การพัฒนาอย่างก้าวกระโดดของ AI มาพร้อมกับความกังวลที่เพิ่มสูงขึ้นเรื่อย ๆ ว่า AI จะเข้ามาแย่งงานมนุษย์ โดยเฉพาะเมื่อมีรายงานว่า AI เป็นหนึ่งในปัจจัยที่ส่งผลให้เกิดการปลดพนักงานในสหรัฐอเมริกามากกว่า 55,000 คนในปีที่ผ่านมา
แต่ใช่ว่ามนุษย์จะหมดหวัง รายงานล่าสุดจาก McKinsey Global Institute (MGI) เรื่อง “Agents, robots, and us: Skill partnerships in the age of AI” ได้นำเสนอภาพที่ชัดเจนว่า AI จะไม่ทำให้ทักษะส่วนใหญ่ของมนุษย์ล้าสมัย แต่จะเปลี่ยน ‘วิธีการใช้ทักษะ’ เหล่านั้นอย่างสิ้นเชิง
แม้งานในอนาคตจะไม่ได้ขับเคลื่อนด้วยมนุษย์เพียงอย่างเดียว แต่ก็จะไม่ถูกแทนที่ด้วย AI ทั้งหมด โดยจะพัฒนาไปสู่รูปแบบของความร่วมมือระหว่างคน (People), เอเจนต์ (Agents) และหุ่นยนต์ (Robots) ที่ทำงานร่วมกันเป็นทีม โดยมี AI เป็นพลังหลักที่ทำให้ทั้ง Agents และหุ่นยนต์ฉลาดขึ้นอย่างก้าวกระโดด
เพราะฉะนั้น สิ่งที่เราควรปรับมุมมองในปีหน้าคือการเปลี่ยนจากคำถามว่า “AI จะทำให้คนตกงานกี่คน” ไปสู่คำถามที่สำคัญกว่า คือ “ทักษะของมนุษย์จะเปลี่ยนบทบาทอย่างไร เมื่อเครื่องจักรเริ่มทำงานเป็นลำดับขั้นได้เอง และองค์กรควรออกแบบ Workflow แบบไหนจึงจะได้ผลลัพธ์จริง”

MGI ชี้ว่า จากความสามารถทางเทคนิคของ AI ที่แสดงให้เห็นในปัจจุบัน AI มีศักยภาพที่จะทำแทนมนุษย์ในงานที่คิดเป็นสัดส่วนสูงถึง 57% ของชั่วโมงการทำงานทั้งหมดในสหรัฐอเมริกา โดยแบ่งเป็น:
อย่างไรก็ตามนี่คือการวัดจาก ‘ศักยภาพเชิงเทคนิค’ ไม่ใช่การทำจริง และไม่ใช่คำทำนายจำนวนคนตกงาน เพราะการนำไปใช้จริงยังขึ้นกับต้นทุน การลงทุน กฎระเบียบ โครงสร้างองค์กร และความพร้อมของคนซึ่งอาจใช้เวลาอีกกว่าทศวรรษ

MGI พบว่าทักษะที่นายจ้างมองหาในปัจจุบันกว่า 70% ยังคงมีความเกี่ยวข้องและถูกใช้ทั้งในงานที่เปลี่ยนเป็นอัตโนมัติได้และงานที่ทำไม่ได้ หมายความว่างานเหล่านี้จะไม่หายไป แต่บทบาทของมนุษย์งานจะเปลี่ยนไป เช่น
นอกจากนี้ แม้ AI จะเข้ามาแทนที่งานซ้ำซากได้มากขึ้น แต่มนุษย์ยังคงมีความสำคัญอย่างยิ่งในด้านต่อไปนี้
MGI จึงเสนอแนวคิด Skill Partnership โดยให้เครื่องจักรทำงานที่ซ้ำซากและรวดเร็ว ส่วนมนุษย์ขยับขึ้นไปทำงานที่ต้องใช้บริบท การตัดสินใจ การสื่อสาร และความรับผิดชอบแทน

