ไม่ว่าจะผ่านไปกี่ปี ตลาดผลงานศิลปะยังน่าสนใจเสมอ จากรายงาน Art Market Report 2024 ของ Art basel และ UBS ระบุว่า ปีที่ผ่านมามูลค่าการซื้อขายศิลปะทั่วโลกอยู่ที่ 65 พันล้านดอลลาร์สหรัฐฯ และมูลค่าการประมูลงานศิลปะทั่วโลกอยู่ที่ 2.5 หมื่นล้านดอลลาร์สหรัฐฯ ลดลงจากช่วงเวลาเดียวกันของปีที่แล้ว 7% เนื่องจากการทำธุรกรรมที่มีมูลค่า 10 ล้านดอลลาร์สหรัฐฯ มีจำนวนลดลง ส่งผลให้มูลค่าตลาดลดลงไปด้วย อย่างไรก็ตาม กลุ่มสินค้าราคาขนาดกลางและขนาดเล็กยังคงเติบโตต่อเนื่อง
ปัจจุบันสหรัฐอเมริกา จีน และสหราชอาณาจักร ยังคงเป็นประเทศที่มียอดขายงานศิลปะจากประมูลที่ใหญ่ที่สุดในโลก โดยมีสหรัฐฯ ครองตำแหน่งประเทศที่ครอบครองส่วนแบ่งตลาดศิลปะทั่วโลกมากที่สุด คิดเป็น 42% ขณะที่จีนอยู่ในอันดับที่ 2 โดยมีสัดส่วน 19% ตามด้วยสหราชอาณาจักรอยู่ในอันดับที่ 3 ด้วยส่วนแบ่ง 17% และฝรั่งเศสอยู่ในอันดับที่ 4 อยู่ที่ 7% ของยอดขายทั่วโลก
แม้จีนจะอยู่ในอันดับที่ 2 ทว่า มูลค่าการซื้อขายผลงานศิลปะเพิ่มขึ้น 9% ราว 12.2 พันล้านดอลลาร์ และเพิ่มสูงขึ้นในช่วงการยกเลิกข้อจำกัดเกี่ยวกับโควิด 19 ในรายงานยังพบอีกว่าปี 2024 นักสะสมศิลปะจากจีนมีรายจ่ายสูงกว่านักสะสมทั่วโลก
เครดิต: https://theartmarket.artbasel.com/
สำหรับความนิยมการลงทุนงานอาร์ตแถบบ้านเรา ช่วงที่ผ่านมาตลาดงานศิลปะมีความคึกคักมากขึ้น ทั้งงานประเทศจิตรกรรม ภาพพิมพ์ ประติมากรรม ดนตรี หรือแม้แต่ Art Toy ที่กำลังมาแรงในขณะนี้ โดยหนึ่งในประเทศที่แสดงความหลงใหลออกมาอย่างชัดเจนคือ สิงคโปร์ที่ไม่ว่าจะเดินไปในห้างสรรพสินค้า โรงแรม ร้านอาหาร หรือสถาบันทางการเงิน จะเห็นงานศิลปะปรากฏอยู่ทุกที่ ถือเป็นสัญญาณบ่งบอกว่า ชิ้นงานศิลปะกำลังมีบทบาทมากขึ้น และเป็นอีกหนึ่งการลงทุนที่มองข้ามไม่ได้
ที่ผ่านมาเราได้เห็นวิกฤตเศรษฐกิจมานับไม่ถ้วน ทั้งหุ้น พันธบัตร ความผันผวนของอสังหาริมทรัพย์ หรือค่าครองชีพที่สูงขึ้น ล้วนส่งผลกระทบต่อการจับจ่ายทั้งสิ้น ผู้คนยุคนี้จึงมองหาช่องทางการลงทุนใหม่ๆ ที่มั่นคงและปลอดภัย ทำให้ในช่วงหลายปีมานี้การลงทุนศิลปะเริ่มมีบทบาทมากขึ้น
การลงทุนในอสังหาริมทรัพย์อาจทำกำไรได้ในระยะยาว เหมือนเสือนอนกิน แต่ก็มาพร้อมกับความกังวลด้านการบำรุงรักษาและซ่อมแซม ทำให้การลงทุนงานศิลปะน่าดึงดูดใจมากขึ้น Art Works Advisory ประเมินว่า ในปี 2024 มูลค่าการซื้อขายผลงานศิลปะจะเพิ่มขึ้น 22% ต่อปี และนักลงทุนส่วนใหญ่ยังลงทุนเพื่อส่งต่อความมั่งคั่งจากรุ่นสู่รุ่นด้วย
