ย้อนเวลากลับไปเมื่อ 10-20 ปีก่อน หากคุณก้าวเข้าไปในสปาหรู ผลิตภัณฑ์ประทินผิวแบรนด์แรกๆ ที่แวบเข้ามาในหัวคงหนีไม่พ้น Jo Malone หรือ L'Occitane แบรนด์ต่างชาติที่ได้กลายเป็นตัวเลือกหลักในสปาทั่วไทย แต่ในความหรูหรานั้น เคยตั้งคำถามกันไหมว่า ทำไมเราไม่เคยเห็นแบรนด์ไทยที่ถูกจดจำในระดับเดียวกันกับแบรนด์ต่างชาติเลย?
นี่คือจุดเริ่มต้นที่ทำให้คุณวรวิทย์ ศิริพากย์ เริ่มพัฒนาผลิตภัณฑ์ Wellness & Spa ที่ไม่เพียงแต่แฝงกลิ่นอายของความเป็นไทย แต่ยังหยิบยกวัตถุดิบดั้งเดิมจากตำรายาโบราณมาถ่ายทอดเรื่องราวของประเทศไทยในแง่มุมต่างๆ ทั้งวิถีชีวิตและวัฒนธรรม ผ่านสินค้า Niche Luxury ภายใต้แบรนด์ Panpuri (ปัญญ์ปุริ) ที่มาจากภาษาบาลีและสันสกฤต คำว่า “ปัญญะ” สติปัญญาอันตื่นรู้ และ “ปุริ” คุณค่าแห่งความบริสุทธิ์
นับตั้งแต่ก่อตั้งมาจนถึงปัจจุบัน Panpuri ได้เติบโตอย่างน่าทึ่งในวงการธุรกิจ มีอายุเกิน 20 ปี และสามารถทำรายได้ทะลุหลักพันล้านบาทในปีที่ผ่านมา โดยเฉพาะในตลาดต่างประเทศที่ให้การตอบรับเป็นอย่างดี บทความนี้ Techsauce จึงอยากมาเล่าถึงเส้นทางกว่าจะมาเป็นแบรนด์หรูของไทย Panpuri ผ่านอะไรมาบ้าง
ในปี 2001 ขณะที่คุณวรวิทย์ทำงานอยู่ที่นิวยอร์ก ชีวิตของเขาเกิดพลิกผันอย่างไม่ทันตั้งตัวหลังจากเหตุการณ์ 9/11 เมื่อเขารอดจากเหตุการณ์นั้น ประตูในฐานะพนักงานออฟฟิศได้ปิดลง แต่กลับเปิดประตูใหม่ในฐานะเจ้าของธุรกิจ
ไอเดียการทำแบรนด์ Panpuri เกิดขึ้นเมื่อเขากลับมาที่ไทยและเข้าใช้บริการสปาแห่งหนึ่ง พบว่าผลิตภัณฑ์ที่ใช้ในสปาทั้งหมดล้วนนำเข้ามาจากต่างประเทศ และไม่มีผลิตภัณฑ์ที่ผลิตขึ้นในนามคนไทยเลยแม้แต่ชิ้นเดียว ความคิดนี้จุดประกายให้เขาตัดสินใจสร้างแบรนด์ไทยที่สามารถทัดเทียมกับแบรนด์จากตะวันตกได้อย่างภาคภูมิใจ
ความมุ่งมั่นผลักดันให้เขาตัดสินใจเดินทางไปอิตาลี ซึ่งขึ้นชื่อว่าเป็นบ้านเกิดของแบรนด์หรูมากมายทั่วโลกอย่าง Prada, Gucci และ Fendi เพื่อศึกษาวิธีการทำธุรกิจ Luxury ที่จะทำให้แบรนด์ของเขามีเอกลักษณ์เฉพาะตัว
ตัวตนของแบรนด์ Panpuri จึงชัดเจนมาตั้งแต่ยังไม่รู้ด้วยซ้ำว่าจะใช้ชื่ออะไร นั่นคือความตั้งใจที่จะยืนในฐานะ Luxury Brand สัญชาติไทยที่ทัดเทียมแบรนด์ตะวันตก
