ธปท.หนุนจัดตั้ง Virtual Bank หรือธนาคารไร้สาขา เพื่อผลักดันทั้งผู้เล่นรายเก่าและผู้เล่นรายใหม่ ให้สามารถพัฒนานวัตกรรมและบริการทางการเงินรูปแบบใหม่ที่ตอบโจทย์ผู้ใช้บริการได้อย่างครอบคลุม โดยยึดหลักการแข่งขันอย่างเท่าเทียม บนพื้นฐานของความยั่งยืน
จากการที่ธปท.ได้มีการเปิดรับฟังความคิดเห็น “ภูมิทัศน์ใหม่ภาคการเงินไทยเพื่อเศรษฐกิจดิจิทัลและการเติบโตอย่างยั่งยืน” (consultation paper) เพื่อสื่อสารหลักการทิศทางที่ธปท.ต้องการเห็นบนพื้นฐานของความสมดุลระหว่างการสนับสนุนนวัตกรรมกับการบริหารความเสี่ยงได้อย่างเหมาะสม รวมทั้งให้มีความยืดหยุ่นเพื่อให้สอดรับกับโอกาสที่มากับกระแสดิจิทัล
จึงได้วางทิศทางที่จะเปิดโอกาสให้ภาคการเงินสามารถใช้เทคโนโลยีข้อมูล และช่องทางดิจิทัลเพื่อนำนวัตกรรมและบริการทางการเงินที่ตอบโจทย์ความต้องการผู้ใช้บริการและเพื่อช่วยลดช่องว่างการเข้าถึงบริการทางการเงิน
โดยจะเป็นการเปิดกว้างให้สามารถจัดตั้งธนาคารพาณิชย์ที่ดำเนินธุรกิจบนช่องทางดิจิทัล (Virtual bank) เพื่อให้ผู้ให้บริการแข่งขันกันพัฒนานวัตกรรมและบริการทางการเงินรูปแบบใหม่ที่ตอบโจทย์ผู้ใช้บริการ ดังนี้
ในที่นี้จะเป็นการเปิดกว้างในการแข่งขันให้ผู้เล่นทั้งรายเดิมและรายใหม่เข้ามาให้บริการและพัฒนานวัตกรรมทางการเงิน โดยมีแนวนโยบายที่สําคัญ เช่น
- เปิดให้จัดตั้งธนาคารพาณิชย์ที่ดําเนินธุรกิจบนช่องทางดิจิทัล (virtual bank) เพื่อให้ผู้ให้บริการแข่งขันกันพัฒนานวัตกรรมและบริการทางการเงินรูปแบบใหม่ที่ตอบโจทย์ผู้ใช้บริการ
- ยกเลิกเพดานการลงทุนในธุรกิจเทคโนโลยีทางการเงิน (FinTech) ที่ไม่รวมสินทรัพย์ ดิจิทัลสําหรับบริษัทในกลุ่มธุรกิจทางการเงินของธนาคารพาณิชย์ เพื่อให้คล่องตัวใน การลงทุนในกิจการที่เป็นประโยชน์ต่อการพัฒนานวัตกรรมและ ธปท. เห็นว่าสามารถบริหาร จัดการความเสี่ยงได้
- ขยายให้ non-bank Fls ทําธุรกิจได้หลากหลายขึ้นและเข้าถึงโครงสร้างพื้นฐาน ด้วยต้นทุนที่เหมาะสม เพื่อให้แข่งขันได้เต็มที่ ภายใต้การกํากับดูแลตามระดับความเสี่ยงและ เท่าเทียมกับผู้เล่นอื่น
