บทเรียนจากอิสราเอล และการปรับใช้กับประเทศไทย - จากช่วงเสวนากับเหล่า "Big Four" ในงาน Techsauce Summit 2016 ที่รวมเอา (อดีตรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลังประเทศไทย หัวหน้าฝ่ายเศรษฐกิจและการค้าจากสถานเอกอัครราชทูตอิสราเอลประจำประเทศไทย และประธานกรรมการบริหารทรูคอร์ปอเรชั่น สรุปได้ว่าถ้าเราจะเปรียบเทียบความเหมือนความต่างระหว่างอิสราเอล กับประเทศไทย ทั้งคู่เป็นประเทศที่มีอัตรา GDP พอๆกัน และประเทศไทยก็มีทุกอย่างที่อิสราเอลมี ทั้งทรัพยากรธรรมชาติ และอื่นๆ แต่เมื่อมองถึงการใช้ประโยชน์จากทรัพยากรเหล่านั้น ประเทศขวานทองของเรายังคงล้าหลังอยู่มาก และสิ่งสำคัญหลักที่จะทำให้เติบโตได้ คือการเปลี่ยนแปลงวิธีคิดให้ทำงานอย่างฉลาดขึ้น และสร้างคุณค่าให้กับสินค้าได้มากขึ้น
ถึงแม้อิสราเอลจะเป็นประเทศน้องใหม่ ที่มีประชากรแค่ 8 ล้านคน (หรือน้อยกว่าหนึ่งในสิบของประชากรไทย) แต่อิสราเอลมี GDP ประมาณ 305 พันล้านดอลลาร์ ในปี 2015 ใกล้เคียงกับของไทยที่ 395.28 พันล้านดอลลาร์สหรัฐในปีเดียวกัน [Source: Tradingeconomics.com] ไม่เพียงแค่นั้นเพราะอิสราเอลมีอัตราความหนาแน่นของจำนวนสตาร์ทอัปมากที่สุดในโลก และในแง่ของเงินร่วมลงทุนหรือ VC ที่เมือง เทลอาวีฟ ก็ใหญ่เป็นอันดับสองของโลก รองจากแค่ซิลิคอนแวลลีย์อีกด้วย ลองมาดูกันว่ามีความสัมพันธ์อย่างไรบ้างระหว่างการเป็นประเทศที่มีประชากรน้อยมาก กับการมีอัตราสตาร์ทอัปและ GDP สูง
“ประเทศไทยมีศักยภาพมากในฐานะประเทศผู้ผลิตอันดับ 23 ของโลก” คุณบารัค ชาราบี หัวหน้าฝ่ายเศรษฐกิจและการค้าจากสถานเอกอัครราชทูตอิสราเอลประจำประเทศไทย กล่าว
“ผมเชื่อว่า ประเทศไทยควรจะนำเอาบางอย่างจากอิสราเอลมาปรับใช้ ทั้งการจัดการอย่างทรัพยากรและความคิดสร้างสรรค์ พวกคุณมีมหาวิทยาลัยที่น่าอัศจรรย์อย่างจุฬาลงกรณ์ ธรรมศาสตร์ และอื่นๆ พวกคุณแค่ต้องรู้วิธีการสนับสนุนกลุ่มคนเหล่านี้”
“ในอิสราเอล เราเรียกว่า สามเหลี่ยมทองคำของภาครัฐ ภาคธุรกิจเอกชน และภาคการศึกษา ทั้งสามหน่วยควรร่วมมือกันให้การสนับสนุน ecosystem ของวงการสตาร์ทอัป” นายบารัคกล่าว
ในปี 1993 ค่าจ้างแรงงานในอิสราเอลเริ่มเพิ่มสูงขึ้น รัฐบาลได้จัดตั้งกองทุนสำหรับ VC ชื่อ Yozma เพื่อเป็นความริเริ่มและความหวังใหม่สำหรับประชาชน และด้วยการสนับสนุน คำแนะนำ และการเงิน จากภาครัฐสู่ภาคธุรกิจนี้เองทำให้เกิดการเปลี่ยนแปลงครั้งยิ่งใหญ่
