เจาะลึกเบื้องหลังผลงานวิจัยสร้างชาติของ 2 นักวิจัยหญิง สวทช. เจ้าของรางวัล “เพื่อสตรีในงานวิทยาศาสตร์” จาก ลอรีอัล กรุ๊ป ประเทศไทย

ท่ามกลางความท้าทายที่ประเทศไทยกำลังเผชิญ ทั้งในมิติของความมั่นคงทางอาหารที่สั่นคลอน และระบบสาธารณสุขที่ต้องรองรับสังคมสูงวัยอย่างเต็มรูปแบบ วิทยาศาสตร์และเทคโนโลยียังคงเป็นคำตอบสำคัญในการขับเคลื่อนประเทศไปข้างหน้า ล่าสุด สองนักวิจัยหญิงจากสำนักงานพัฒนาวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่งชาติ (สวทช.) ได้พิสูจน์ให้เห็นถึงศักยภาพของงานวิจัยไทยอีกครั้ง ด้วยการคว้ารางวัลอันทรงเกียรติ "เพื่อสตรีในงานวิทยาศาสตร์" ประจำปี 2568 ซึ่งจัดโดยลอรีอัล กรุ๊ป ประเทศไทย เพื่อตอกย้ำอุดมการณ์ของ สวทช. ที่มุ่งสร้างชาติด้วยวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี

การสัมภาษณ์ในครั้งนี้ได้พาเราไปสำรวจโลกแห่งการวิจัยอย่างลึกซึ้ง ตั้งแต่ความรู้สึกแรกที่ได้รับรางวัล ไปจนถึงความท้าทายบนเส้นทางนักวิจัยหญิง และเป้าหมายสูงสุดที่ฝันอยากจะเห็นจากหยาดเหงื่อและสติปัญญาที่ทุ่มเทลงไปในงานวิจัย

น้ำตาแห่งความภาคภูมิใจและเชื้อเพลิงที่เติมพลังใจให้ก้าวต่อ

สำหรับ ดร.มัตถกา คงขาว วินาทีนั้นคือ 'ความดีใจจนน้ำตาไหล' เพราะงานวิจัยด้านการพัฒนาระบบนำส่งยาเป็นเส้นทางที่ยาวนาน การทำงานวิจัยชิ้นหนึ่งให้สำเร็จและนำไปใช้ได้จริงต้องใช้เวลานับ 10 ปี การได้รับรางวัลนี้จึงไม่ใช่แค่ความสำเร็จส่วนตัว แต่เป็นเครื่องยืนยันว่าความพยายามและความตั้งใจตลอดหลายปีที่ผ่านมานั้นได้รับการมองเห็นและยอมรับ 

มันรู้สึกว่างานที่เราทำมา มันไม่ได้พลาดเป้า มีคนเห็นคุณค่าของมันจริงๆ

ดร.มัตถกา กล่าวเสริมว่า ความภาคภูมิใจยิ่งเพิ่มขึ้นเมื่อตระหนักว่ารางวัลนี้มอบให้แก่นักวิจัยหญิงที่ใช้วิทยาศาสตร์เพื่อสร้างประโยชน์แก่สังคม ซึ่งสอดคล้องกับภารกิจหลักของ สวทช. และเจตนารมณ์ของตัวเอง

ในขณะที่ ดร. สพ.ญ.ฌัลลิกา แก้วบริสุทธิ์ ความรู้สึกแรกคือ "ความตกใจ" เนื่องจากว่างานวิจัยพัฒนาวัคซีนป้องกันโรคอหิวาต์แอฟริกาในสุกร (ASF) ยังอยู่ในช่วงเริ่มต้นเมื่อเทียบกับความยิ่งใหญ่ของรางวัล อย่างไรก็ตาม ความตั้งใจที่แท้จริงของการส่งผลงานเข้าประกวดคือการใช้เวทีนี้เพื่อสื่อสารให้สังคมได้รับรู้ถึงความยากลำบากและความท้าทายของการเป็นนักวิจัยหญิงที่ต้องทำงานกับโรคระบาดในสัตว์ใหญ่ ซึ่งต้องอาศัยความพยายามทั้งทางร่างกายและจิตใจอย่างสูง 

