COVID-19 เปลี่ยนพฤติกรรมการชำระเงินสู่ระบบ E-payment

เมื่อการระบาดของไวรัส COVID-19 อาจนำมาสู่การปรับเปลี่ยนพฤติกรรมการชำระเงินของผู้คนอย่างถาวร หลังจากผู้คนรู้สึกถึงความไม่ปลอดภัยและวิตกกังวลในการจับจ่ายใช้สอยโดยการใช้เงินสด ซึ่งอาจเป็นพาหะของไวรัสอย่าง COVID-19

หลังจากจำนวนผู้ติดเชื้อไวรัส COVID-19 ในสหรัฐฯ นั้นเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง ประชาชนในสหรัฐฯ บางกลุ่มเข้าหาการใช้งานการชำระเงินแบบอิเล็กทรอนิกส์ หรือ E-payment เนื่องจากกังวลเรื่องความสะอาดในการใช้เงินสด ถึงแม้จะยังไม่มีการยืนยันเรื่องการติดเชื้อผ่านการใช้ธนบัตรหรือเหรียญ แต่การปรับเปลี่ยนมาใช้ช่องทางออนไลน์เกิดจาก ‘ปัจจัยทางจิตวิทยา’ ในหมู่คนเป็นหลัก

ผู้ค้าหลาย ๆ รายเริ่มสนับสนุนให้ลูกค้านั้นหลีกเลี่ยงการใช้เงินสด ในขณะที่ธนากลางของสหรัฐฯ กำลังปรับเปลี่ยนวิธีจัดการกับเงินดอลลาร์ ซึ่งมาตรการป้องกันที่ภาครัฐได้ออกมาคือการยืดระยะถือครองธนบัตร สำหรับเงินที่มาจากเอเชียและยุโรป โดยยืดจากระยะขั้นต่ำ 5 วันเป็นระยะขั้นต่ำ 10 วัน และในก่อนหน้านี้มีคำสั่งจากทางรัฐบาลจีนให้ธนาคารหลาย ๆ แห่งนั้นฆ่าเชื้อธนบัตรก่อนนำออกไปสู่ประชาชน ซึ่งเป็นอีกมาตรการหนึ่งที่จะช่วยลดอัตราการระบาดของไวรัส COVID-19 

การปรับเปลี่ยนสู่การชำระค่าบริการผ่านมือถือ

ความกลัวจากการระบาดของไวรัสชนิดใหม่นี้อาจกระตุ้นให้ผู้คนนั้นหันมาใช้การชำระเงินผ่านช่องทางมือถือมากขึ้น หลังจากแต่ก่อนการชำระเงินผ่านช่องทางนี้ไม่ค่อยเป็นที่นิยมมากในสหรัฐฯ เทียบกับช่องทางอื่น ๆ Jodie Kelly CEO จากสมาคมธุรกรรมทางอิเล็กทรอนิกส์ (Electronic Transactions Association) ได้เผยว่า “การชำระเงินแบบไร้การสัมผัสกับเงินสดโดยตรงนั้นจะเพิ่มขึ้นมาเป็นอีกทางเลือกหนึ่งในสภาวะที่ผู้คนนั้นมีความระมัดระวังมากขึ้นในการสัมผัสสิ่งของต่าง ๆ” 

ปฏิเสธไม่ได้ว่าก่อนการระบาดของไวรัส COVID-19 นั้น การชำระเงินผ่านช่องทางมือถือนั้นไม่เป็นที่แพร่หลายสักเท่าไหร่ ซึ่งดูเป็นเรื่องแปลกสำหรับความไม่เป็นที่นิยมนี้ในสหรัฐฯ อย่างไรก็ตามผู้เชี่ยวชาญได้ให้เหตุผลที่คนอเมริกันนั้นไม่ค่อยใช้มือถือในการชำระเงินนั้นเป็นเพราะวัฒนธรรมในการใช้บัตรรางวัลต่าง ๆ ที่ได้ฝังลึกไปในพฤติกรรมการจับจ่ายใช้สอยของคนอเมริกันแล้ว ในขณะเดียวกันประเทศคู่แข่งอย่างจีนนั้นมีอัตราการใช้งานการะชำระเงินผ่านมือถือมากกว่า 80% ในปีที่ผ่านมา โดยสหรัฐฯ มีอัตราการใช้งานอยู่ที่ 10% เท่านั้น

โดยผู้ให้บริการการชำระเงินผ่านช่องทางมือถือในสหรัฐฯ ส่วนมากคือบริษัทเทคโนโลยี ซึ่งในหมู่ผู้ให้บริการ PayPal ก็เป็นผู้นำในอุตสาหกรรมการชำระงานผ่านช่องทางมือถือ ยังมีบริษัทใหญ่ ๆ ที่ให้บริการในรูปแบบนี้อีก เช่น Apple Pay, Google Pay, Samsung Pay, Venmo, Square Cash และ Zelle

ก่อนหน้านี้บริษัทผู้ให้บริการการชำระเงินหลาย ๆ รายได้ออกมาเตือนเรื่องผลกระทบของการระบาดไวรัสต่ออัตราการใช้จ่ายในสหรัฐฯ หุ้นของธนาคารรายใหญ่ในสหรัฐฯ ได้ปรับตัวลดลงในช่วงไม่กี่สัปดาห์ที่ผ่านมา เนื่องจากปัญหาราคาน้ำมันที่ตกลงและอัตราผลตอบแทนจากพันธบัตรที่ลดลง ซึ่งกระตุ้นความกลัวว่าการระบาดของ COVID-19 จะนำไปสู่สภาวะเศรษฐกิจถดถอย

