
ในอดีต “ระบบสุขภาพ” มักเน้นไปที่การดูแลรักษาเมื่อล้มป่วย ซึ่งเป็นแนวทางแบบ Sick Care แต่ปัจจุบันที่โรคเรื้อรังเพิ่มสูงขึ้นและเทคโนโลยีช่วยให้เรามองเห็นความเสี่ยงได้ก่อน การดูแลสุขภาพจึงเปลี่ยนทิศทางสู่แนวคิดใหม่ที่เรียกว่า Health Care หรือการดูแลเชิงป้องกัน
การพูดคุยในหัวข้อ “ก้าวสู่อนาคตสุขภาพ จาก Sick Care สู่ Health Care” โดยทีมแพทย์ผู้เชี่ยวชาญจากโรงพยาบาลรามคำแหง ได้สะท้อนภาพอนาคตของการแพทย์ไทยผ่าน 4 ศูนย์เฉพาะทางสำคัญ ซึ่งมีหัวใจหลักร่วมกันคือ การป้องกันก่อนป่วย เพราะโรคหลายชนิดมักไม่ส่งสัญญาณเตือนล่วงหน้า และการตรวจพบตั้งแต่เนิ่นๆ คือกุญแจสำคัญที่อาจช่วยลดความเสี่ยงและอัตราการเสียชีวิตได้
ศาสตราธิคุณ นพ.วสันต์ อุทัยเฉลิม อายุรแพทย์ด้านหัวใจหัตถการรักษาหัวใจและหลอดเลือด ศูนย์หัวใจ โรงพยาบาลรามคำแหง บอกว่าโรคหัวใจยังคงเป็นสาเหตุการเสียชีวิตอันดับต้นๆ ทั้งของประเทศไทยและทั่วโลก โดยมีสถิติที่ว่า ทุกๆ 15 นาที จะมีคนไทยเสียชีวิตจากโรคหัวใจ 1-2 คน และที่น่ากังวลคือโรคนี้พบในกลุ่มคนอายุน้อยลงเรื่อยๆ
นพ.วสันต์อธิบายว่าสาเหตุสำคัญเกิดจากปัจจัยเสี่ยงสะสมในชีวิตประจำวัน ไม่ว่าจะเป็นความดันโลหิตสูง เบาหวาน การพักผ่อนไม่เพียงพอ ขาดการออกกำลังกาย และการสูบบุหรี่ ซึ่งแม้แต่ บุหรี่ไฟฟ้า ก็กลายเป็นภัยใหม่ที่เพิ่มมากขึ้น และอีกประเด็นที่อันตรายที่สุดคือ การขาดความตระหนักรู้ ที่ยังไม่มากพอ
“หลายคนไม่รู้ว่าอาการแน่นหน้าอกไม่ใช่โรคกระเพาะ แต่คือสัญญาณเตือนของภาวะหัวใจขาดเลือดเฉียบพลัน” นพ.วสันต์ยกตัวอย่างผู้ป่วยที่มีอาการแน่นหน้าอก แต่เข้าใจผิดคิดว่าเป็นโรคกระเพาะ จึงปฏิเสธการรักษาฉุกเฉิน และสุดท้ายเสียชีวิตด้วยโรคหัวใจจริง ๆ
เพื่อรับมือกับความท้าทายนี้การแพทย์สมัยใหม่จึงไม่ได้มีแค่การทำบอลลูน แต่ยังมีเทคโนโลยีขั้นสูงอย่าง Ultrasound และ OCT ที่ช่วยให้แพทย์มองเห็นรายละเอียดของหลอดเลือดจากภายในเพื่อวางแผนการรักษาที่แม่นยำที่สุด รวมถึงเทคโนโลยีช่วยชีวิตในภาวะวิกฤตอย่าง ECMO และ Impella เพื่อเพิ่มโอกาสรอดชีวิตให้ผู้ป่วยหนัก
ดังนั้นการเปลี่ยนจาก “รอรักษาเมื่อป่วย” เป็น “ตรวจเช็กความเสี่ยงตั้งแต่เนิ่นๆ” จะช่วยลดอัตราการเสียชีวิตได้มากกว่า เพราะโรคหัวใจไม่ได้เตือนเราล่วงหน้านาน มันแค่ส่งสัญญาณสั้นๆ ให้เราฟังให้ทัน
พญ.สุธิดา เย็นจันทร์ แพทย์ประสาทวิทยา ศูนย์สมองและระบบประสาท เล่าว่าประเทศไทยกำลังเข้าสู่ “สังคมผู้สูงอายุ” อย่างเต็มรูปแบบ ทำให้โรคที่เกี่ยวข้องกับสมองเช่น โรคหลอดเลือดสมอง อัลไซเมอร์ เพิ่มขึ้นอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ แต่ที่น่ากังวลไม่แพ้กันคือ ปัญหาสุขภาพสมองจากพฤติกรรมในคนรุ่นใหม่
“ทุกวันนี้คนเครียด ทำงานหนัก นอนน้อย และอยู่กับข้อมูลตลอดเวลา พฤติกรรมเหล่านี้สะสมจนส่งผลต่อสมาธิ ความจำ และคุณภาพการนอน” พญ.สุธิดากล่าว
