
สถิติจากสถาบันมะเร็งแห่งชาติเป็นเรื่องที่น่ากังวลอย่างยิ่ง แต่ละปีคนไทยป่วยเป็นมะเร็งรายใหม่ราว 140,000 คน และเสียชีวิตประมาณ 83,000 คน หรือเฉลี่ยวันละ 227 คน กุญแจสำคัญที่จะลดตัวเลขนี้คือการตรวจคัดกรองให้พบโรคตั้งแต่ระยะเริ่มต้น ซึ่งเป็นจุดที่เทคโนโลยีอย่างปัญญาประดิษฐ์ (AI) กำลังเข้ามามีบทบาทสำคัญ
ล่าสุด คณะแพทยศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย และศูนย์ความเป็นเลิศทางการแพทย์ด้านการส่องกล้องระบบทางเดินอาหาร โรงพยาบาลจุฬาลงกรณ์ สภากาชาดไทย ได้เปิดตัว ‘Deep GI’ นวัตกรรม AI ที่ถูกพัฒนาขึ้นมาเพื่อช่วยแพทย์ในการตรวจคัดกรองมะเร็งได้อย่างแม่นยำ
โดย Phase 1 ที่สำเร็จไปเมื่อปี 2565 มุ่งเน้นไปที่การตรวจหามะเร็งลำไส้ใหญ่ และได้เดินหน้าสู่ Phase 2 ที่สำเร็จในเดือนมิถุนายน 2568 เพื่อใช้ AI ตรวจหามะเร็งท่อน้ำดีและกระเพาะอาหาร ซึ่งถือเป็นรายแรกของโลก

ศ. นพ.รังสรรค์ ฤกษ์นิมิตร ผู้ช่วยอธิการบดี และแพทย์ผู้เชี่ยวชาญด้านการส่องกล้องระบบทางเดินอาหาร รพ.จุฬาฯ อธิบายว่า จุดประสงค์หลักของ Deep GI คือการเป็นเครื่องมือช่วยแพทย์ที่ไม่ได้เชี่ยวชาญการส่องกล้องโดยตรง ให้สามารถค้นหาติ่งเนื้อได้อย่างแม่นยำ
‘ติ่งเนื้อบางอันตรวจพบยากเพราะไม่ได้มีรูปร่างเป็นก้อน บางอย่างมีลักษณะเป็นปื้นหรือแบนราบ อาจจะทำให้แพทย์มองไม่เห็นและพลาดไป นวัตกรรม AI จะช่วยชี้เป้าให้แพทย์ที่ทำการส่องกล้องเห็นชิ้นเนื้อผิดปกติได้ไวและแม่นมากขึ้น’
ศ. นพ.รังสรรค์ ย้ำว่า AI ทำหน้าที่เหมือน ‘Co-pilot’ เป็นเพียงตัวช่วยชี้ตำแหน่งให้แพทย์ แต่ไม่ได้ทำหน้าที่แทนแพทย์ การยืนยันผลสุดท้ายยังคงเป็นหน้าที่ของแพทย์
คำว่า ‘Deep’ ใน Deep GI มาจาก Deep Learning ซึ่งเป็นกระบวนการที่ทีมวิจัยจากคณะแพทยศาสตร์และคณะวิศวกรรมศาสตร์ จุฬาฯ ใช้สอน AI โดยป้อนภาพชิ้นเนื้อที่เป็นมะเร็งและไม่เป็นมะเร็งนับแสนภาพ จากผู้ป่วยหลายร้อยคน ให้ AI ได้เรียนรู้ (Supervised Learning) จนสามารถตีกรอบและชี้เป้าชิ้นเนื้อที่ผิดปกติได้
ในทางปฏิบัติ Deep GI เป็น External Hardware ที่ติดตั้งข้างๆ เครื่องส่องกล้อง ระบบจะดึงภาพจากกล้องส่องกล้อง (ไม่ว่ายี่ห้อหรือรุ่นใด) เข้ามาแปลผล แล้วส่งภาพพร้อมการตีกรอบรอยโรคที่สงสัยกลับไปที่จอของแพทย์ในแบบเรียลไทม์ โดยกระบวนการตรวจทั้งหมดใช้เวลาเท่าเดิม
มะเร็งลำไส้ใหญ่เป็นมะเร็งอันดับ 3 ที่คนไทยเป็น ปัจจุบันประชากรไทยอายุ 50 ปีขึ้นไป (กลุ่มเสี่ยง) มีราว 15 ล้านคน แต่มีแพทย์ผู้ชำนาญการส่องกล้องเพียงประมาณ 1,000 คน ซึ่งไม่เพียงพอ
‘สิ่งที่เราทำได้คือสอนแพทย์ที่สนใจและเริ่มงานใหม่ ให้ส่องกล้องได้มีประสิทธิภาพเท่าผู้เชี่ยวชาญ’ ศ. นพ.รังสรรค์ กล่าว

