Huawei ท้าสหรัฐฯ แสดงหลักฐานเรื่องความเสี่ยงด้านความปลอดภัย

ประธานบริษัท Huawei ได้ท้าทายให้สหรัฐอเมริกาและรัฐบาลประเทศต่าง ๆ แสดงหลักฐานประกอบคำกล่าวอ้างที่ว่า บริษัทยักษ์ใหญ่ของจีนมีความเสี่ยงหรือเป็นภัยต่อความมั่นคงของประเทศ โดยทางบริษัทหัวเว่ยได้จัดงานพบปะสื่อมวลชนเมื่อวันอังคารที่ผ่านมาเพื่อไขข้อข้องใจและคลายความวิตกกังวลเกี่ยวกับความเสี่ยงในการถูกแทรกแซง รวมถึงการโจรกรรมข้อมูล (แฮกกิ้ง) ของรัฐบาลเหล่านี้ ซึ่งอาจส่งผลกระทบต่อบทบาทของบริษัทในฐานะบริษัทโทรคมนาคมแห่งอนาคตได้

มร. เคน หู ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร หมุนเวียนตามวาระของ Huawei ออกมาเปิดเผยต่อสื่อมวลชนเกี่ยวกับข้อกล่าวหาที่ว่าบริษัท ซึ่งเป็นผู้ผลิตอุปกรณ์เครือข่ายรายใหญ่ที่สุดในโลก มีที่มาที่ไปจาก "อุดมการณ์และบริบททางการเมือง" มร. เคน หู กล่าวเตือนว่า การห้ามไม่ให้หัวเว่ยมีส่วนร่วมในเครือข่าย 5G ของออสเตรเลียและตลาดอื่น ๆ ถือเป็นการทำร้ายผู้บริโภค เพราะจะทำให้ค่าใช้จ่ายแพงขึ้นและทำให้การนำนวัตกรรมไปใช้ล่าช้าออกไป

ทั้งนี้ ออสเตรเลียและนิวซีแลนด์ได้ห้ามการใช้เครือข่ายเทคโนโลยี 5G ของ Huawei ด้วยเหตุผลด้านความปลอดภัยและความมั่นคง เช่นเดียวกับสหรัฐอเมริกาและไต้หวันที่ได้จำกัดการใช้ผลิตภัณฑ์หัวเว่ยเช่นกัน หน่วยงานความปลอดภัยด้านระบบอินเทอร์เน็ตของญี่ปุ่นเองกล่าวว่า รัฐบาลญี่ปุ่นจะไม่ซื้อผลิตภัณฑ์จากซัพพลายเออร์ต่าง ๆ รวมถึงหัวเว่ย ที่ถูกประเมินว่ามีความเสี่ยงด้านความปลอดภัยสูง

การที่รัฐบาลต่าง ๆ ประกาศระงับใช้งานผลิตภัณฑ์ของ Huawei ล่าสุดนั้นแทบไม่มีผลกระทบต่อ Huawei ซึ่งเป็นผู้ผลิตอุปกรณ์เครือข่ายรายใหญ่ที่สุดในโลกและผู้นำด้านเทคโนโลยี 5G เลย อย่างไรก็ตาม การตัดสินใจแถลงข่าวของบริษัทที่โดยปกติจะไม่นิยมออกสื่อมากนัก ก็มีจุดประสงค์เพื่อแสดงความกังวลใจว่า หากการระงับใช้ผลิตภัณฑ์ Huawei บานปลายออกไป ก็อาจเป็นอุปสรรคต่อการเข้าถึงตลาด 5G ของ Huawei ที่นักวิเคราะห์อุตสาหกรรมคาดว่าจะมีมูลค่าถึงราว 20 พันล้านเหรียญสหรัฐต่อปีภายในปี 2565 นี้ได้

มร. เคน หู ซึ่งปกติจะปรากฏตัวในงานอีเว้นท์โทรคมนาคมต่าง ๆ โดยไม่ได้ให้สัมภาษณ์แก่สื่อมวลชนมากนัก  ครั้งนี้ได้พูดคุยตอบข้อซักถามกับผู้สื่อข่าวชาวอเมริกัน ยุโรป และเอเชีย นานถึงสองชั่วโมงยี่สิบนาที