ตรงส่วนนี้จะเป็นการเปิดกว้างให้ผู้ให้บริการกลุ่มต่าง ๆ เข้าถึงโครงสร้างพื้นฐานทางการเงินด้วยต้นทุนที่เหมาะสม และเป็นธรรม และผลักดันให้มีโครงสร้างพื้นฐานทางการเงินที่สําคัญของประเทศและนํามาใช้ ประโยชน์อย่างมีประสิทธิภาพ เพื่อส่งเสริมการแข่งขัน การพัฒนานวัตกรรม และการให้บริการทาง การเงินที่ตอบโจทย์ผู้ให้บริการได้ดีขึ้น รวมทั้งสนับสนุนแนวนโยบายเพื่อเร่งให้ไทยเข้าสู่สังคมที่ใช้เงินสด และเช็คลดลง [less-cash society) และเปลี่ยนผ่านเข้าสู่เศรษฐกิจดิจิทัล โดยมีแนวนโยบายที่สําคัญ เช่น
- การยกระดับธรรมาภิบาลของโครงสร้างพื้นฐานระบบการชําระเงินให้เปิดกว้างต่อการใช้ ประโยชน์และพัฒนานวัตกรรม โดยให้ผู้ที่เกี่ยวข้องทั้งภาครัฐและเอกชนมีส่วนร่วมใน การกําหนดนโยบาย
- การพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานสําคัญเพื่อเพิ่มการเข้าถึงบริการทางการเงินด้วยต้นทุน ที่สะท้อนความเสี่ยงตามจริงมากขึ้น เช่น กลไกค้ำประกันเครดิตสําหรับความต้องการเงินทุนที่ หลากหลาย โครงสร้างพื้นฐานรองรับธุรกรรมการค้าและการชําระเงินสําหรับภาคธุรกิจ [Smart Financial and Payment Infrastructure for Business)
1.เพิ่ม virtual bank เป็นผู้เล่นใหม่
เปิดให้จัดตั้งธนาคารพาณิชย์ที่ดําเนินธุรกิจบนช่องทางดิจิทัล (virtual bank) เพื่อให้ผู้ให้บริการแข่งขันกันพัฒนานวัตกรรมและบริการทางการเงินรูปแบบใหม่ที่ตอบโจทย์ผู้ใช้บริการ และช่วยให้ SMEs และรายย่อยเข้าถึงบริการทางการเงินในระบบอย่างเหมาะสม โดยไม่ก่อให้เกิด การผูกขาดเนื่องจากการดำเนินการในรูปแบบ Virtualbank จะคล่องตัวกว่า และมีค่าใช้จ่ายในการดำเนินการต่ำกว่าธนาคารพาณิชย์แบบดั้งเดิม (traditional bank)
ซึ่งแนวทางนี้ถือเป็นการผสมผสานแนวนโยบาย virtual bank ของเกาหลีใต้ ฮ่องกง และสิงคโปร์ ท่ีมุ่งส่งเสริมการแข่งขันและการพัฒนานวัตกรรมทางการเงิน กับของมาเลเซีย และฟิลิปปินส์ ที่มุ่งส่งเสริมการเข้าถึงบริการทางการเงินของ SMEs และรายย่อย
มีขอบเขตการประกอบธุรกิจเหมือน traditional bank เต็มรูปแบบ เพื่อให้สามารถนำเสนอบริการทางการเงินแก่ผู้ใช้บริการกลุ่มต่างๆ และแข่งขันกับผู้ให้บริการรายอื่นได้อย่างเต็มที่ และอยู่ภายใต้กรอบการกำกับดูแลความเสี่ยงเช่นเดียวกันกับ traditional bank อาทิ ด้านการบริหารความเสี่ยงและความมั่นคง การให้บริการแก่ลูกค้าอย่างเป็นธรรม ซึ่งสอดคล้องกับแนวทางการอนุญาตและกำกับดูแลส่วนใหญ่ในต่างประเทศ
