้ายในกลุ่มประเทศอาเซียนมานานหลายปี จนหลายคนเริ่มเรียกว่าเป็น ‘คนป่วยแห่งอาเซียน’ (The Sick Man of ASEAN) เกิดอะไรขึ้นกับประเทศไทย และเราจะปลุกเศรษฐกิจที่หลับใหลนี้ให้ตื่นขึ้นมาได้อย่างไร?
บนเวทีเสวนา ‘Wake Up Thailand Economy’ สองผู้เชี่ยวชาญจากภาคอุตสาหกรรมและแวดวงเศรษฐศาสตร์ อย่าง คุณเกรียงไกร เธียรนุกุล ประธานสภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย (ส.อ.ท.) และ ดร.สมประวิณ มันประเสริฐ นักเศรษฐศาสตร์และนักการเงิน ได้ร่วมกันวิเคราะห์ถึงต้นตอของปัญหา พร้อมชี้ทางออกที่ประเทศไทยต้องลงมือทำอย่างเร่งด่วน

ดร. สมประวิณ เปิดประเด็นอย่างน่าสนใจว่า ปัญหาพื้นฐานของเศรษฐกิจไทยคือ ‘เรากำลังใช้กลยุทธ์เก่าบนภูมิทัศน์ใหม่’ เปรียบเสมือนโลกกลายเป็น ‘Waterworld’ ไปแล้ว แต่เรายังพยายามผลิตรถยนต์ที่มีล้อเพื่อวิ่งบนน้ำ ซึ่งไม่มีทางประสบความสำเร็จ
ในอดีตหลังสงครามโลก บริบทโลกมี ‘3 มาก’ คือ ‘คนมาก’ ทำให้เน้นการผลิตปริมาณมาก ราคาถูก, ‘ความร่วมมือมาก’ ผ่านเวทีพหุภาคี และ ‘กิจกรรมทางเศรษฐกิจร่วมกันมาก’ ทำให้กลยุทธ์แบบ ‘Outside-in’ (พึ่งพา Supply Chain โลก), ‘Top-down’ (สั่งการจากบนลงล่างเพื่อให้เร็ว) และ ‘Exclusive’ (มีตัวแทนไม่กี่รายเข้าร่วมการผลิต) เป็นสิ่งที่ถูกต้องในยุคนั้น
แต่ปัจจุบัน โลกเปลี่ยนเป็น ‘3 น้อย’ คือ ‘คนน้อยลง’ (สังคมสูงวัย), ‘ความร่วมมือน้อยลง’ (เน้นดีลทวิภาคี) และ ‘กิจกรรมทางเศรษฐกิจร่วมกันน้อยลง’ (ทุกประเทศเน้นพึ่งพาตัวเอง) ดังนั้น กลยุทธ์เดิมจึงใช้ไม่ได้ผลอีกต่อไป การพยายามผลิตสินค้าจำนวนมากเพื่อแข่งกับจีนก็เป็นไปไม่ได้แล้ว

ด้านคุณเกรียงไกร ได้ฉายภาพปัญหาที่รุมเร้าประเทศไทยให้ชัดเจนยิ่งขึ้น โดยชี้ว่า GDP ไทยโตเฉลี่ยเพียง 2% ในช่วง 10 ปีที่ผ่านมา ซึ่งต่ำกว่าศักยภาพอย่างมาก ปัญหาเหล่านี้มาจากทั้งปัจจัยภายนอกและปัญหาเชิงโครงสร้างที่ฝังรากลึกภายในประเทศ
ปัญหาเชิงโครงสร้างที่สำคัญ ได้แก่
นอกจากนี้ ยังมีปัญหาเฉพาะหน้าที่ส่งผลกระทบโดยตรง เช่น สงครามการค้าที่ทำให้สินค้าจีนทะลักเข้าไทยจน SME ล้มตาย, หนี้ครัวเรือนที่สูงถึง 140% (รวมหนี้นอกระบบ) ฉุดกำลังซื้อ, และค่าเงินบาทที่แข็งค่ากระทบต่อการส่งออกและการท่องเที่ยว

ทั้งสองท่านเห็นตรงกันว่าทางออกต้องเริ่มจากการเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่ โดย ดร.สมประวิณ ย้ำว่า Priority สูงสุดคือ ‘การปฏิรูปกลไกการจัดสรรทรัพยากรสาธารณะ’ หรือพูดง่ายๆ คือ ‘ปฏิรูปประสิทธิภาพของภาครัฐ’ ซึ่งข้อมูลจาก IMD ชี้ว่าเป็นจุดที่ฉุดรั้งความสามารถในการแข่งขันของไทยมากที่สุด โดยการปฏิรูปจะสำเร็จได้ต้องอาศัย ‘ภาวะผู้นำที่มุ่งมั่น’ (Leadership Commitment) เป็นอันดับแรก
ขณะที่คุณเกรียงไกรเสนอแนวทางสำหรับภาคอุตสาหกรรมในการปรับตัวภายใต้นโยบาย ‘4 Go’ เพื่อเปลี่ยนผ่านจากอุตสาหกรรมดั้งเดิม (First Industry) ไปสู่อุตสาหกรรมแห่งอนาคต (Next-Gen Industry)
เสียงนาฬิกาปลุกทางเศรษฐกิจได้ดังขึ้นแล้ว ประเทศไทยไม่มีเวลาให้หลับใหลอีกต่อไป การจะตื่นขึ้นมาอย่างแข็งแกร่งได้นั้น ต้องอาศัยความมุ่งมั่นจากผู้นำในการปฏิรูปภาครัฐอย่างจริงจัง ควบคู่ไปกับการปรับตัวของภาคเอกชนเพื่อสร้างความสามารถในการแข่งขันบนสมรภูมิโลกที่เปลี่ยนแปลงไปอย่างสิ้นเชิง
ลงทะเบียนเข้าสู่ระบบ เพื่ออ่านบทความฟรีไม่จำกัด