รางวัลนี้เปรียบเสมือนเชื้อเพลิงที่มาเติมกำลังใจให้เราเดินหน้าต่อไปค่ะ เพราะเส้นทางข้างหน้ายังมีอีกหลายขั้นตอนที่ต้องข้ามผ่าน 

รางวัลที่ได้รับว่าเป็นแรงผลักดันสำคัญสำหรับภารกิจที่ยังไม่สิ้นสุดสำหรับดร. สพ.ญ.ฌัลลิกา

โจทย์วิจัยจากปัญหาระดับชาติ สู่การสร้างสรรค์นวัตกรรมพลิกอนาคต

หัวใจสำคัญของงานวิจัยที่ยิ่งใหญ่คือการมองเห็นปัญหาที่รอการแก้ไข ซึ่งทั้งสองโครงการล้วนมีจุดเริ่มต้นจากการต้องการแก้ไขวิกฤตการณ์สำคัญของประเทศ

ดร.มัตถกา คงขาว กับโจทย์ 'สังคมสูงวัยและโรค NCDs' 

ประเทศไทยกำลังเผชิญกับการเป็นสังคมสูงวัยอย่างสมบูรณ์ ซึ่งมาพร้อมกับภาระโรคไม่ติดต่อเรื้อรัง (NCDs) เช่น เบาหวาน ความดันโลหิตสูง โรคหัวใจและหลอดเลือด ซึ่งเป็นสาเหตุการเสียชีวิตกว่า 70% ในผู้สูงอายุ ดร.มัตถกา ชี้ให้เห็นถึงปัญหาเชิงลึกว่า "ผู้สูงวัยมีการดูดซึมยาได้ไม่ดี ทำให้ต้องรับประทานยาครั้งละ 10 กว่าเม็ด วันละหลายครั้ง เพื่อให้ได้ประสิทธิภาพในการรักษา" ซึ่งส่งผลกระทบต่อคุณภาพชีวิตและก่อให้เกิดผลข้างเคียงมากมาย

จากปัญหานี้ ทีมวิจัยนาโนเทคจึงได้พัฒนา "เทคโนโลยีนาโนเอนแคปซูเลชัน (Nanoencapsulation)" ซึ่งเปรียบเสมือนการสร้างรถยนต์ขนส่งยาขนาดนาโนที่มองไม่เห็นด้วยตาเปล่า เพื่อกักเก็บยาหรือสารสำคัญจากธรรมชาติ เช่น สารสกัดจากกระชายดำหรือที่เรียกว่าโสมไทย เทคโนโลยีนี้ช่วยแก้ปัญหาหลักของสารสกัดสมุนไพรคือการไม่ละลายน้ำและไม่มีความคงตัว โดยทำให้อนุภาคมีขนาดเล็กจิ๋ว สามารถซึมผ่านเข้าสู่ร่างกายได้ดีขึ้น เพิ่มเสถียรภาพ และสามารถออกแบบให้ 'มุ่งเป้า' ไปยังอวัยวะที่ต้องการรักษาได้อย่างจำเพาะเจาะจง ซึ่งจะช่วยลดปริมาณการใช้ยาและลดผลข้างเคียงลงได้