“ในช่วงปี 1980 มีประชากรอิสราเอลถึง 20 เปอร์เซ็นต์ เป็นเกษตรกร เทียบกับในปัจจุบันที่มีเพียงแค่ 1-1.5 เปอร์เซ็นต์เท่านั้น แต่ด้วยเทคโนโลยีทำให้อิสราเอลสร้างผลผลิตได้เพิ่มขึ้นถึงสามเท่า จากที่เคยทำได้ในช่วงที่มีเกษตรกร 20 เปอร์เซ็นต์ ประเทศไทยก็ควรจะก้าวสู่การเปลี่ยนแปลงแบบนั้นเช่นกัน ในตอนนี้ประเทศไทยมีประมาณ 40 เปอร์เซ็นต์ของประชากรที่ทำงานเชิงเกษตรกรรม พวกคุณต้องเพิ่มมูลค่าให้กับสินค้าและพืชผล สำหรับประเทศไทย นี่คืออาหารก็จริง แต่คุณก็ยังต้องแข่งขันกับประเทศอื่นๆ” เขาย้ำ “พวกคุณต้องเพิ่มมูลค่าให้กับสินค้า ยิ่งเมื่อประเทศอย่างเวียดนาม หรือพม่า กำลังผลิตสินค้าคล้ายๆ กันด้วยค่าแรงที่ถูกกว่า ถึงแม้ว่าคุณภาพจะต่างกัน แต่ก็นับว่าเป็นการแข่งขันทางธุรกิจ”
ประเทศไทยเผชิญกับปัญหาสังคมผู้สูงอายุอย่างร้ายแรง ในตอนนี้ อัตราส่วนระหว่างกลุ่มคนทำงาน และกลุ่มผู้สูงอายุที่ไม่ได้ทำงานคือ 4 ต่อ 1 ซึ่งทำให้ประเทศไทยเป็นหนึ่งในประเทศที่มีประชากรผู้สูงอายุมากที่สุดประเทศหนึ่งในเอเชีย และอัตราส่วนกำลังจะลดลงเหลือเพียง 2 ต่อ 1 ในเวลาไม่ถึง 20 ปี
ประเทศไทยเหลือเวลาไม่มากแล้ว “จากตัวเลขระบุว่า คุณต้องทำงานหนักขึ้นเป็นสองเท่า หรือไม่ก็ฉลาดขึ้นเป็นสองเท่า ไม่มีทางอื่นอีกแล้ว” คุณกรณ์ จาติกวณิช - อดีตรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลังประเทศไทยกล่าว “ผมคงเลือกทำงานให้ฉลาดขึ้นเป็นสองเท่าดีกว่า เพราะถ้าเลือกทำงานหนักขึ้นสองเท่า หมายความว่าคุณต้องจ่ายภาษีเพิ่มขึ้นสองเท่าด้วยเช่นกัน เพื่อไปจ่ายค่าดูแลผู้สูงอายุที่เพิ่มขึ้น เพราะฉะนั้นทางเดียวที่จะทำได้คือการทำงานอย่างฉลาดขึ้น เพิ่มประสิทธิภาพในการผลิต โดยใช้เทคโนโลยี"
คุณกรณ์พูดถึงสถิติอีก 2 ข้อ
สำหรับคุณกรณ์ ตัวเลขเหล่านี้ชี้ให้เห็นถึงช่องว่างที่พอเหมาะพอดีกับธุรกิจสตาร์ทอัป โดยเฉพาะประเภทฟินเทค (เทคโนโลยีในการทำธุรกรรมทางการเงิน) ที่จะช่วยพัฒนาระบบเศรฐกิจประเทศไทยได้อีกมาก และยังมีศักยภาพที่จะช่วยบรรเทาวิกฤตการณ์สังคมผู้สูงอายุได้อีกด้วย
“ผมคิดว่าฟินเทค คือการปฏิวัติประเทศไทย” คุณกรณ์ จาติกวณิช - ซึ่งมีบทบาทเป็นผู้ก่อตั้งชมรมฟินเทคแห่งแรกของประเทศไทย (The FinTech Club of Thailand) กล่าว “สำหรับประเทศที่มีบัญชีกว่าหลายล้านบัญชีที่ยังต้องพึ่งพาหนี้นอกระบบ มีอีกหลายอย่างที่สตาร์ทอัป และฟินเทคจะช่วยพัฒนา ช่วยลดต้นทุน และปรับปรุงคุณภาพของระบบการเงินได้”