"ถ้าคุณมีหลักฐานหรือพยานหลักฐาน ก็ควรจะเปิดเผยออกมา" มร. เคน หู กล่าว "อาจจะไม่ต้องเผยกับหัวเว่ยหรือประชาชนทั่วไปก็ได้ แต่ควรให้โอเปอเรเตอร์ในอุตสาหกรรมโทรคมนาคมได้รับรู้ เพราะพวกเขาคือลูกค้าที่ซื้อผลิตภัณฑ์ Huawei "

Huawei ก่อตั้งขึ้นในปี 2530 โดยอดีตวิศวกรทหาร ได้ปฏิเสธข้อกล่าวหาที่ว่าบริษัทถูกกำกับควบคุมโดยพรรคคอมมิวนิสต์ หรือได้ออกแบบอุปกรณ์เพื่อช่วยในการดักฟังข้อมูล แต่เจ้าหน้าที่ของต่างประเทศได้อ้างกฎหมายจีนที่กำหนดให้บริษัทต่าง ๆ ต้องร่วมมือกับหน่วยงานข่าวกรองของจีน และแสดงความกังวลว่าซัพพลายเออร์ผู้ผลิตอุปกรณ์ด้านโทรคมนาคมอาจต้องปฏิบัติตามกฎในการปรับเปลี่ยนผลิตภัณฑ์

การมาถึงของเทคโนโลยี 5G ยิ่งเพิ่มความกังวลดังกล่าวมากขึ้น เนื่องจากเทคโนโลยีนี้มีจุดมุ่งหมายเพื่อสนับสนุนการขยายเครือข่ายโทรคมนาคมเพื่อการเชื่อมต่อรถยนต์ที่สามารถขับขี่ได้ด้วยตัวเอง รวมถึงหุ่นยนต์ที่ใช้ในโรงงาน เครื่องมือทางการแพทย์ และโรงไฟฟ้า ทำให้รัฐบาลต่าง ๆ มองเครือข่ายโทรคมนาคมเหล่านี้ในฐานะสินทรัพย์ยุทธศาสตร์ระดับชาติ

"ยังไม่มีหลักฐานพยานใด ๆ ที่แสดงว่าอุปกรณ์ของเราเป็นภัยคุกคามต่อความมั่นคง" มร. เคน หู กล่าว และเสริมต่อว่า "เราไม่เคยยอมรับคำขอจากรัฐบาลใด ๆ เพื่อทำลายเครือข่ายหรือธุรกิจของลูกค้าเรา"

Huawei เป็นบริษัทเทคโนโลยีรายแรกของจีนที่สามารถแข่งขันในตลาดโลก ทำให้บริษัทมีความสำคัญเชิงการเมืองต่อรัฐบาลพรรคคอมมิวนิสต์ที่ต้องการเปลี่ยนโฉมประเทศจากที่เคยเป็นแหล่งโรงงานผลิตสินค้าที่มีค่าแรงต่ำสู่ผู้นำในภาคอุตสาหกรรมหุ่นยนต์ พลังงานสะอาด และเทคโนโลยีชีวภาพ หัวเว่ยมีพนักงาน 180,000 คน และคาดว่ารายได้ของบริษัทจะเกินกว่า 1 แสนล้านเหรียญสหรัฐในปีนี้ด้วย

“สหรัฐฯ และนักวิจารณ์ทั้งหลายควรเปิดเผยหลักฐานที่กล่าวหา Huawei เพื่อระบุให้ชัดเจนว่าทำไมพวกเขาถึงเรียกร้องหาประเด็นความขัดแย้งที่อาจก่อให้เกิด “ปฏิกิริยาสะท้อนกลับอย่างรุนแรง” หากรัฐบาลจีนเลือกที่จะตอบโต้” มร. สกอตต์ เคนเนดี้ ผู้เชี่ยวชาญด้านการเมืองจีนของศูนย์เพื่อการศึกษายุทธศาสตร์ระหว่างประเทศ (Center for Strategic and International Studies - CSIS) ในกรุงวอชิงตัน ดี.ซี. กล่าว

ความสัมพันธ์ระหว่างสหรัฐฯและจีนอยู่ในสภาวะตึงเครียดอยู่แล้วจากการที่ประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมพ์ ปรับขึ้นค่าภาษีหลายพันล้านเหรียญสำหรับการนำเข้าสินค้าของจีน เนื่องมาจากประเด็นพิพาทเกี่ยวกับข้อร้องเรียนว่ารัฐบาลจีนขโมยหรือกดดันให้บริษัทต่าง ๆ ส่งมอบเทคโนโลยีให้