การค้นหา DNA ของแบรนด์ Panpuri เปรียบเสมือนการเสาะหาหัวใจหรือจิตวิญญาณที่แท้จริง ซึ่งทำให้แบรนด์นี้มีเอกลักษณ์โดดเด่นไม่เหมือนใคร จุดเริ่มต้นของการเดินทางนี้เริ่มจากการมองย้อนกลับไปที่รากเหง้าของความเป็นไทย เพราะเจ้าของแบรนด์เห็นว่าประเทศนี้มีวัฒนธรรมเครื่องหอมที่ไม่เป็นรองชาติไหน รวมถึงความรู้และประเพณีของไทยนั้นก็มีเสน่ห์จนไม่สามารถมองข้ามได้
แรงบันดาลใจแรกเริ่มของคุณวรวิทย์จึงมาจากกลิ่นที่คุ้นเคยในวัยเด็ก นั่นคือกลิ่นของ “ดอกมะลิ” ที่คุณย่าของเขาใช้ทำน้ำลอยดอกไม้ เพราะมันสะท้อนถึงวิถีชีวิตของคนไทยได้เด่นชัดมากๆ นอกจากนี้ เขายังศึกษาวิธีการใช้สมุนไพรไทยจากตำราพระโอสถหรือตำรายาไทยเก่าแก่ที่มีอายุเกือบ 300 ปี ซึ่งกลายเป็นพื้นฐานสำคัญในการสร้างสรรค์ผลิตภัณฑ์ โดยเขาตีความใหม่ให้เข้ากับความทันสมัยและมาตรฐานระดับโลก ในขณะเดียวกัน ก็รักษาเสน่ห์ของความเป็นไทยไว้ในทุกรายละเอียด
และด้วยความเชี่ยวชาญด้านการปรุงแต่งกลิ่นหอมและประสบการณ์ในการใช้น้ำมันหอมระเหย Panpuri จึงเลือกใช้น้ำมันเป็นเบสของน้ำหอม แทนการใช้แอลกอฮอล์แบบแบรนด์ตะวันตก ทำให้ผลิตภัณฑ์มีเอกลักษณ์ที่ชัดเจนและสะท้อนถึงความเป็นไทยได้อย่างลงตัว การผสมผสานระหว่างศาสตร์และศิลป์นี้ ทำให้ Panpuri กลายเป็นแบรนด์ที่น่าสนใจและน่าจดจำในวงการเครื่องหอมอย่างแท้จริง
ดังนั้น สำหรับ Panpuri การค้นหา DNA ของแบรนด์ ก็คือการตอบคำถามสำคัญเหล่านี้ให้ได้
รากเหง้า ของเราคืออะไร ? Panpuri นำเอาตำรับความงามแบบโบราณ ส่วนผสมจากธรรมชาติ และกลิ่นอายแบบตะวันออกมาผสมผสานกันอย่างลงตัว
อะไรคือจุดแข็งของเรา ? Panpuri เชี่ยวชาญด้านการปรุงแต่งกลิ่นหอม และมีประสบการณ์ในการใช้น้ำมันหอมระเหย จึงนำจุดแข็งนี้มาสร้างเป็น "เอกลักษณ์" โดยเลือกใช้น้ำมันเป็นเบสของน้ำหอม แทนการใช้แอลกอฮอล์แบบแบรนด์ตะวันตก
เราต้องการสื่อสารเรื่องราวอะไร? Panpuri ต้องการนำเสนอ "Eastern Story" หรือเรื่องราวความงามแบบตะวันออก ที่เต็มไปด้วยเสน่ห์ ความละเอียดอ่อน และใกล้ชิดธรรมชาติ
เราอยากให้ลูกค้ารู้สึกอย่างไร? Panpuri ต้องการให้ลูกค้ารู้สึก "ผ่อนคลาย" "สงบ" และ "ใกล้ชิดกับธรรมชาติ" เมื่อได้สัมผัสกับผลิตภัณฑ์