นวัตกรรมนี้ไม่เพียงแต่นำมาใช้กับยา แต่ยังเป็นการเพิ่มมูลค่าให้สมุนไพรไทยอย่างมหาศาล จากเดิมที่ขายเป็นวัตถุดิบกิโลกรัมละไม่กี่สิบบาท กลายเป็นสารสกัดมาตรฐานสูงที่สามารถนำไปใช้ในอุตสาหกรรมเวชสำอางและผลิตภัณฑ์เสริมอาหาร ซึ่งปัจจุบันได้มีการถ่ายทอดเทคโนโลยีให้เอกชนและส่งออกไปต่างประเทศแล้ว โดยมีเป้าหมายสูงสุดคือการพัฒนายาจากสมุนไพรไทยเพื่อใช้รักษาโรคอ้วนและโรคในกลุ่ม NCDs รวมถึงการสร้างองค์ความรู้เพื่อ เวชศาสตร์ป้องกัน (Preventive Medicine) ให้คนไทยมีสุขภาพดีอย่างยั่งยืน

ดร. สพ.ญ.ฌัลลิกา แก้วบริสุทธิ์ กับวิกฤตโรค ASF ในสุกร

โรคอหิวาต์แอฟริกาในสุกร (ASF) คือฝันร้ายของอุตสาหกรรมปศุสัตว์ไทย เป็นโรคไวรัสที่รุนแรงและยังไม่มีวัคซีนหรือยารักษาที่มีประสิทธิภาพอย่างแท้จริง การระบาดที่ผ่านมาสร้างความเสียหายทางเศรษฐกิจกว่าแสนล้านบาท ทำให้เกษตรกรรายย่อยกว่า 40% ต้องล้มเลิกกิจการ และส่งผลกระทบเป็นลูกโซ่ต่อราคาเนื้อหมูในตลาด ความมั่นคงทางอาหาร และอาจเป็นแหล่งเพาะโรคอื่นๆ ที่อาจติดต่อสู่คนได้

"ความท้าทายคือตัวไวรัส ASF มีความซับซ้อนสูงมาก ต่างจากโควิด-19 ที่เราพัฒนาวัคซีนได้ในเวลาไม่นาน สำหรับ ASF ทั่วโลกใช้เวลานับร้อยปีก็ยังไม่มีวัคซีนที่สมบูรณ์แบบ" 

ทีมวิจัยไบโอเทคจึงเลือกแนวทางที่ท้าทายแต่มีศักยภาพสูงสุด คือการพัฒนา "วัคซีนชนิดเชื้อเป็นอ่อนฤทธิ์ (Live Attenuated Vaccine)" โดยนำไวรัสสายพันธุ์ที่ระบาดในประเทศไทยโดยตรง มาทำให้อ่อนกำลังลงด้วยกระบวนการเพาะเลี้ยงในเซลล์ที่ไม่ใช่เซลล์เป้าหมาย (เซลล์ไตลิง) ซ้ำแล้วซ้ำเล่า จนไวรัส "ลืม" วิธีการก่อโรคที่รุนแรง แต่ยังคงสามารถกระตุ้นภูมิคุ้มกันในร่างกายสุกรได้อย่างมีประสิทธิภาพ

ผลการทดสอบในห้องปฏิบัติการพบว่าวัคซีนต้นแบบนี้สามารถป้องกันโรคได้สูงถึง 70-100% ซึ่งเป็นความสำเร็จก้าวสำคัญที่จะนำไปสู่การทดสอบภาคสนามในลำดับต่อไป เป้าหมายคือการมีวัคซีนสัญชาติไทยที่ปลอดภัยและมีประสิทธิภาพ เพื่อเป็นเครื่องมือสำคัญในการควบคุมการระบาด ฟื้นฟูอาชีพให้เกษตรกร และสร้างความมั่นคงให้กับอุตสาหกรรมปศุสัตว์ของประเทศ

การก้าวข้ามขีดจำกัดและสร้างการยอมรับบนเส้นทางนักวิจัยหญิง

การทำงานในสายวิทยาศาสตร์ โดยเฉพาะในบทบาทที่ต้องเชื่อมต่อกับภาคส่วนอื่น มีความท้าทายที่นอกเหนือไปจากงานในห้องปฏิบัติการ

