MOU ย่อมาจาก Memorandum of Understanding หรือบันทึกความเข้าใจ เป็นเอกสารบันทึกข้อตกลงและความเข้าใจ ซึ่งใช้ได้ทั้งระหว่างองค์กรธุรกิจภาคเอกชนกับเอกชน หรือองค์กรธุรกิจภาคเอกชนกับหน่วยงานภาครัฐ หรือหน่วยงานภาครัฐกับหน่วยงานภาครัฐ

MOU คือ เอกสารบันทึกข้อตกลงและความเข้าใจ ซึ่งมีรายละเอียดเกี่ยวกับวัตถุประสงค์ที่มีร่วมกัน รวมถึงบทบาทและความรับผิดชอบของแต่ละฝ่าย
การจัดทำ MOU เกิดมาจากคู่สัญญาแต่ละฝ่าย ต้องการที่จะร่วมมือกันเพื่อทำอะไรสักอย่าง จึงมีการเริ่มพูดคุยถึงเป้าหมายหรือความต้องการของแต่ละฝ่าย รวมถึงบทบาทหน้าที่และความรับผิดชอบ เช่น
การทำ MOU ลดการปล่อยก๊าซคาร์บอนระหว่างองค์กรธุรกิจภาคเอกชนกับหน่วยงานภาครัฐ
ในการทำ MOU แต่ละฝ่ายอาจจะมี MOU ในเวอร์ชันของตัวเองที่ระบุสิ่งที่ฝ่ายตัวเองต้องการ แล้วจึงนำมาพูดคุยเพื่อทำการเปลี่ยนแปลงจนกว่าทุกฝ่ายจะพอใจกับข้อตกลงขั้นสุดท้าย เป็นวิธีที่ใช้หาจุดกึ่งกลางและช่วยให้ทุกฝ่ายแน่ใจว่าทุกคนเข้าใจตรงกัน เพื่อหลีกเลี่ยงความเข้าใจผิดระหว่างคู่สัญญา
สรุปแล้ว MOU คือ เอกสารที่กำหนดว่า "เราตกลงที่จะร่วมมือกัน" แสดงให้เห็นว่าต่างฝ่ายต่างเข้าใจกันและพร้อมที่จะเดินหน้าต่อไปพร้อมกัน เป็นเพียงกรอบภาพร่วมและไม่มีผลผูกพันทางกฎหมาย แต่เป็นจุดเริ่มต้นที่อาจนำไปสู่การจัดทำสัญญาร่วมกันในอนาคต
เนื้อหาใน MOU ก็จะประกอบด้วยประเด็นสำคัญหลัก 4 ประเด็น ได้แก่
ชื่อของทุกฝ่ายที่เกี่ยวข้องและลายเซ็น: ควรระบุและอธิบายถึงทุกฝ่ายที่เกี่ยวข้องลงในข้อตกลงอย่างชัดเจน เพื่อทำให้มั่นใจว่าทุกคนรับรู้ว่าใครมีส่วนร่วมในข้อตกลงบ้าง
ขอบเขตและเป้าหมายของข้อตกลง: ควรระบุอย่างชัดเจนว่าข้อตกลงมีเนื้อหาเกี่ยวกับอะไรบ้าง และแต่ละฝ่ายต้องการที่จะบรรลุเป้าหมายอะไรบ้าง รวมถึงกำหนดขอบเขตของข้อตกลง เพื่อให้ทุกฝ่ายเข้าใจถึงสิ่งที่ต้องการทำ และไม่ต้องการทำ
วันที่มีผลบังคับใช้: ควรมีวันที่บังคับใช้โดยประมาณ เพื่อกำหนดว่าข้อตกลงจะเริ่มบังคับใช้เมื่อใหร่
บทบาทและความรับผิดชอบของทุกฝ่าย: ควรระบุบทบาทและความรับผิดชอบของแต่ละฝ่ายไว้อย่างชัดเจน เช่น การอธิบายขอบเขตการทำงาน หรือหน้าที่เฉพาะเจาะจงที่แต่ละฝ่ายต้องรับผิดชอบ เพื่อประโยชน์ในการตีความและไม่ให้เกิดความสับสน
องค์ประกอบเหล่านี้จะทำให้เอกสาร MOU ชัดเจนและสร้างความเข้าใจที่ตรงกันระหว่างฝ่ายต่าง ๆ ที่เกี่ยวข้อง อีกทั้งยังลดข้อพิพาทที่อาจเกิดขึ้นในอนาคต
MOU ไม่มีผลทางกฎหมาย และไม่เป็นสัญญาผูกมัด เป็นเพียงบันทึกข้อตกลงร่วมกันเท่านั้น หากฝ่ายใดฝ่ายหนึ่งไม่ได้ทำตามข้อตกลงใน MOU ก็ไม่สามารถใช้เอกสารนี้มายื่นฟ้องกับศาลได้นั่นเอง แต่ถ้าข้อความในข้อตกลง MOU มีลักษณะที่ผูกมัดมากเกินไป ก็อาจส่งผลไปถึงสัญญาที่อาจเกิดขึ้นในอนาคตได้
MOU ≠ Contract(สัญญา)
ถึงแม้ว่าการผิดข้อตกลง MOU จะไม่ต้องรับโทษทางกฎหมาย แต่ธุรกิจใดที่ทำผิดข้อตกลงก็จะโดนบทลงโทษทางสังคมแทน เช่น การถูกประณาม ซึ่งส่งผลกระทบต่อชื่อเสียงและความน่าเชื่อถือของธุรกิจ รวมถึงทำให้เสียเครดิตในการทำธุรกิจกับบริษัทหรือองค์กรอื่น ๆ ในอนาคต
ธุรกิจบางธุรกิจมักชอบทำ MOU มากกว่าสัญญา เพราะรู้สึกว่ามีความยืดหยุ่นมากกว่าและไม่มีข้อผูกมัด เป็นเหมือนข้อตกลงพิเศษ ซึ่งการทำ MOU ก็มีทั้งข้อดี และข้อเสียต่อธุรกิจ
อ้างอิง: vakilsearch
ลงทะเบียนเข้าสู่ระบบ เพื่ออ่านบทความฟรีไม่จำกัด
Thank you for outlining the role of MOUs in business collaborations. I've noticed that in the context of patent filing and trademark registration, an MOU can serve as a valuable foundation for defining responsibilities and protecting interests before moving to formal agreements. As someone involved with Brainiac , I appreciate how such documents contribute to effective IP management.