“มันเลยช่วงเวลาของฝ่ายที่กังวลเกี่ยวกับ Huawei จะออกมาแสดงหลักฐานให้สาธารณะชนได้รับรู้แล้ว ไม่ใช่เพื่อเอาใจรัฐบาลจีน แต่เพราะเป็นสิ่งที่ควรทำต่อประชาชนชาวอเมริกัน” มร. เคนเนดี้ กล่าวในอีเมล์ “รัฐบาลสหรัฐฯ ควรออกมาพิสูจน์ให้เห็นว่าประเด็นข้อขัดแย้งที่จะตามมามันคุ้มค่ากันหรือไม่”

ความคิดเห็นของมร. เคน หู สอดคล้องกับคำแถลงการณ์ของบริษัทก่อนหน้านี้ และเป็นครั้งแรกที่ผู้บริหารระดับสูงของ Huawei ได้ออกมากล่าวถึงประเด็นร้องเรียนเรื่องความมั่นคงของรัฐบาลต่างประเทศโดยตรง ซึ่งเน้นย้ำถึงประเด็นที่อ่อนไหวต่อบริษัท

โฆษกกระทรวงต่างประเทศของจีนได้ออกมาประกาศกล่าวเมื่อวันที่ 10 ธันวาคมว่า กฎหมายจีนไม่ได้กำหนดให้บริษัทใด ๆ ต้องปรับเปลี่ยนอุปกรณ์เพื่อให้มีการเข้าถึงข้อมูลลับของบริษัทหรือประเทศอื่น ๆ

"เราไม่เคยได้รับการร้องขอใด ๆ ในการส่งมอบข้อมูลอย่างไม่เหมาะสม" มร. เคน หู กล่าวเพิ่มเติม "ในอนาคต เราก็จะยังคงปฏิบัติตามกฎหมายของประเทศต่าง ๆ อย่างเคร่งครัด ในการจัดการกับสถานการณ์ที่คล้ายคลึงกันด้วย"

การขาดหลักฐานที่จะแสดงต่อสาธารณะเพื่อสนับสนุนข้อกล่าวหาดังกล่าวต่อ Huawei ทำให้นักวิเคราะห์ข้อมูลอุตสาหกรรมเห็นว่า ข้อกล่าวหาเหล่านี้เป็นข้ออ้างในการปกป้องช่วยเหลือคู่แข่งในสหรัฐอเมริกาและยุโรปด้วยการสกัดกั้นบริษัทสัญชาติจีนที่ประสบความสำเร็จอย่างหัวเว่ย

เมื่อถูกถามถึงเรื่องนี้ มร. เคน หู กล่าวว่า การลดการแข่งขันจะขัดขวางการสร้างสรรค์นวัตกรรมและเพิ่มค่าใช้จ่ายให้กับผู้บริโภค

มร. เคน หู กล่าวว่าสิ่งที่เขากล่าวนั้นเป็นผลวิจัยโดยบริษัทวิจัย Frontier Economics ที่ว่า ต้นทุนในการติดตั้งสถานีฐานเทคโนโลยี 5G แบบไร้สายในออสเตรเลีย จะสูงกว่าเดิมถึงร้อยละ 15-40 หากไม่มีหัวเว่ยเข้าไปร่วมแข่งขันในตลาด

"คุณไม่สามารถพัฒนาตัวเองให้ดีขึ้นได้ด้วยการปิดกั้นคู่แข่งจากสนามแข่งขัน" เขากล่าว

แม้ว่าจะมี “ความพยายามที่จะใช้เรื่องการเมืองมาแทรกแซงการเติบโตของอุตสาหกรรม"  Huawei ก็ได้ลงนามสัญญา 5G เชิงพาณิชย์กับลูกค้าผู้ให้บริการโทรคมนาคม 25 ราย มร. เคน หู ยังกล่าวด้วยว่า บริษัทได้ส่งมอบสถานีฐาน 5G ไปแล้วกว่า 10,000 สถานีทั่วโลก