ดร. สพ.ญ.ฌัลลิกา เล่าถึงการเปลี่ยนผ่านบทบาทจากสัตวแพทย์ผู้รักษา มาสู่นักวิจัยผู้สร้างสรรค์นวัตกรรมป้องกันโรค ซึ่งเป็นความตั้งใจที่อยากจะทำงาน 'ต้นน้ำ' เพื่อแก้ปัญหาที่รากเหง้า แต่การทำงานวิจัย ASF ทำให้ต้องกลับไปสวมบทบาทสัตวแพทย์อีกครั้งในสภาพแวดล้อมที่ท้าทายกว่าเดิม คือการทำงานกับสัตว์ทดลองในห้องปฏิบัติการที่มีความปลอดภัยทางชีวภาพระดับสูง ซึ่งต้องเผชิญกับภาพความเจ็บป่วยของสัตว์เพื่อเป้าหมายที่ใหญ่กว่า 

ทุกครั้งที่เข้าไปทำงาน ต้องทำใจและระลึกเสมอว่าสิ่งที่เราทำจะนำไปสู่การช่วยเหลือสัตว์อีกนับล้านชีวิต 

นอกจากนี้ ยังต้องพิสูจน์ตัวเองในฐานะนักวิจัยหญิงในวงการปศุสัตว์ที่ส่วนใหญ่เป็นผู้ชาย ซึ่งต้องใช้เวลาและความสำเร็จของงานเป็นเครื่องพิสูจน์

ดร.มัตถกา ในฐานะนักวิจัยนาโนเทคโนโลยี เปรียบตัวเองเป็น 'คนกลาง' ที่ต้องเชื่อมโยงเทคโนโลยีจากห้องแล็บไปสู่การใช้งานจริงในวงการแพทย์ ความท้าทายที่ใหญ่ที่สุดคือการสร้างความเชื่อมั่นและการยอมรับจากทีมแพทย์ ดร. มัตถกาเล่าประสบการณ์ในช่วงเริ่มต้นที่มักถูกเข้าใจผิดว่าเป็นเซลส์ขายยา แต่เมื่อได้มีโอกาสนำเสนอผลงานและพิสูจน์ให้เห็นถึงศักยภาพของเทคโนโลยี ก็สามารถสร้างความร่วมมือที่แข็งแกร่งกับโรงพยาบาลชั้นนำได้สำเร็จ ซึ่งต้องใช้ความอดทนและเวลาหลายปีกว่าจะเกิดผลเป็นรูปธรรม

บทบาทของ สวทช. และเป้าหมายสูงสุดเพื่ออนาคตของประเทศไทย

ทั้งสองท่านได้กล่าวถึงบทบาทของ สวทช. ในฐานะองค์กรที่เป็นรากฐานสำคัญของความสำเร็จ

"สวทช. คือโครงสร้างพื้นฐานที่ทำให้งานวิจัยระดับชาติเกิดขึ้นได้" ดร. สพ.ญ.ฌัลลิกา ยืนยันว่า หากปราศจากการสนับสนุนด้านเงินทุน บุคลากรผู้เชี่ยวชาญหลากหลายสาขา และเครือข่ายความร่วมมือที่ สวทช. มีให้ โครงการวิจัยขนาดใหญ่อย่างการพัฒนาวัคซีน ASF คงไม่สามารถเกิดขึ้นได้ เช่นเดียวกับ ดร.มัตถกา ที่มองว่า สวทช. มีภารกิจที่ชัดเจนในการนำวิทยาศาสตร์มาตอบโจทย์ประเทศ ซึ่งเป็นแรงผลักดันให้นักวิจัยมุ่งมั่นสร้างสรรค์ผลงานที่มีประโยชน์ต่อสาธารณะ