อย่างไรก็ตามแต่ ตัวเลือกในการทำธุรกรรมออนไลน์ได้กลายมาเป็นหนึ่งในตัวเลือกหลักของของผู้ใช้บริการทางการเงินในช่วงที่มีการกักตัว ซึ่งในขณะเดียวกันยังเป็นการหลีกเลี่ยงการออกไปธนาคารอีกด้วย โดย Peter Gordon รองประธานบริหารและหัวหน้าฝ่าย Emerging Payments ของธนาคารสหรัฐฯ ได้เผยว่านี่เป็นโอกาสที่ดีที่จะย้ายเข้าสู่การใช้งานแบบดิจิทัล โดยเขาเชื่อว่าวิกฤติในครั้งนี้จะกระตุ้นให้ผู้คนนั้นหันมาใช้แพลตฟอร์มทางการเงินแบบดิจิทัลในทุกรูปแบบ และชี้ว่าบริษัทอย่าง Zelle, PayPal และบริการธุรกรรมออนไลน์อื่น ๆ จะเกิดความก้าวกระโดดทางธุรกิจอย่างมาก 

สภาวะ ‘ช็อก’ ในระบบการเงิน

ถึงแม้ว่าผลกระทบจากการระบาดของไวรัส COVID-19 ในปัจจุบันนั้นยังไม่ชัดเจน ตัวอย่างผลกระทบจากเหตุการณ์ทางเศรษฐกิจของประเทศอินเดียต่อพฤติกรรมการชำระเงินอาจจะทำให้ผู้อ่านนั้นเห็นภาพมากขึ้น

ในปี 2016 เกิดวิกฤติเงินสดที่เรียกว่า Cash Crunch ที่เกิดจากภาคธนาคารของอินเดีย ซึ่งส่งผลให้การใช้ E-payment ในอินเดียนั้นเพิ่มสูงงขึ้นอย่างน่าตกใจ และแสดงให้เห็นว่าการปรับเปลี่ยนพฤติกรรมการชำระเงินนั้นรวดเร็วเพียงใด และถึงแม้ว่าวิกฤติเศรษฐกิจนั้นเกิดขึ้นในช่วงเวลาสั้น ๆ แต่มันก่อให้เกิดการใช้งานการชำระเงินผ่านช่องทางอิเล็กทรอนิกส์อย่างต่อเนื่อง ซึ่งทำให้เห็นว่าสภาวะ ‘ช็อก’ ทางการเงินนั้นเป็นการ ‘บังคับ’ ให้ผู้คนนั้นหันมาใช้เทคโนโลยี

ซึ่งเมื่อผู้เชี่ยวชาญได้มองถึงธุรกิจบริการการชำระเงินอิเล็กทรอนิกส์ในอินเดียแล้ว ทำให้เห็นถึงการใช้งานที่สูงขึ้นอย่างมากหลังจากการเกิดวิกฤติเงินสดในปี 2016 โดยอัตรการทำธุรกรรมเหล่านี้นั้นสูงถึง 150% ทั่วประเทศ โดยการทำธุรกรรมผ่านช่องทางอื่น ๆ เช่นการใช้บัตรเครดิตนั้นมีอัตราคงเดิม

เขายังได้บอกอีกว่ามันอาจจะเร็วไปที่จะสรุปว่าการระบาดนั้นจะส่งผลกระทบต่อการปรับเปลี่ยนพฤติกรรมในระยะยาว แต่แน่นอนว่าวิกฤตินี้จะทำให้เกิดเทรนด์ใหม่ ๆ โดยเฉพาะในช่วงที่คนต้องอยู่บ้าน เช่นการ work-at-home หรือ study-at-home ซึ่งทำให้เกิดการใช้งานผ่านช่องทางออนไลน์มากขึ้น อย่างไรก็ตามแต่วิกฤตินี้จะทำให้เกิดสภาวะ ‘ช็อก’ แค่ชั่วคราว แต่จะเป็นการบังคับให้ผู้คนนั้นหันไปใช้ซอฟท์แวร์ใหม่ ๆ มากขึ้น และแน่นอนว่าจะทำให้เกิดผลกระทบที่ดีขึ้นในหลาย ๆ อุตสาหกรรมอย่างถาวร


อ้างอิง: CNBC


No comment

RELATED ARTICLE

Responsive image

ทำความรู้จักโครงการ Low Carbon City หนุนผู้ประกอบการเปลี่ยนผ่านสู่ 'อุตสาหกรรมคาร์บอนต่ำ'

สรุปจากงานสัมมนา CEO Forum : Industrial Decarbonization under Thailand's Low Carbon City Program ที่มีทั้งภาครัฐ ภาคเอกชน และ World Bank มาเผยแนวทางสนับสนุนให้ลดการปล่อยคาร์บอนในภา...

Responsive image

อว. ก้าวล้ำ! เปิดตัว AI ตรวจสอบหลักสูตรมหาวิทยาลัย ยกระดับมาตรฐาน รวดเร็ว แม่นยำ

กระทรวงการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม (อว.) กำลังก้าวสู่มิติใหม่ของการประกันคุณภาพการศึกษา ประกาศนำเทคโนโลยีปัญญาประดิษฐ์ (AI) เข้ามาช่วยในกระบวนการตรวจสอบมาตรฐานหลักสูต...

Responsive image

ศูนย์วิจัยกสิกรชี้ ส่งออกไทยอาจเสียหาย 4 แสนล้านบาท จากภาษีตอบโต้ 37%

ศูนย์วิจัยกสิกรไทย ออกบทวิเคราะห์ประเมินถึงสถานการณ์ที่สหรัฐญ ขึ้นภาษีตอบโต้ (Reciprocal Tariffs) กับไทยในอัตรา 37% ซึ่งถือว่าสูงกว่าที่เคยประเมินไว้ที่ 25% ถือเป็นความเสี่ยงต่อเศร...