"เราภูมิใจที่จะกล่าวว่า ลูกค้ายังคงมอบความไว้วางใจให้แก่เรา" เขากล่าว

หัวเว่ยประสบปัญหาอีกครั้ง เมื่อประธานเจ้าหน้าที่ฝ่ายการเงินถูกจับกุมในแคนาดาเมื่อวันที่ 1 ธันวาคมที่ผ่านมา จากข้อกล่าวหาของสหรัฐฯว่า บริษัทได้ละเมิดการคว่ำบาตรด้วยการขายเทคโนโลยีให้แก่อิหร่าน

มร. เคน หู กล่าวว่าเขาไม่สามารถพูดถึงข้อกล่าวหาเรื่องอิหร่านได้ เนื่องจากนางเมิ่ง เวินโจว ผู้บริหารของ Huawei กำลังอยู่ในระหว่างการพิจารณาคดีที่แวนคูเวอร์ โดยเธอเป็นลูกสาวของมร. เหริน เจิ้งเฟย ผู้ก่อตั้งหัวเว่ย และอาจได้รับบทลงโทษจากสหรัฐฯในข้อหาโกหกธนาคารเพื่อปกปิดการทำธุรกรรมระหว่างอิหร่านกับ Huawei

อย่างไรก็ตาม มร. เคน หู กล่าวว่า Huawei “มั่นใจในการบริหารจัดการเกี่ยวกับการปฏิบัติตามกฎระเบียบด้านการค้าของบริษัท” เป็นอย่างมาก สอดคล้องกับถ้อยแถลงการณ์ของบริษัทก่อนหน้านี้ โดยเขากล่าวว่า เขา "เชื่อมั่นในความเป็นธรรมและการตัดสินอย่างเป็นอิสระ" ของศาลที่ดูแลคดีของของนางเมิ่ง

เมื่อมีการสอบถามเพิ่มเติมว่า การจับกุมนางเมิ่งทำให้ผู้บริหารของ Huawei ลังเลที่จะเดินทางออกจากประเทศจีนหรือไม่ มร. เคน หู หัวเราะและกล่าวว่า "ไม่มีผลกระทบต่อแผนการเดินทางของเรา เมื่อวานในเวลานี้ ผมก็ยังอยู่บนเครื่องบิน" ซึ่งเดินทางกลับจากยุโรป

อีกหนึ่งบริษัทของจีนอย่าง ZTE Corp. ก็เกือบถูกบีบให้ปิดกิจการในปีนี้เช่นกัน หลังจากถูกปิดกั้นห้ามไม่ให้ซื้อขายเทคโนโลยีในสหรัฐฯ เนื่องจากบริษัทมีการส่งออกสินค้าไปยังอิหร่านและเกาหลีเหนือ ประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมพ์ ของสหรัฐฯ ได้อนุญาตให้แซททีอีค้าขายในสหรัฐฯได้เหมือนเดิม หลังจากบริษัทจ่ายเงินค่าปรับ 1 พันล้านเหรียญสหรัฐ รวมถึงโยกย้ายทีมผู้บริหารและว่าจ้างผู้จัดการฝ่ายกฎระเบียบที่ทางสหรัฐฯเลือกมาให้

เมื่อถูกถามว่า Huawei จะได้รับผลกระทบหรือไม่หากต้องประสบชะตากรรมคล้ายกับ ZTE มร. เคนหู กล่าวว่า เขาไม่สามารถพูดถึงสิ่งที่ยังไม่เคยเกิดขึ้นได้ แต่กล่าวว่าบริษัทมีเครือข่ายพันธมิตรด้านซัพพลายเออร์ทั่วโลกกว่า 13,000 ราย และมี “กลยุทธด้านซัพพลายที่หลากหลาย” ซึ่งช่วยให้บริษัทรอดพันวิกฤตช่วงเหตุการณ์สึนามิของญี่ปุ่นเมื่อปี 2554 และเหตุการณ์วิกฤตอื่น ๆ มาได้

มร. เคน หู ย้ำสัญญาว่า จะเพิ่มความพยายามในการร่วมมือและตอบสนองต่อ "ประเด็นความกังวลเรื่องการปฏิบัติถูกต้องตามกฎหมาย" ของหน่วยงานกำกับดูแล รวมถึงผู้ให้บริการโทรคมนาคม หรือประชาชนทั่วไปให้มากขึ้น