ในรายงานนี้ McKinsey ได้พัฒนา ‘ดัชนีการเปลี่ยนแปลงทักษะ’ (Skill Change Index – SCI) เพื่อวัดผลกระทบที่การทำงานอัตโนมัติอาจมีต่อทักษะต่าง ๆ และเผยให้เห็นถึงการเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่ที่กำลังจะเกิดขึ้นภายในปี 2030
ทักษะที่ได้รับผลกระทบสูงสุด vs. น้อยที่สุด
ทักษะด้านดิจิทัลและการประมวลผลข้อมูล (Digital and Information-processing skills) เช่น งานบัญชี การออกใบแจ้งหนี้ และทักษะการเขียนโค้ดเฉพาะทาง มีแนวโน้มได้รับผลกระทบจากระบบอัตโนมัติมากที่สุด
ทักษะที่เกี่ยวข้องกับการช่วยเหลือและการดูแล (Assisting and Caring skills) เช่น ภาวะผู้นำ การเจรจา และการดูแลสุขภาพ มีแนวโน้มเปลี่ยนแปลงน้อยที่สุด เนื่องจากต้องอาศัยปฏิสัมพันธ์และความเห็นอกเห็นใจของมนุษย์
‘AI Fluency’ ทักษะที่มาแรงแซงทุกโค้ง
‘AI Fluency’ หรือความสามารถในการใช้และจัดการเครื่องมือ AI กลายเป็นทักษะที่เติบโตเร็วที่สุดในตลาดแรงงาน โดยความต้องการทักษะนี้เพิ่มขึ้นเกือบ 7 เท่าในช่วงสองปีที่ผ่านมา และกลายเป็นข้อกำหนดในอาชีพของพนักงานกว่า 7 ล้านคนแล้วในสหรัฐฯ
โดย AI Fluency ไม่ได้หมายถึงแค่การเขียนโค้ดเก่งเท่านั้น แต่รวมถึงความสามารถในการใช้ AI อย่างชาญฉลาด เช่น
กล่าวคือ ตลาดไม่ได้ต้องการให้ “ทุกคนเป็นวิศวกร AI” แต่ต้องการให้ “ทุกคนทำงานร่วมกับ AI เป็น” สถาบันการศึกษาจึงควรปรับหลักสูตรเพื่อพัฒนา AI Fluency ตั้งแต่ระดับประถมศึกษา โดยเน้นทักษะที่ทำให้มนุษย์แตกต่างอย่างแท้จริง เช่น การคิดเชิงวิพากษ์ การตั้งคำถามต่อผลลัพธ์ของ AI และการขยายโอกาสการเรียนรู้ตลอดชีวิต เพื่อรองรับการเปลี่ยนผ่านของแรงงานครั้งใหญ่

หากองค์กรสามารถออกแบบ Workflow ทั้งระบบใหม่ โดยใช้ AI Agents และหุ่นยนต์เข้ามาเป็นส่วนหนึ่งของกระบวนการตั้งแต่ต้นจนจบ การทำงานอัตโนมัติจะสามารถปลดล็อกมูลค่าทางเศรษฐกิจในสหรัฐฯ ได้สูงถึงประมาณ 2.9 ล้านล้านดอลลาร์สหรัฐต่อปีภายในปี 2030
อย่างไรก็ตาม การปฏิวัติครั้งนี้ไม่อาจเกิดจากการเปลี่ยนงานเพียงบางส่วนให้เป็นอัตโนมัติ เนื่องจาก Workflow ส่วนใหญ่ถูกออกแบบมาในยุค ‘ก่อน AI’ หากองค์กรทำแค่แทรก AI เข้าไปบางจุด ผลลัพธ์จะไม่เต็มศักยภาพ และอาจติดหล่มเช่นเดียวกับหลายองค์กรทั่วโลก
โดยรายงานพบว่าเหตุผลสำคัญที่องค์กรส่วนใหญ่รายงานว่าไม่ได้รับประโยชน์จาก AI เท่าที่ควร มาจากการนำ AI ไปใช้เพื่อทำงานอัตโนมัติในงานย่อยทีละอย่างเท่านั้น
ตัวอย่างจากกรณีศึกษาที่ประสบความสำเร็จ:

เมื่อ AI เข้ามาเป็นเพื่อนร่วมงาน ผู้จัดการจะเปลี่ยนบทบาทจากการกำกับดูแลพนักงาน ไปสู่การเป็น Orchestrator หรือผู้กำกับทีมไฮบริดที่ประกอบด้วยคน Agents และหุ่นยนต์ โดยจะเน้นทักษะด้านการฝึกสอน การสร้างอิทธิพล และการให้คำปรึกษามากขึ้น
สำหรับผู้นำองค์กร สิ่งที่ต้องพิจารณาคือ ตนเองกำลังใช้ AI เพื่อเปลี่ยนโฉมธุรกิจสู่อนาคตจริงหรือไม่ หรือเพียงใช้ AI เป็นเครื่องมือทุ่นแรงหรือโปรเจ็กต์ไอทีระยะสั้น ผู้นำจึงต้องลงไปสัมผัสและเข้าใจทั้งศักยภาพและข้อจำกัดของ AI ด้วยตนเอง พร้อมเร่งลงทุนสร้างวัฒนธรรมการทดลองและการเรียนรู้ รวมถึงพัฒนาทักษะอย่างต่อเนื่อง เพื่อให้พนักงานกล้าใช้ AI อย่างมีวิจารณญาณและสามารถกำกับความเสี่ยงได้อย่างเหมาะสม

อนาคตของการทำงานไม่ได้อยู่ที่การ ‘แข่งขัน’ แต่อยู่ที่การ ‘ร่วมมือ’ กับ AI องค์กรที่ลงทุนในทักษะที่เสริมพลังความร่วมมือนี้ และกล้าที่จะรื้อระบบการทำงานใหม่ จะเป็นผู้ที่สามารถปลดล็อกศักยภาพทางเศรษฐกิจได้อย่างแท้จริง
อ้างอิง: McKinsey
ลงทะเบียนเข้าสู่ระบบ เพื่ออ่านบทความฟรีไม่จำกัด