
จะดีแค่ไหน ถ้าเราสามารถ ‘มองตา’ แล้วรู้ได้เลยว่ากำลังเสี่ยงเป็นโรคหัวใจหรือเบาหวาน? นี่คือนวัตกรรมล่าสุดที่ Dr. Michael V. McConnell ผู้เชี่ยวชาญจาก MIT และ Stanford University นำมาเปิดเผยในงาน Siriraj X MIT Siriraj x MIT Hacking Medicine 2025
Dr. Michael V. McConnell เริ่มต้นการบรรยายด้วยการชี้ให้เห็นถึงปัญหาใหญ่ของระบบสาธารณสุขในปัจจุบัน ซึ่งคือการตรวจพบโรคต่างๆ เช่น โรคหัวใจ หลอดเลือดและโรคไตในระยะที่สายเกินไป ทำให้รักษายากและมีค่าใช้จ่ายสูง หรือแม้ภาวะเมทาบอลิกซินโดรม ภาวะที่เกิดจากระบบการเผาผลาญของร่างกายทำงานผิดปกติไปด้วยเช่นกัน
“ปัญหาหลักคือเรามักจะตรวจพบโรคเหล่านี้ในระยะท้ายๆ แล้ว ไม่ว่าจะเป็นภาวะหัวใจวาย, เส้นเลือดในสมองแตก, หรือภาวะแทรกซ้อนจากเบาหวาน ซึ่งหากเราสามารถตรวจพบได้เร็วกว่านี้ ประโยชน์ที่จะได้รับนั้นมหาศาล” Dr. Michael V. McConnell กล่าว
หัวใจสำคัญของนวัตกรรมที่ Dr. Michael V. McConnell นำเสนอคือการใช้ ภาพถ่ายจอประสาทตา (Retinal Imaging) ร่วมกับ AI เพื่อวิเคราะห์และประเมินความเสี่ยงของโรคต่างๆ ในร่างกาย เขาอธิบายว่าจอประสาทตาเป็นอวัยวะเพียงไม่กี่แห่งในร่างกายที่เราสามารถมองเห็นเส้นเลือดแดง, เส้นเลือดดำ และเส้นประสาทได้โดยตรง ทำให้เปรียบเสมือน ‘หน้าต่าง’ ที่สะท้อนสุขภาพโดยรวมของร่างกายได้ ซึ่งแนวคิดเรื่องการวิเคราะห์โรคจากจอประสาทตามีมาตั้งแต่ยุค 1960 แต่สิ่งที่ทำให้มันก้าวกระโดดในวันนี้คือพลังของ AI ที่สามารถวิเคราะห์ภาพถ่ายจำนวนมหาศาลได้อย่างรวดเร็วและแม่นยำ
นอกจากนี้ยังได้เล่าย้อนไปถึงช่วงเวลาที่เขาทำงานร่วมกับทีมวิศวกรของ Google ซึ่งเป็นจุดเริ่มต้นของการนำเทคโนโลยี Machine Learning มาประยุกต์ใช้ในทางการแพทย์ “ทีมงานของ Google ได้ฝึก AI ให้สามารถแยกแยะภาพแมวกับสุนัขออกจากกันได้ ผมจึงเกิดความคิดว่าถ้าเราเปลี่ยนจากภาพสัตว์เหล่านั้นมาเป็นภาพถ่ายจอประสาทตาล่ะ จะเป็นอย่างไร”
ผลลัพธ์ที่ได้น่าทึ่งมาก ทีมได้ฝึก AI ด้วยภาพถ่ายจอประสาทตาหลายแสนภาพจน AI สามารถตรวจหาภาวะเบาหวานขึ้นตา ซึ่งเป็นสาเหตุหลักของการตาบอดทั่วโลกได้อย่างแม่นยำ เทียบเท่ากับจักษุแพทย์ผู้เชี่ยวชาญ ที่น่าสนใจคือ ประเทศไทยเป็นหนึ่งในประเทศแรกๆ ที่ Google ได้ร่วมมือในการนำเทคโนโลยีนี้มาใช้จริง ในโครงการคัดกรองระดับชาติ ซึ่งพิสูจน์ให้เห็นถึงประสิทธิภาพของ AI ในการขยายขีดความสามารถในการดูแลสุขภาพให้เข้าถึงผู้คนได้มากขึ้น ความสำเร็จนี้ได้ปูทางให้ปัจจุบันเทคโนโลยี AI ตรวจเบาหวาน ได้รับการอนุมัติจาก FDA และเริ่มถูกนำมาใช้จริงในคลินิกชั้นนำอย่าง Stanford แล้ว
นอกจากการตรวจหาโรค Dr. Michael V. McConnell ยังได้พูดถึงอีกหนึ่งมิติที่น่าสนใจ คือการใช้ AI วิเคราะห์ภาพถ่ายจอประสาทตาเพื่อประเมิน ‘อายุชีวภาพ’ ซึ่งเป็นการบอกว่าร่างกายของเรานั้นเสื่อมสภาพเร็วหรือช้ากว่าคนในวัยเดียวกันมากน้อยแค่ไหน
“การรู้อายุชีวภาพของตัวเองจะช่วยกระตุ้นให้ผู้คนหันมาใส่ใจดูแลสุขภาพมากขึ้น ไม่ว่าจะเป็นการปรับเปลี่ยนไลฟ์สไตล์หรือการเข้ารับการตรวจสุขภาพอย่างสม่ำเสมอ”
