ถ้าใครเคยถูกถ่ายรูปด้วยโทรศัพท์มือถือที่ผลิตในประเทศจีนหรือเคยเดินตามถนนในประเทศจีน แปลว่าคุณมีโอกาสถูกตรวจจับใบหน้าด้วยซอฟต์แวร์จากบริษัท SenseTime อยู่ในมือถือนับร้อยล้านเครื่อง ซึ่งตอนนี้บริษัทสตาร์ทอัพดังกล่าวจากจีนที่ทำระบบเกี่ยวกับการวิเคราะห์ใบหน้าและรูปภาพในสเกลขนาดใหญ่ รับเงินลงทุน Series C มูลค่า 600 ล้านเหรียญจาก Alibaba เป็นที่เรียบร้อยแล้ว พร้อมพัฒนา “Viper” แพลตฟอร์มที่ดึงเอาข้อมูลจากกล้องวงจรปิดนับหมื่นตัวเพื่อใช้ในการสอดส่องประชาชน (Mass Surveillance)
SenseTime บริษัทสตาร์ทอัพจากจีนที่ทำระบบเกี่ยวกับการวิเคราะห์ใบหน้าและรูปภาพในสเกลขนาดใหญ่ ทั้งในโทรศัพท์มือถือและกล้องวงจรปิด รับเงินลงทุน Series C มูลค่า 600 ล้านเหรียญจาก Alibaba รวมถึงได้รับเงินจากนักลงทุนรายอื่น ๆ เช่น Temasek แลt Suning.com ทำให้บริษัทดังกล่าวมีมูลค่าบริษัทขึ้นไปถึง 4,500 ล้านดอลลาร์สหรัฐ ทำให้บริษัทนี้กลายเป็นบริษัทสตาร์ทด้าน AI ที่มีมูลค่าสูงสุดในโลกเวลานี้ไปแล้ว
จากข้อมูลพบว่าสตาร์ทอัพรายนี้มีลูกค้ามากกว่า 400 ราย และยังเป็นพาร์ทเนอร์กับ Qualcomm ผู้ผลิตชิปให้กับ NVIDIA และ Xiaomi และในปี 2018 ยังเตรียมขยายการพัฒนาไปยัง AR (Augmented Reality) ในแอปชื่อดังอย่าง Snapchat รวมถึงยังทำงานร่วมกับ Honda Motor เพื่ีอพัฒนารถยนต์ไร้คนขับอีกด้วย
ข้อมูลจาก CB Insight ระบุว่าบริษัทดังกล่าวเป็นสตาร์ทอัพด้านปัญญาประดิษฐ์ หรือ AI ที่มีมูลค่าบริษัทสูงที่สุดในโลก หลังจากได้รับเงินลงทุนจาก Alibaba ไป
ซึ่งการเติบโตของบริษัทด้าน AI ในจีนก็เป็นไปตามที่รัฐบาลจีนประกาศแผนพัฒนาด้าน AI และตั้งเป้าเป็นศูนย์กลางด้านนวัตกรรมด้าน AI ในปี 2030 อีกด้วย
นอกจากนี้ SenseTime ยังเตรียมขอเงินลงทุนเพื่อพัฒนารถยนต์ไร้คนขับ (Autonomous Driving) และ AR (Augmented Reality) รวมถึงเพื่อเป็นค่าใช้จ่ายสำหรับจ้างกลุ่มคนที่ความสามารถด้าน AI และความเข้มแข็งในระบบคอมพิวเตอร์
“เรากำลังมองหาเส้นทางไปสู่กลยุทธ์ใหม่ ๆ อยู่ นี่จึงเป็นเหตุผลว่าทำไมเราต้องการเงินเป็นจำนวนมากและเร่งสร้าง Infrastructure ต่าง ๆ ต่อไป” Xu Li ผู้ก่อตั้ง SenseTime กล่าวในบทสัมภาษณ์