แม้ Panpuri จะเผชิญกับวิกฤตโควิด-19 เช่นเดียวกับธุรกิจอื่น ๆ แต่กลับสามารถเปลี่ยนวิกฤตนี้เป็นโอกาสและสร้างยอดขายทะลุพันล้านได้แบบน่าทึ่ง คุณวรวิทย์ได้พูดถึงการสร้างแบรนด์หรูว่า “การทำแบรนด์หรูไม่ใช่แค่ตั้งราคาสูงหรือใช้บรรจุภัณฑ์ที่ดูแพง แต่ต้องเข้าใจแก่นแท้ของความหรูหรา และสื่อสารคุณค่านั้นให้ตรงกับกลุ่มเป้าหมาย”
คำว่า “แก่นแท้ของความหรูหรา” ที่คุณวรวิทย์ใช้ในการขับเคลื่อน Panpuri มีอยู่ 3 แกนหลัก:
Timeless Value: สินค้าและบริการของแบรนด์หรูไม่ใช่แค่ของฟุ่มเฟือย แต่มันคือสัญลักษณ์ของรสนิยมและเรื่องราวที่ไม่มีวันเก่าไป สำหรับ Panpuri นั้นความประณีตของการผลิต และการเลือกวัตถุดิบชั้นเลิศ คือตัวแทนของค่านิยมนี้ เป็นการผลิตที่มีรายละเอียดและเทคนิคที่สืบทอดมาแบบรุ่นสู่รุ่น
Exceptional Experience: การเป็นแบรนด์หรูต้องให้มากกว่าแค่สินค้า แต่ต้องสร้างประสบการณ์สุดพิเศษให้กับลูกค้า ทั้งการบริการที่ใส่ใจในทุกจุด การออกแบบร้านที่ให้ความรู้สึกเอ็กซ์คลูซีฟ ซึ่ง Panpuri ก็ไม่พลาดที่จะสร้างบรรยากาศพิเศษในแต่ละสาขา โดยแต่ละที่มีดีไซน์ที่ไม่ซ้ำกัน นอกจากนี้ยังเล่าเรื่องราวของแบรนด์ผ่านประวัติศาสตร์และแรงบันดาลใจ จนทำให้ลูกค้ารู้สึกผูกพันกับแบรนด์อย่างลึกซึ้ง
Unique Identity:
เอกลักษณ์เฉพาะตัวคือหัวใจของการสร้างแบรนด์หรู! Panpuri รู้ดีว่าถ้าอยากให้คนจดจำ ต้องมีอะไรที่โดดเด่นและแตกต่าง แบรนด์นี้จึงสร้างความเป็นตัวเองด้วย 3 สิ่งสำคัญ:
จากจุดเริ่มต้นของคำถามง่าย ๆ ว่า “ทำไมแบรนด์ไทยถึงไม่ดังเท่าแบรนด์นอก?” กลายมาเป็นจุดพลิกผันที่ทำให้ Panpuri สร้างเส้นทางใหม่ให้แบรนด์ไทยในเวทีโลก จากวันนั้นจนวันนี้ Panpuri กลายเป็นสัญลักษณ์แห่งความหรูหราที่สู้กับแบรนด์ระดับโลกได้อย่างเต็มภาคภูมิ แถมยังไม่ใช่แค่เรื่องของยอดขายทะลุพันล้าน แต่เป็นการพาความงามและวัฒนธรรมไทยออกไปสู่สายตาชาวโลก
ด้วยการผสมผสานระหว่างศิลปะการทำผลิตภัณฑ์และความเชี่ยวชาญด้านสมุนไพร Panpuri ไม่ได้เป็นเพียงแบรนด์เครื่องหอม แต่คือเรื่องราวและคุณค่าของวัฒนธรรมไทยที่ซึมซับอยู่ในทุกสัมผัสและทุกกลิ่น
อ้างอิง: panpuri, ข้อมูลจากงาน The Secret Sauce Summit 2024
ลงทะเบียนเข้าสู่ระบบ เพื่ออ่านบทความฟรีไม่จำกัด