นอกจากนี้ ยังมีตัวเลขจาก Knight frank Luxury Investment Index เผยว่า งานศิลปะเป็นสินทรัพย์หรูหราที่มีประสิทธิภาพมากที่สุดในปี 2023 ทั้งนี้ 10 อันดับประกอบด้วย ศิลปะ รถคลาสสิก เครื่องเพชร เหรียญ เฟอร์นิเจอร์ กระเป๋า เครื่องประดับ นาฬิกา ไวน์ และวิสกี้
ในมุมของการเพิ่มมูลค่าสินค้า ระหว่างที่ครอบครองงานศิลปะก็สามารถให้เช่าผลงานไปแสดงตามที่ต่างๆ ได้ โดยรับประกันผลตอบแทน 6% ต่อปี รวมถึงได้เป็นเงินก้อนเมื่อตัดสินใจปล่อยหรือนำของไปประมูล
ปัจจุบันนักลงทุนรุ่นใหม่อายุน้อยลงเรื่อยๆ จากเดิมที่อยู่ระหว่าง 35 - 40 ปี เหลือเพียง 25- 35 ปี โดยบริษัทประมูลในสิงคโปร์ Christie’s ระบุว่านักลงทุนในสิงคโปร์ 30% อยู่ในกลุ่ม Millennial เพิ่มขึ้นจากช่วงเวลาเดียวกันของปีก่อนที่มีเพียง 26% ที่น่าสนใจคือ การซื้อขายในหมวดงานศิลปะ 97% มาจากกลุ่ม Millennial จากข้อมูลของ Great Eastern ระบุว่านักลงทุนในสิงคโปร์ที่มีอายุต่ำกว่า 35 ปีจะลงทุนกับผลงานศิลปะไม่เกิน 100,000 บาทต่อปี บางคนเน้นสะสมผลงานศิลปะในท้องถิ่น ในขณะที่บางคนเน้นเก็บงานศิลปินระดับโลก หรือเก็บงานในรูปแบบ NFT
อย่างไรก็ตาม คอลเลกชันงานศิลปะสำหรับการสะสมก็ไม่ใช่ของราคาถูก บางคอลเลกชันอาจเริ่มต้นตั้งแต่หลักแสนไปจนถึงหลักล้าน ปัจจัยการขึ้นลงของราคางานศิลปะมีหลายอย่าง ไม่ว่าจะเป็นความนิยม เทรนด์ตลาด เทคนิคที่ใช้ ชื่อเสียงของศิลปิน ช่วงเวลาของการสร้างผลงาน จำนวน และคุณภาพของงาน
จากรายงานของ Nikkei เผยว่า หนุ่มสาวชาวเอเชียส่วนใหญ่กลายเป็นแรงผลักดันสำคัญต่อการเติบโตของตลาดศิลปะในภูมิภาคนี้ ที่สร้างรายได้เป็นกอบเป็นกำ โดยยอดขายของงานศิลปะประเภทนี้เพิ่มขึ้น 25 เท่าเมื่อเทียบกับช่วง 20 ปีที่ผ่านมา
และกลุ่มคนที่อายุน้อยกว่า 40 ปีและมีทรัพย์สินมากกว่า 30 ล้านดอลลาร์ยังมีแผนที่จะลงทุนกับสินทรัพย์ด้านศิลปะ นาฬิกา ไวน์ ประมาณ 5% ของสินทรัพย์ทั้งหมด ในขณะที่คนทั่วไปมองว่า การลงทุนของคนมีฐานะกับงานศิลป์เป็นอีกหนึ่งโอกาสที่ดีในการสร้างความหลากหลายให้พอร์ตการลงทุน เพราะทุกวันนี้โลกต้องเผชิญกับความผันผวนและความไม่แน่นอนทางเศรษฐกิจ การแบ่งเงินก้อนมาลงทุนกับงานศิลปะจึงถือเป็นการลงทุนในระยะยาว