Dr. Michael V. McConnell เปิดเผยว่านี่ไม่ใช่แค่แนวคิด แต่บริษัทของเขา หรือ Toku's AI ก็ได้นำ AI วัดอายุชีวภาพนี้ไปติดตั้งใช้งานจริงแล้วในคลินิกกว่า 200 แห่ง เนื่องจากถูกจัดเป็นผลิตภัณฑ์เพื่อสุขภาพ ซึ่งช่วยให้บริษัทได้เรียนรู้และเก็บข้อมูลจากผู้ใช้งานจริงก่อนที่เครื่องมือวินิจฉัยโรคตัวหลักจะได้รับการอนุมัติ
แนวคิดนี้สอดคล้องกับเทรนด์ ‘Longevity’ ที่กำลังได้รับความนิยมไปทั่วโลก ซึ่งหลายคนก็ได้ตั้งข้อสังเกตว่าเป็นเรื่องที่น่าตื่นเต้นที่ผู้บริโภคหันมาสนใจการป้องกันโรคมากขึ้น ถึงแม้ว่าบางทีพวกเขาจะไปหาข้อมูลกันเอง ไม่ได้ผ่านระบบโรงพยาบาลหรือคลินิกก็ตาม
Dr. Michael V. McConnell เสริมว่า “ผมไม่สนใจว่าเราจะเรียกมันว่าอะไร ไม่ว่าจะเป็น Longevity หรือ Prevention ตราบใดที่เป้าหมายสูงสุดคือการทำให้ผู้คนมีสุขภาพที่ดีขึ้น ผมมองว่านี่คือโอกาสในการลดความซับซ้อนของระบบสุขภาพ ทำให้ผู้คนเข้าถึงข้อมูลและการดูแลสุขภาพได้โดยตรงและง่ายขึ้น”
เมื่อ AI ตรวจเบาหวานเริ่มใช้จริงแล้ว และ AI วัดอายุชีวภาพก็เริ่มมีให้เห็นแล้ว คำถามสำคัญที่สุดคือ แล้วเทคโนโลยี AI ที่ใช้วินิจฉัย 'ความเสี่ยงโรคหัวใจ' โดยตรงล่ะ จะได้ใช้จริงเมื่อไหร่ ? นี่คือส่วนที่ Dr. Michael V. McConnell ยอมรับว่ายังไม่ง่ายและมีอุปสรรคใหญ่ๆ ขวางอยู่เพียบ เนื่องจากเป็นเทคโนโลยีที่ซับซ้อนและยังอยู่ในขั้นตอนสุดท้ายของการทดลองทางคลินิก เพื่อรวบรวมข้อมูลยื่นขออนุมัติจาก FDA ปัญหาที่ต้องคิดล่วงหน้าจึงมีมากมาย เช่น
แต่ปัญหาที่ใหญ่ที่สุดคือแล้วใครจะจ่ายเงิน? ปกติเวลาเราไปโรงพยาบาล เราก็ใช้สิทธิ์ประกันหรือประกันสังคม ซึ่งโรงพยาบาลก็จะไปทำเรื่อเบิกเงินคืนจากหน่วยงานเหล่านั้นทีหลัง แต่การตรวจแบบใหม่ๆ ด้วย AI นี้ มันยังไม่มีอยู่ในระบบเบิกจ่าย พูดง่ายๆ คือโรงพยาบาลทำให้เราฟรีๆ ไม่ได้ เพราะเขาจะไปเก็บเงินกับใครก็ยังไม่ได้ Dr. Michael V. McConnell ก็ยอมรับว่าเรื่องนี้ ‘เป็นเรื่องที่ยาก’ จึงเสนอทางแก้ไว้ 2 ทางคือ
1. เปลี่ยนวิธีจ่ายเงิน
จากเดิมที่โรงพยาบาลตรวจอะไรก็เก็บเงินตามนั้น ให้เปลี่ยนเป็นโมเดลใหม่ที่เรียกว่าเน้นคุณค่า หรือ Value-based care พูดง่ายๆ คือถ้าพิสูจน์ได้ว่าเทคโนโลยีนี้ช่วย 'ป้องกัน' ไม่ให้โรคพัฒนาไปจนอาการหนัก มันก็จะช่วยให้รัฐหรือบริษัทประกันประหยัดค่ารักษาแพงๆ ในอนาคตได้เขาก็ควรจะยอมจ่ายค่าตรวจนี้
2. เข้าไปคุยกับหน่วยงานที่ดูแลเรื่องนี้ตรงๆ
เพื่อขอให้เขาเพิ่มรหัสเบิกจ่าย หรือ Billing Code สำหรับการตรวจแบบใหม่นี้เข้าไปในระบบ พอมีรหัสนี้แล้ว โรงพยาบาลก็จะสามารถเบิกเงินค่าตรวจได้ตามปกติ
สุดท้าย Dr. Michael V. McConnell "การจะทำเทคโนโลยีใหม่ๆ แบบนี้ให้สำเร็จได้ไม่ใช่แค่ใครคนเดียว" เขาบอกว่าทุกคนต้องช่วยกัน ทั้งคนคิดค้น, หมอ, นักธุรกิจ, รัฐบาลและบริษัทประกัน มันต้องช่วยกันเป็นทีม เทคโนโลยีใหม่เหล่านี้ถึงจะไปรอดและคนทั่วไปถึงจะได้ใช้
ลงทะเบียนเข้าสู่ระบบ เพื่ออ่านบทความฟรีไม่จำกัด