และอธิบายว่าการเสพคลิปสั้นๆ อย่าง Reels หรือ TikTok ทำให้สมองคุ้นชินกับการรับข้อมูลเร็วและสั้น เมื่อเจอข้อมูลยาวๆ จะขาดความอดทนในการจดจ่อ ซึ่งเป็นสาเหตุหนึ่งของภาวะสมาธิสั้นในผู้ใหญ่ยุคนี้ นอกจากนั้น การนอนหลับที่ไม่เพียงพอยังทำให้สมองไม่สามารถรีบูตตัวเอง เพื่อจัดเก็บความทรงจำได้เต็มที่ ส่งผลให้ตื่นเช้ามาหลายคนก็ยังเพลีย
แนวทางการดูแลแบบ Health Care จึงเป็นการดูแลแบบองค์รวมที่มองภาพกว้างกว่าแค่ตัวผู้ป่วย เพราะในขณะที่ทีมแพทย์ทำหน้าที่ฟื้นฟูร่างกายผู้ป่วยให้กลับไปใช้ชีวิตปกติ คนใกล้ชิดที่คอยดูแลก็ต้องได้รับการดูแลสภาพจิตใจด้วย เนื่องจากความเหนื่อยล้าหรือความเครียดของผู้ดูแล ย่อมส่งผลต่อการฟื้นตัวของผู้ป่วยโดยตรง
พญ.ลลิลทิพย์ เอียดช่วย โสต ศอ นาสิกวิทยา ศูนย์ผ่าตัดส่องกล้อง หู คอ จมูก บอกว่าโรคทางหู คอ จมูก เป็นหนึ่งในปัญหาสุขภาพที่หลายคนมองข้าม ทั้งที่เป็นอวัยวะด่านหน้าที่เราใช้งานทุกวัน โดยมีแนวโน้มเพิ่มขึ้นจาก 3 ปัจจัยหลักคือ:
พญ.ลลิลทิพย์ ยกตัวอย่างว่าผู้ป่วยไซนัสอักเสบเรื้อรัง หากมารักษาตั้งแต่ระยะแรกเริ่ม สามารถใช้เทคโนโลยี Balloon Sinuplasty หรือการเปิดไซนัสด้วยบอลลูนโดยไม่ต้องผ่าตัด ทำให้ฟื้นตัวเร็ว แต่หากปล่อยไว้จนรุนแรง อาจต้องผ่าตัดใหญ่และพักฟื้นนานกว่ามาก
“อย่ารอให้ป่วยหนักแล้วค่อยรักษา เพราะการเข้าถึงเทคโนโลยีที่เหมาะสมตั้งแต่เนิ่นๆ จะช่วยรักษาคุณภาพชีวิตที่ดีของเราไว้ได้” พญ.ลลิลทิพย์กล่าว
พญ.คิ ฤกษ์ชูชิต อายุรแพทย์มะเร็งวิทยา ศูนย์สุขภาพเชิงบูรณาการ มองว่ามะเร็งยังคงเป็นโรคที่มีอัตราการเสียชีวิตสูง โดยเฉพาะเมื่อถูกวินิจฉัยในระยะลุกลาม ซึ่งเป็นจุดอ่อนที่ร้ายแรงที่สุดของระบบ Sick Care
และอธิบายว่า มะเร็งระยะเริ่มต้นมักไม่มีอาการ ทำให้หลายคนไม่รู้ตัวจนกระทั่งอาการหนัก เมื่อถึงจุดนั้นร่างกายเริ่มไม่แข็งแรงพอที่จะรับการรักษา ทำให้ทางเลือกมีจำกัด
พญ.คิ ฤกษ์ชูชิต มีเคสตัวอย่างที่ชัดเจนมาก คือผู้หญิงวัย 60 ปี ที่ไม่เคยตรวจแมมโมแกรมเลย พอมาตรวจสุขภาพครั้งแรกก็พบว่าเป็นมะเร็งเต้านมระยะที่ 1 โชคดีที่เจอเร็ว เลยรักษาให้หายได้ง่ายๆ ด้วยยา โดยไม่ต้องทำคีโม
ซึ่งเคสนี้ชี้ให้เห็นชัดมากว่าการตรวจสุขภาพแต่เนิ่นๆ คือวิธีที่ดีที่สุดของการดูแลแบบป้องกัน มันไม่ใช่แค่การหาโรคให้เจอ แต่เป็นการวางแผนสุขภาพสำหรับเราคนเดียวโดยเฉพาะ โดยหมอจะดูทั้งยีน, ประวัติครอบครัวและการใช้ชีวิตของเรา เพื่อช่วยป้องกันไม่ให้เราป่วยตั้งแต่แรก
อนาคตของสุขภาพไม่ได้ขึ้นอยู่กับเทคโนโลยีเพียงอย่างเดียว แต่เริ่มจากทัศนคติของเรา ที่เปลี่ยนจากการรอให้ป่วยแล้วค่อยรักษา มาเป็นการดูแลตัวเองเชิงป้องกัน การเปลี่ยนจาก Sick Care สู่ Health Care และต่อยอดเป็น Wellness Center ที่ดูแลสุขภาพแบบองค์รวม เป็นแนวทางที่จะช่วยให้คนไทยดูแลสุขภาพได้ดีขึ้น
ลงทะเบียนเข้าสู่ระบบ เพื่ออ่านบทความฟรีไม่จำกัด