เมื่อถามถึงเป้าหมายสูงสุดที่อยากเห็นจากงานวิจัย คำตอบที่ได้สะท้อนถึงวิสัยทัศน์ที่กว้างไกลกว่าความสำเร็จในห้องทดลอง

  • ดร.มัตถกา คงขาว ฝันถึงสังคมไทยที่มี "สุขภาพดีอย่างยั่งยืน" (Healthy Aging) ที่นวัตกรรมนี้จะช่วยเปลี่ยนกระบวนทัศน์จากการ รักษาที่ปลายเหตุไปสู่การป้องกันและชะลอความเสื่อม ตั้งแต่ต้นทาง ซึ่งจะช่วยยกระดับคุณภาพชีวิตของคนไทยและลดภาระด้านสาธารณสุขของประเทศในระยะยาว
  • ดร. สพ.ญ.ฌัลลิกา แก้วบริสุทธิ์ ตั้งเป้าหมายในการสร้าง "ความมั่นคงและยั่งยืนให้กับอุตสาหกรรมปศุสัตว์ไทย" โดยวัคซีนที่พัฒนาขึ้นจะเป็นเครื่องมือสำคัญให้เกษตรกรรายย่อยสามารถกลับมายืนหยัดได้อีกครั้ง และในภาพใหญ่คือการสร้างระบบนิเวศการพัฒนาและผลิตวัคซีนสัตว์ที่ครบวงจร ทำให้ประเทศไทยสามารถพึ่งพาตนเองและเป็นผู้นำด้านเทคโนโลยีชีวภาพในภูมิภาคได้

เรื่องราวของนักวิจัยหญิงทั้งสองท่านจึงเป็นมากกว่าเรื่องราวความสำเร็จส่วนบุคคล แต่เป็นภาพสะท้อนของพลังแห่งวิทยาศาสตร์ที่เมื่อถูกนำมาใช้อย่างถูกที่และถูกเวลา จะสามารถสร้างการเปลี่ยนแปลงที่ยิ่งใหญ่และยั่งยืนให้แก่ประเทศชาติได้อย่างแท้จริง

ลงทะเบียนเข้าสู่ระบบ เพื่ออ่านบทความฟรีไม่จำกัด

No comment

RELATED ARTICLE

Responsive image

นักวิจัยพบยาใหม่ ‘NU-9’ อาจหยุดโรคอัลไซเมอร์ได้ตั้งแต่เนิ่น ๆ ยาจะเข้าไปซ่อมระบบภายในให้สมองล้างพิษได้เอง

นักวิทยาศาสตร์จากมหาวิทยาลัย Northwestern พบโปรตีนชนิดหนึ่งที่มีความเป็นพิษสูง ซึ่งอาจเป็นจุดเริ่มต้นของการทำลายสมอง พร้อมกับเปิดตัวยาตัวอย่างชื่อ NU-9 ที่มีศักยภาพในการยับยั้งความ...

Responsive image

Disrupt Health Impact Fund ลงทุนใน PocDoc มุ่งพัฒนาการดูแลสุขภาพเชิงป้องกันในไทยและเอเชียตะวันออกเฉียงใต้

กองทุน Disrupt Health Impact Fund ประกาศความคืบหน้าการลงทุนใน “PocDoc” สตาร์ทอัพด้านการวินิจฉัยโรคแบบดิจิทัลในสหราชอาณาจักร พร้อมแผนนำการตรวจสุขภาพสำหรับโรคไม่ติดต่อเรื้อรัง (NCDs)...

Responsive image

Chai Discovery ยูนิคอร์นด้าน AI Drug Discovery รายล่าสุดที่ OpenAI และครอบครัว Jobs เดิมพันว่าจะมาพลิกโลก

Chai Discovery สตาร์ทอัพ AI Drug Discovery ที่ OpenAI และครอบครัว Jobs ลงทุน ใช้ AI ออกแบบยาใหม่ ลดเวลาและต้นทุนการพัฒนายาอย่างพลิกเกม...