เมื่อต้นเดือนเมษายนที่ผ่านมา ทางรัฐบาลจีนได้ผ่อนคลายมาตรการล็อคดาวน์ในอู่ฮั่นลงหลังจากถูกปิดลงมากกว่า 10 อาทิตย์ ซึ่งอู่ฮั่นนั้นเป็นพื้นที่ที่เป็นจุดเริ่มต้นของการระบาดของ COVID-19 ที่ได้แพร่ไปทั่วโลกในขณะนี้ และตอนนี้หลาย ๆ ประเทศทั่วโลกก็อยากทราบว่าเมื่อเปิดเมือง สถานการณ์ต่อไปที่เราจะเจอคืออะไร? ดังนั้น Case Study จากอู่ฮั่นก็อาจจะเป็นตัวอย่างที่ทำให้เราเห็นว่าชีวิตของผู้คนหลัง COVID-19 จะเป็นเช่นไร
ในอู่ฮั่น มาตรการที่จำกัดไม่ให้คนเข้าออกเมืองนั้นได้ถูกยกเลิกแล้ว แต่ทว่าสำหรับผู้คนที่อยู่ในเมืองที่มีผู้อาศัยถึง 11 ล้านคน และมีอัตราผู้เสียชีวิตสูงถึง 2,500 รายจากการติดเชื้อ COVID-19 นายฉาง (Zhang) หนึ่งในผู้อาศัยอยู่ในอู่ฮั่นได้กล่าวว่า “เราไม่ได้รู้สึกถึงการเปลี่ยนแปลงมาก สำหรับผู้คนทั่วไปนั้น การปิดเมืองนั้นยังไม่จบลง”
ซึ่งก็มีหลาย ๆ คนออกมาบอกว่าการเปิดเมืองครั้งใหม่ของอู่ฮั่นนั้นเป็นแค่ความพยายามของรัฐบาลจีนในการส่งสัญญานต่อสาธารณชนว่าการใช้ชีวิตนั้นสามารถที่จะกลับไปเป็นเช่นเดิมได้และทางการได้เอาชนะไวรัสได้แล้ว โดยนาย โฮ ฟุง ฮัง (Ho Fung Hung) อาจารย์จากมหาวิทยาลัยจอห์นฮอปกินส์นั้นได้เผยว่า “การเปิดเมืองอู่ฮั่นของรัฐบาลจีนนั้นเป็นแค่การส่งสัญญานว่าจีนนั้นสามารถกลับไปดำเนินธุรกิจและผู้คนสามารถกลับไปทำงานได้ อย่างไรก็ตามแต่ ผู้คนที่อาศัยอยู่ในอู่ฮั่นนั้นก็ยังระมัดระวังในการใช้ชีวิตค่อนข้างมาก” และยังกล่าวอีกว่า “ผู้คนนั้นจะไม่ลืมความผิดพลาดของรัฐบาลอย่างง่ายดาย โดยเฉพาะผู้ที่ได้เสียสมาชิกในครอบครัวไปในการระบาดครั้งนี้”
ภายในเมือง ร้านค้าหลายแห่งยังคงปิดอยู่ และร้านอาหารก็ยังมีการขายในรูปแบบเดลิเวอรีเท่านั้น ในส่วนของโรงเรียน, โรงหนัง และสถานที่บันเทิงอื่น ๆ ก็ยังคงปิดทำการเช่นกัน
แต่ในขณะเดียวกัน การเดินทางภายในเมืองก็มีอิสระมากขึ้น รถสาธารณะและรถไฟใต้ดินนั้นก็กลับมาเปิดทำการเช่นเดิมถึงแม้จะยังมีผู้ใช้บริการน้อยลง ผู้คนเริ่มออกมารับอากาศและแสงแดดในสวนสาธารณะมากขึ้น รวมถึงบริษัทต่าง ๆ ก็กลับมาดำเนินการเช่นเดิม อย่างไรก็ตามแต่ ภายในเมืองก็ยังมีจุดตรวจตามสถานที่ต่าง ๆ โดยประชาชนนั้นจะต้องแสดง “โค้ดสุขภาพ” แสดงแอปพลิเคชันที่ระบุข้อมูลที่อยู่ การเดินทาง และการเข้ารับการรักษาต่อเจ้าหน้าที่เพื่อที่จะดูว่าพวกเขาเหล่านั้นมีความเสี่ยงหรือไม่ และต้องเข้ารับการตรวจอุณหภูมิร่างกาย ฉางนั้นยังเผยว่าเขาต้องผ่านจุดตรวจ 4 จุด ตลอดทางที่เขาจะไปที่ป้ายรถเมล์เท่านั้น
ซึ่งมาตรการต่าง ๆ ที่เจ้าหน้าที่บอกว่าจะยกเลิกนั้นจะเป็นแบบ “ค่อยเป็นค่อยไปและอย่างมีระเบียบเรียบร้อย” ซึ่งนี่เป็นข้อบ่งชี้ว่าการแพร่ระบาดนั้นได้ลดลงมาก แต่ก็ยังไม่จบลงซะทีเดียว