ผลการวิจัยพบว่า Deep GI สามารถช่วยให้แพทย์ที่ยังไม่ชำนาญ ตรวจหาติ่งเนื้อในลำไส้ใหญ่ได้แม่นยำใกล้เคียงกับแพทย์ผู้เชี่ยวชาญถึง 97% ช่วยให้ผู้ป่วยมั่นใจในผลการตรวจมากขึ้น และทำให้การคัดกรองมะเร็งลำไส้ใหญ่ทำได้กว้างขวางขึ้น
Phase 2 ก้าวสู่การวินิจฉัยมะเร็งที่ซับซ้อน
ความท้าทายก้าวต่อไปคือมะเร็งกระเพาะอาหารและท่อน้ำดี ซึ่งวินิจฉัยในระยะเริ่มต้นได้ยากกว่ามะเร็งลำไส้ใหญ่มาก (ผู้ป่วยที่ตรวจพบมักมีไม่ถึง 20% ที่สามารถผ่าตัดได้)
‘ในกระเพาะอาหาร เนื้อ (ระยะเริ่มต้น) จะเป็นปื้นแดงสีซีด มองเผินๆ ก็นึกว่าปกติ’ ศ. นพ.รังสรรค์ อธิบาย ‘ส่วนมะเร็งในท่อน้ำดียิ่งดูยาก เป็นแค่รอยร่องฉีกขาดขนาดเล็ก’
Deep GI Phase 2 ถูกเทรนด้วยข้อมูลชุดใหม่ให้มีความละเอียดสูงขึ้น เพื่อช่วยแพทย์ 'เล็งเป้า' ในการตัดชิ้นเนื้อจากบริเวณที่ซับซ้อนเหล่านี้ได้ถูกต้อง

ทีมวิจัยกำลังพัฒนาฟีเจอร์ใหม่ที่เรียกว่า CADx (Diagnosis) ซึ่ง AI จะไม่ได้แค่ชี้เป้า (Detection) แต่จะสามารถวิเคราะห์ได้ด้วยว่าติ่งเนื้อที่พบนั้นมีแนวโน้มเป็นมะเร็งหรือไม่ ซึ่งอาจช่วยลดขั้นตอนการตัดชิ้นเนื้อที่ไม่จำเป็น (Resect and Discard) ประหยัดเวลาและค่าใช้จ่ายในการส่งตรวจ
จุดเด่นของ Deep GI คือการใช้ข้อมูลของคนไทยในการเทรน ทำให้มีความแม่นยำสูงกับคนไทยโดยเฉพาะ ปัจจุบัน Deep GI ได้ผ่านการรับรองจาก อย. (องค์การอาหารและยา) เป็นที่เรียบร้อย และกำลังอยู่ในโครงการนำร่องกับโรงพยาบาล 8 แห่ง โดยได้รับการสนับสนุนจาก BOI
ขั้นต่อไป จุฬาฯ สนับสนุนให้นำนวัตกรรมนี้ไปใช้ประโยชน์ในวงกว้าง โดยเตรียมจัดตั้งเป็นบริษัท Startup เพื่อขยายผลในรูปแบบ B2G (Business-to-Government) กับกระทรวงสาธารณสุข และ B2B (Business-to-Business) กับโรงพยาบาลเอกชน
‘ในอนาคต เราอยากพัฒนา AI ที่สามารถอ่านชิ้นเนื้อที่จะกลายพันธุ์เป็นมะเร็งได้ และวิเคราะห์ได้ว่าชิ้นเนื้อนี้ต้องตัดหรือไม่ต้องตัด’ ศ. นพ.รังสรรค์ กล่าวทิ้งท้ายถึงเป้าหมายของ Deep GI ที่จะเป็นนวัตกรรมช่วยชีวิตคนไทย ลดอัตราการสูญเสียจากโรคมะเร็งทางเดินอาหาร
ที่มา: จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย
ลงทะเบียนเข้าสู่ระบบ เพื่ออ่านบทความฟรีไม่จำกัด