คุณกรณ์ถือว่าฟินเทคเป็นปัจจัยสำคัญสำหรับการพัฒนาสังคมและเศรษฐกิจ ถึงเราจะมีโครงสร้างพื้นฐานทางด้านสื่อสารโทรคมนาคมที่ดีเลิศ และอัตราการใช้โทรศัพท์สมาร์ทโฟนที่ช่วยให้เข้าถึงข้อมูลได้สะดวกขึ้น แต่ฟินเทคจะทำให้เราสามารถใช้ประโยชน์และทำเงินจากข้อมูลเหล่านั้นได้
“สิ่งที่ต้องทำหลังจากนั้นคือการสร้างมูลค่าให้กับข้อมูลเหล่านั้น และนั่นคือสิ่งที่ Alibaba ทำมาโดยตลอด พวกเขาเห็นการค้าทั้งหมดผ่านระบบอีคอมเมิร์ซ และสิ่งที่พวกเขาทำช่วยให้สามารถระบุเจ้าบริษัทขนาดเล็ก ซึ่งมีทั้งข้อมูลการค้าขาย และข้อมูลทางการเงิน ในตอนนี้พวกเขาก็ปล่อยสินเชื่อให้กับบริษัท SME และสามารถทำได้อย่างราบรื่นเพราะได้เห็นข้อมูลการซื้อขายทั้งหมดในระบบแล้ว นั่นหมายถึงพวกเขาเข้าถึงข้อมูลทางการเงินแบบที่ไม่เคยมีมาก่อนคือระดับบุคคล สิ่งที่อาลีบาบาทำคือวิธีการทำเงินจากข้อมูล นี่คืออีกหนึ่งเหตุผลที่เราก่อตั้งชมรมฟินเทคแห่งประเทศไทย เพราะจริงๆแล้วมันมีข้อมูลอยู่แล้ว แค่ยังไม่ได้ถูกรวบรวมมาให้เราเข้าถึง สามารถใช้ประโยชน์และทำเงินจากตรงนั้นได้”
ประเทศไทยจะสามารถเป็นประเทศสำหรับสตาร์ทอัปเหมือนกับอิสราเอลได้หรือไม่ และเราจะต้องทำอะไรบ้างเพื่อให้เป็นแบบนั้นได้ ผู้ร่วมอภิปรายให้คำแนะนำว่า ประเทศไทยมีแนวโน้มที่จะเป็นประเทศสำหรับสตาร์ทอัปอยู่แล้ว แต่ยังมีส่วนประกอบอื่นๆ ที่จะช่วยพัฒนาให้เราไปถึงจุดนั้นได้เร็วขึ้น
ในช่วงท้าย คุณบารัคได้ความเห็นที่น่าสนใจอีกสองสามข้อสำหรับวงการสตาร์ทอัปไทย พร้อมเชิญชวนให้ไปชม startup ecosystem ของอิสราเอล และเรียนรู้จากตรงนั้น
“อิสราเอลอยู่ตรงนี้ตลอด เราเป็นพันธมิตรที่ดีของไทย เราจะให้ความร่วมมือและสนับสนุนสตาร์ทอัปไทย ให้คำปรึกษา มาดูที่อิสราเอล เรามี ecosystem สำหรับสตาร์ทอัป หยิบโอกาสในชีวิตไว้ แล้วกล้าที่จะทำ” เขากล่าว “และสุดท้าย รัฐบาลต้องกำหนดนโยบายที่จะดึงดูดนักลงทุนจากต่างประเทศ (FPIs) นี่คือกลุ่มคนรุ่นต่อไปของประเทศไทย เราต้องแสดงให้เห็นว่าเราจะช่วยพวกเขาได้อย่างไร “สตาร์ทอัปจะช่วยแบ่งเบาภาระเศรษฐกิจได้อีกมาก และพวกเขาต้องการการสนับสนุน”
ลงทะเบียนเข้าสู่ระบบ เพื่ออ่านบทความฟรีไม่จำกัด