ต้องจดทะเบียนจัดตั้งและมีสำนักงานใหญ่หรือบริษัทแม่ในไทย เพื่อให้ธปท.สามารถกำกับดูแลผู้ประกอบการธุรกิจผ่านหน่วยงานในไทยได้ ซึ่งสอดคล้องกับแนวทางอนุญาตให้จัดตั้ง vitual bank ในมาเลเซีย ฟิลิปปินส์ และสิงคโปร์
โดยหลังจากธปท.ปิดรับฟังความคิดเห็น ธปท.จะออกร่างหลักเกณฑ์การขออนุญาตจัดตั้ง virtual bank ภายในครึ่งปีแรก 2565
2.เพิ่มความยืดหยุ่นให้ผู้เล่นเดิม
ตรงส่วนนี้จะเป็นการให้สถาบันการเงินมีความยืดหยุ่นมากขึ้นในการประกอบธุรกิจเพื่อให้สามารถแข่งขัน พัฒนา นวัตกรรมและตอบสนองความต้องการของผู้ใช้บริการทางการเงินได้ดีขึ้น เช่น ยกเลิกเพดานการลงทุนในธุรกิจ Fintech ที่ไม่รวมสินทรัพย์ดิจิทัลของบริษัทในกลุ่มธุรกิจการเงินของธนาคารพาณิชย์ ที่กำหนดไว้ที่ไม่เกิน 3% ของเงินกองทุนของธนาคารพาณิชย์ เพื่อให้ผู้ประกอบการสามารถทำธุรกิจ และแข่งขัน และพัฒนาบริการได้มากขึ้น
ทั้งนี้ยังส่งเสริมบทบาทให้ Non-Bank และ SFIs เพื่อช่วยปิดช่องว่าง (gap)ในระบบการเงินได้อย่างมีประสิทธิภาพและพัฒนาบริการด้านนั้นๆให้ดีขึ้น ซึ่งหมายความว่าให้สามารถประกอบธุรกิจอื่นๆ ได้มากขึ้น เช่น ให้ผู้ประกอบธุรกิจเงินอิเล็กทรอนิกส์ (e-Money) สามารถประกอบกิจการดูแลผลประโยชน์ของคู่สัญญา (escrow agent) และให้บริการพิสูจน์และยืนยันตัวตน (Identity Provider: IdP) ใน กระบวนการรู้จักลูกค้าทางอิเล็กทรอนิกส์ (electronic-Know Your Customer: e-KYC)
รวมทั้งให้ผู้ประกอบธุรกิจโอนเงินระหว่างประเทศ (Money Transfer: MT) และผู้ประกอบธุรกิจซื้อขายและแลกเปลี่ยนเงินตราต่างประเทศ (Money Changer: MC) เพื่อรองรับการให้บริการลูกค้ารายย่อยและ SMEs ได้ดีขึ้น
โดยจะเป็นการร่วมกับหน่วยงานภาครัฐที่เกี่ยวข้องสนับสนุนให้ SEls ปิด gap ที่กลไกตลาดหรือโครงสร้าง พื้นฐานอื่นไม่สามารถทําหน้าที่ได้สมบูรณ์ โดยไม่เข้าไปแข่งขันโดยตรงกับผู้ให้บริการทางการเงินและ SFIs อื่น และส่งเสริมให้ SFIs พัฒนาบุคลากรและใช้โครงสร้างพื้นฐานร่วมกันระหว่าง SFls เพื่อให้ SFIs ทําหน้าที่ปิด gap ได้อย่างมีประสิทธิภาพและสร้างภาระทางการคลังน้อยที่สุด
ทั้งนี้ยังเปิดโอกาสให้ผู้ให้บริการทางการเงินทั้งรายใหม่และรายเดิมที่สนใจประกอบธุรกิจธนาคารพาณิชย์ในรูปแบบอื่นนอกจาก virtual bank หรือประกอบธุรกิจทางการเงินอื่นภายใต้การกํากับของ ธปท. หารือ มายัง ธปท. ได้เป็นรายกรณี
ลงทะเบียนเข้าสู่ระบบ เพื่ออ่านบทความฟรีไม่จำกัด