ซึ่งบริษัทนี้กลับมามีรายได้ในปี 2017 โดยใน 3 ปีที่ผ่านมารายได้เฉลี่ยเติบโตสูงถึง 400 เปอร์เซ็นต์ ในปีนี้ตั้งเป้าให้มีพนักงานมากถึง 2,000 คน และวางแผนที่จะสร้างซุเปอร์คอมพิวเตอร์อย่างน้อย 5 เครื่องในหัวเมืองใหญ่ ๆ เพื่อให้ระบบ Viper และระบบอื่น ๆ สามารถส่งข้อมูลได้อย่างต่อเนื่อง
อีกสิ่งหนึ่งที่น่าสนใจ คือ สตาร์ทอัพด้าน AI รายนี้กำลังพัฒนาแพลตฟอร์มที่ดึงเอาข้อมูลจากกล้องวงจรปิดนับหมื่นตัวเพื่อใช้ในการสอดส่องประชาชน (Mass Surveillance) มีชื่อแบบไม่เป็นทางการ หรือ Codename ว่า “Viper” โดยแหล่งข่าวของ Bloomberg ระบุว่าบริษัทอยู่ในระหว่างการเจรจาขอระดมทุน ซึ่งคาดว่าจำนวนเงินลงทุนจะมีมูลค่ามากกว่า 4,500 ล้านบาท
โดยตำรวจระบุว่าสามารถใช้ Viper เพื่อติดตามเหตุด่วนเหตุร้ายและอุบัติเหตุ รวมไปถึงบุคคลที่น่าสงสัยที่อยู่ใน Blacklist ได้อีกด้วย ในขณะที่ผู้ที่แนวคิดเสรีนิยม (Liberal) ก็ระบุว่าระบบนี้ถูกใช้ในการตรวจจับนักเคลื่อนไหว (Activists) และกดขี่ชนกลุ่มน้อย เช่น ชนกลุ่มน้อยที่อยู่ทางตะวันตกของเขตปกครองตนเองซินเจียงอุยกูร์
ซึ่ง Xu Li ก็เชื่อว่าเทคโนโลยีเป็นสิ่งที่จำเป็นและถูกนำไปใช้งานในรูปแบบที่แตกต่างไปขึ้นอยู่กับผู้อำนาจในแต่ละประเทศ โดยแหล่งข้อมูลสำคัญที่จะช่วยเทรนระบบตรวจจับใบหน้าและภาพของ SenseTime ให้ทำงานได้ดียิ่งขึ้นก็จะมาจากหน่วยงานตำรวจของจีน วีดีโอจากกล้องวงจรปิด และเจ้าหน้าที่ของ 40 เมืองในจีนนั่นเอง
“ระบบนี้ไม่มีผลต่อต่อความเป็นส่วนตัวอย่างแน่นอน เพราะเจ้าหน้าที่ที่อำนาจเกี่ยวข้องเท่านั้นที่จะเข้าถึงระบบดังกล่าวได้” Xu Li กล่าว
ส่วน Jim Breyer ผู้ก่อตั้ง Breyer Capital ซึ่งเป็น Indirect Investor ของ SenseTime ให้สัมภาษณ์กับ IDG โดยกล่าวว่า “ในประเทศจีนมีความได้เปรียบในเรื่องของระบบตรวจจับใบหน้า (Facial recognition) เพราะในสหรัฐอเมริกาและบางพื้นที่ในสหภาพยุโรป (EU) ยังมีข้อจำกัดเรื่องของความเป็นส่วนตัว ซึ่งทำให้สุดยอดเทคโนโลยีตรวจจับบางอย่างในโลก เห็นได้แค่ที่ในจีนเท่านั้น”
อ้างอิงข้อมูลจาก Bloomberg, SenseTime Newsroom และ Reuters
ลงทะเบียนเข้าสู่ระบบ เพื่ออ่านบทความฟรีไม่จำกัด