สำหรับในไทยเวลานี้ต้องบอกว่าเทรนด์การลงทุนกับผลงานศิลปะก็มาแรงไม่แพ้ประเทศอื่นๆ โดยเฉพาะในกลุ่ม Art Toy ที่มีศิลปินหลายคนปล่อยผลงานออกมาดึงดูดเงินจากนักสะสม หลายคนพยายามตามหาตัว Secret ยอมลงทุนไปต่อแถวข้ามวันข้ามคืน ทั้งในไทยและต่างประเทศเพื่อให้ได้ Art Toy มาครอบครอง จนทำให้ตอนนี้ Art Toy กลายเป็น pop culture แห่งยุค
จากกระแสดังกล่าว ยังต่อยอดไปถึงความนิยมในการเก็บสะสม Art Toy คอลเลกชั่นต่างๆ ใน Pop Mart ซึ่งมีกลุ่มเป้าหมายเป็นคนรุ่นใหม่ที่มีกำลังซื้อ เนื่องจากการสะสมของเล่นราคาไม่สูงเมื่อเทียบกับงานศิลปะประเภทอื่นๆ หรือในกรณีที่สินค้ามีการร่วมมือกับศิลปินและแบรนด์ดังๆ ออกสินค้า limited edition กระตุ้นความสนใจ จึงดึงดูดความสนใจกลุ่มลูกค้าใหม่ได้มาก
ทว่า เมื่อเทียบกับประเทศแถบเอเชีย ราคาเฉลี่ยของงานศิลปะไทยยังถูกกว่าอินโดนีเซีย เวียดนาม หรือฟิลิปปินส์ เช่น ผลงานศิลปะจากประเทศจีน Twelve Landscape Screens โดย Qi Baishi ถูกประมูลในราคา 5 พันล้านบาท หรือประเทศเวียดนามที่มีขนาดเศรษฐกิจใกล้เคียงไทยก็มีผลงานศิลปะที่ถูกประมูลด้วยมูลค่าสูงถึง 77 ล้านบาทคือ Portrait de Mademoiselle Phuong ของศิลปิน Mai Trung Thu ส่วนของไทย ภาพที่ถูกประมูลสูงสุดคือ ภาพของอ.ถวัลย์ ดัชนี ในราคา 26 ล้านบาท ซึ่งก็ยังน้อยกว่าประเทศอื่นๆ
ปัจจุบันภาพรวมการซื้อขายชิ้นงานศิลปะในไทยมีความคล่องตัวมากขึ้น ไม่ว่าจะเป็นผลงานชิ้นใหญ่ ชิ้นเล็ก ราคาถูกหรือราคาแพง ทุกอย่างสามารถซื้อขายได้อย่างรวดเร็วผ่านช่องทางออนไลน์ในแพลตฟอร์มต่างๆ ฝั่งศิลปินก็สามารถโปรโมทผลงานตนเองได้อย่างกว้างขวางโดยไม่มีตัวกลาง หรือต้องพึ่งพาการจัดแสดงในแกลลอรี่เพื่อประมูลผลงานแบบเดิม
นอกจากนี้ยังมีศิลปะในรูปแบบดิจิทัล หรือ NFT ที่ทำให้การซื้อขายชิ้นงานศิลปะเป็นไปได้อย่างโปร่งใสและปลอดภัย และยังช่วยสร้างความมั่นใจในเรื่องความเป็นเจ้าของและความหายาก สามารถตรวจสอบแหล่งที่มาและประวัติเจ้าของผลงานได้ง่ายขึ้นทั้งหมดนี้ล้วนทำให้วงการศิลปะไทยเริ่มเติบโตมากขึ้นเรื่อยๆ
ท้ายที่สุดแล้ว การเก็บสะสมคอลเลกชันผลงานศิลปะถือเป็นความหลงใหล และนักสะสมส่วนใหญ่คาดหวังให้สินทรัพย์ที่อยู่ในมือมีมูลค่าเพิ่มขึ้น ถือเป็นหนึ่งในศาสตร์การลงทุนที่น่าสนใจ หากผู้ลงทุนมีข้อมูลและความรู้มากพอที่จะลงทุนอย่างถูกต้อง เพื่อให้ได้ผลตอบแทนจากการลงทุนสูงสุด
อ้างอิง UBS , Artbasel , Channelnewsasia , ตลาดศิลปะ , Investopedia , arttank , cnaluxury , nikkei asia
ลงทะเบียนเข้าสู่ระบบ เพื่ออ่านบทความฟรีไม่จำกัด