หลายครัวเรือนนั้นยังมีความกังวลอยู่มากในเรื่องของผู้ที่ติดเชื้อแต่ไม่แสดงอาการ ผู้ที่หายแล้วแต่ได้รับการตรวจใหม่และผลเป็นบวกแต่ไม่แสดงอาการ รวมถึงกรณีของผู้คนที่เข้ามาจากประเทศที่มีการติดเชื้อเช่นกัน ทำให้ชาวเมืองอู่ฮั่นหลาย ๆ คนนั้นยังกักตัวอยู่ในบ้าน แต่ก็ยังมีหลาย ๆ คนที่ต้องออกมาทำงานแต่ก็ยังกังวลเกี่ยวกับการเกิดการระบาดระลอกที่ 2 ซึ่งหลาย ๆ รายก็บอกว่าไม่อยากที่จะออกจากบ้าน แต่ถ้าหากพวกเขาไม่ออกมา ก็ไม่สามารถที่จะทำงานหารายได้ให้สามารถเลี้ยงชีพตัวเองได้
หลาย ๆ พื้นที่มีการลดมาตรการลงไปแล้วในตอนแรก แต่ก็กลับมาใช้มาตรการที่เข้มงวดเช่นเดิม หลาย ๆ คนนั้นยังมีความสงสัยว่าจะเกิดการติดเชื้อครั้งใหม่ และไม่เชื่อในการรายงานของรัฐ รวมถึงยังมีความเชื่อว่ารัฐบาลนั้นเห็นความสำคัญในการกลับมาดำเนินเศรษฐกิจเช่นเดิม มากกว่าความพยายามที่จะยับยั้งไวรัส
โดย South China Morning Post นั้นได้รายงานว่ามีผู้ที่ได้รับการตรวจหาไวรัส COVID-19 แต่ไม่แสดงอาการมากถึง 43,000 ราย โดยจำนวนผู้ติดเชื้อนี้ไม่ได้ถูกนำไปรวมกับจำนวนผู้ติดเชื้อทั้งหมด
ซึ่งนายโฮ ฟุง ฮังยังเผยว่า “จากการปกปิดการระบาดของรัฐบาลในช่วงเดือนธันวาคมและมกราคม ทำให้เรานั้นไม่สามารถที่จะเชื่อรัฐบาลจีนได้ปราศจากหลักฐานที่น่าเชื่อถือ” และเจ้าหน้าที่ที่ไม่ประสงค์ออกนามจาก Chinese Center for Disease Control and Prevention นั้นยังได้เผยว่า “มันเป็นเรื่องที่ไม่สามารถระบุได้ว่าการระบาดในอู่ฮั่นนั้นจบลงแล้ว”
แต่จากการกลับมาเปิดเมืองอีกครั้ง ก็ทำให้เห็นว่าชีวิตของคนอู่ฮั่นนั้นมีอิสระมากขึ้น ผู้คนสามารถที่จะเดินทางไปที่ต่าง ๆ ได้เช่นเดิม ร้านค้าและร้านอาหารกลับมาเปิดได้อีกครั้ง ผู้คนต่าง ๆ ก็กลับไปทำงานเช่นเดิม อย่างไรก็ตามแต่แน่นอนว่ารูปแบบการใช้ชีวิตก็เปลี่ยนไป ผู้คนระมัดระวังในการใช้ชีวิตมากขึ้น ร้านค้าก็ปรับเปลี่ยนรูปแบบการขายอาหาร การตรวจเช็คภายในเมืองนั้นก็ยังคงมีอยู่ และยังมีคนจำนวนหนึ่งที่ยังกักตัวอยู่ที่บ้านเนื่องจากความกังวลของการระบาดระลอกที่ 2 และความไม่มั่นใจต่อการรายงานของรัฐบาลที่ออกมา
นี่อาจจะเป็นตัวอย่างให้หลาย ๆ เมืองหรือหลาย ๆ ประเทศเห็นถึงความเปลี่ยนไประหว่างก่อนการปิดเมืองและหลังการเปิดเมืองว่าทิศทางการใช้ชีวิตของผู้คนจะเปลี่ยนไปในทางไหน ผู้คนนั้นคิดอะไรอยู่หลังเปิดเมือง และรัฐบาลควรจะมีมาตรการรองรับอย่างไรให้ผู้คนนั้นมีความมั่นใจมากขึ้น แต่อย่างที่เราได้เห็นจากอู่ฮั่นในครั้งนี้ ก็อาจจะพูดได้ว่า การอันล็อคเมืองนั้นไม่ได้เป็นการกลับมาของการใช้ชีวิตอิสระเช่นเดิมอย่างที่เคยเป็น
อ้างอิง: NYTIMES, TheGuardian
ลงทะเบียนเข้าสู่ระบบ เพื่ออ่านบทความฟรีไม่จำกัด