Huawei ได้เปิดศูนย์นวัตกรรมไอซีทีในสหราชอาณาจักร เยอรมนี และแคนาดา เพื่อให้รัฐบาลต่าง ๆ ได้ทดสอบอุปกรณ์และซอฟต์แวร์ของบริษัท โดย "ศูนย์ตรวจสอบความโปร่งใสด้านความปลอดภัย" ใหม่ล่าสุดของบริษัท มีกำหนดจะเปิดให้บริการในเบลเยียมในช่วงไตรมาสแรกของปี 2562

เมื่อวันอังคารที่ผ่านมา ผู้สื่อข่าวได้เข้าเยี่ยมชมห้องปฏิบัติการวิจัยและพัฒนา 2 แห่ง ณ สำนักงานใหญ่ของหัวเว่ยในเซินเจิ้น ซึ่งอยู่ใกล้กับฮ่องกง รวมถึงศูนย์ทดสอบความปลอดภัยด้านไซเบอร์ที่แคมปัสที่เพิ่งสร้างขึ้นใหม่ในเมืองตงกวน ซึ่งใช้เวลาเดินทางจากสำนักงานใหญ่ของหัวเว่ยไปทางตะวันตกอย่างน้อยหนึ่งชั่วโมง หัวเว่ยกล่าวว่า เป็นครั้งแรกที่ผู้สื่อข่าวได้รับอนุญาตให้เข้าเยี่ยมชมสถานที่ปฏิบัติงานเหล่านี้อย่างทั่วถึง

ห้องปฏิบัติการทดสอบความปลอดภัยด้านไซเบอร์มีเครื่องมืออุปกรณ์ที่ใช้โดยลูกค้าของหัวเว่ยอย่างเทเลโฟนิก้าของสเปน เพื่อทำการทดสอบอุปกรณ์และซอฟต์แวร์ของหัวเว่ย มร. มาร์ ติน หวัง ผู้อำนวยการห้องปฏิบัติการ กล่าว

"เราเปิดกว้างในการพูดคุยกับลูกค้าเกี่ยวกับวิธีการที่เราสามารถปรับปรุงระบบรักษาความปลอดภัยด้านไซเบอร์" มร. ฌอน หยาง ผู้อำนวยการฝ่ายความปลอดภัยด้านไซเบอร์และความเป็นส่วนตัว กล่าว

อ้างอิง AP

ลงทะเบียนเข้าสู่ระบบ เพื่ออ่านบทความฟรีไม่จำกัด

No comment

RELATED ARTICLE

Responsive image

Wongnai POS เปิดตัว mini EDC โซลูชันรับชำระเงินเพื่อ SME รวมทุกการจ่ายในเครื่องเดียว เชื่อมต่อระบบขายหน้าร้านอัตโนมัติ

เมื่อพฤติกรรมลูกค้าเปลี่ยนจากการใช้เงินสดไปสู่สังคมไร้เงินสดมากขึ้น ความท้าทายของร้านค้าและผู้ประกอบการ SME จึงไม่ใช่แค่เรื่อง “ยอดขาย” เพียงเท่านั้น แต่คือ “ร้านค้าพร้อมรองรับการช...

Responsive image

ChatGPT มี Wrapped เป็นของตัวเองแล้ว! เปิดตัว “Your Year with ChatGPT” สะท้อน ‘ตัวตน’ ผ่านบทสนทนาตลอดปี ซื้อใจผู้ใช้ด้วย AI ในฐานะ ‘เพื่อนคู่คิด’

ChatGPT เปิดตัว “Your Year with ChatGPT” ฟีเจอร์ Recap สิ้นปีที่ไม่ได้สรุปแค่สถิติการใช้งาน แต่สะท้อนตัวตน วิธีคิด และความสัมพันธ์ระหว่างผู้ใช้กับ AI พร้อมเผยเกมจิตวิทยาและกลยุทธ์ข...

Responsive image

จบปัญหาชื่ออีเมลน่าอาย! Google เตรียมเปิดฟีเจอร์ใหม่ เปลี่ยนชื่อ @gmail.com ได้ ไม่ต้องสมัครใหม่

พบข้อมูล Google เตรียมเปิดฟีเจอร์ให้เปลี่ยนชื่ออีเมล @gmail.com ได้ โดยข้อมูลไม่หาย อีเมลเก่าจะกลายเป็น Alias รับข้อความได้ปกติ...