ภาพรวมสินค้าจีนก่อนการบุกตลาดของ Temu | Techsauce

ภาพรวมสินค้าจีนก่อนการบุกตลาดของ Temu

การเข้ามาของ Temu แอปอีคอมเมิร์ซยักษ์ใหญ่จากจีนกำลังสร้างความกังวลในหมู่คนทำธุรกิจไทยอีกครั้ง ด้วยการขายสินค้าราคาถูกแบบ ‘ทุบราคาตลาด’ ซึ่งอาจดึงดูดผู้บริโภคให้ซื้อสินค้าคุณภาพต่ำ เพราะราคาที่ล่อตาล่อใจ 

สโลแกนอย่าง “ช้อปให้เหมือนมหาเศรษฐี” คือการประกาศให้ลูกค้ารับรู้ว่าพวกเขาสามารถซื้อของได้หลายอย่างโดยไม่ต้องใช้เงินเยอะ 

หลังเปิดตัว Temu จุดกระแสให้เทรนด์ #สินค้าจีน กลับขึ้นมาเป็นที่สนใจอีกครั้ง บทความนี้ Techsuce จึงอยากชวนมาส่อง ‘ภาพรวมการทะลักเข้ามาของสินค้าจีนในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้’ และผลกระทบต่อเศรษฐกิจในแต่ละประเทศตลอดระยะเวลาที่ผ่านมา 

3 เสืออาเซียนรับมือยังไง เมื่อจีนยึดครองตลาดออนไลน์

ประเทศไทยนับเป็นประเทศที่ 3 ในอาเซียนที่ Temu เข้ามาต่อจากมาเลเซียและฟิลิปปินส์ ซึ่งการเข้ามาของ Temu ได้สร้างกระแสต่อต้านอย่างรุนแรงในทั้ง 3 ประเทศ โดยเฉพาะเรื่องผลกระทบต่อเศรษฐกิจและผู้ประกอบการท้องถิ่น 

Temu ไม่ใช่ธุรกิจจีนเจ้าแรกที่พยายามขยายตลาดของตนเข้าสู่ SEA ก่อนหน้านี้มีอีคอมเมิร์ซเจ้าอื่นๆ มากมายที่เข้ามา โดยทุกเจ้าได้เปลี่ยนพฤติกรรมการช้อปของผู้คนในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ไปมากพอสมควร ทำให้ผู้บริโภคในปัจจุบันมองหาแต่สินค้าที่มีราคาถูกที่สุดหรือดีลดีที่สุดเท่านั้น 

การเปลี่ยนแปลงดังกล่าวทำให้ธุรกิจใหญ่จากจีนมีข้อได้เปรียบผู้ประกอบการท้องถิ่น เนื่องด้วยแรงสนับสนับของรัฐบาลจีนที่ให้ทุนผลิตสินค้าจำนวนมากและภาวะเศรษฐกิจจีนชะลอตัวลง จนส่งผลให้สินค้าล้นตลาดนำออกมาเทขายในราคาที่ถูกกว่าตลาดจากการมีต้นทุนการผลิตต่ำ ซึ่งการบุกตีตลาดเอเชียตะวันออกเฉียงก็กระตุ้นให้รัฐบาลในแต่ละประเทศเริ่มขยับตัว เพื่อป้องกันการเสียผลประโยชน์ทางการค้าให้จีนบ้างแล้ว อาทิ

อินโดนีเซีย 

ตั้งแต่ TikTok Shop เปิดตัวในปี 2021 โรงงานสิ่งทอในอินโดนีเซียหลายแห่งเริ่มเลิกจ้างพนักงานเพราะยอดขายลดลงและไม่สามารถแข่งขันกับสินค้าออนไลน์ราคาถูกได้  

ทำให้ในปี 2023 รัฐบาลอินโดนีเซียประกาศ ห้ามทำธุรกรรมอีคอมเมิร์ซผ่านแพลตฟอร์มโซเชียลมีเดีย เช่น TikTok Shop หรือ Facebook เป็นต้น เพื่อปกป้องผู้ประกอบการในประเทศ และสร้างการแข่งขันที่ยุติธรรม 

และในปี 2024 ด้าน Zulkifli Hasan รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการค้าของอินโดนีเซียออกมาประกาศว่ารัฐบาลอาจเรียกเก็บภาษีนำเข้าผ้าสูงถึง 200% นอกจากนี้พิจารณาภาษีนำเข้าสินค้าอื่นๆ เช่น เซรามิก เสื้อผ้า รองเท้า เครื่องสำอาง และเครื่องใช้ไฟฟ้า เพื่อช่วยเหลือผู้ผลิตสิ่งทอในท้องถิ่นและต่อสู้กับสินค้าราคาถูกของจีน

มาเลเซีย 

เมื่อต้นปี 2024 มาเลเซียได้เริ่มเก็บภาษีการขาย 10% สำหรับสินค้าที่นำเข้าจากต่างประเทศที่ต้องซื้อทางออนไลน์และมีราคาต่ำกว่า 500 ริงกิต (3,000 กว่าบาท) เพื่อช่วยให้ธุรกิจในท้องถิ่นสามารถแข่งขันได้ดีขึ้น

เพราะก่อนหน้านี้ สินค้าราคาถูกเหล่านี้ไม่ต้องเสียภาษีการขายและอากรนำเข้าเหมือนกับสินค้าราคาแพงอย่างของแบรนด์เนม การเก็บภาษีสินค้าที่นำเข้าจากต่างประเทศราคาถูกเหล่านี้ทำให้ผู้บริโภคไม่รู้สึกดึงดูดใจที่จะซื้อ ทำให้สินค้าในท้องถิ่นมีโอกาสในตลาดมากขึ้น

ไทย 

นายลวรณ แสงสนิท ปลัดกระทรวงการคลัง เปิดเผยว่า ภายในเดือนพ.ค.นี้ กระทรวงการคลัง จะเริ่มใช้มาตรการการเก็บภาษีมูลค่า 7% สำหรับสินค้าที่นำเข้ามาจากต่างประเทศที่มีมูลค่าต่ำกว่า 1,500 บาท หลังจากที่ผ่านมาได้รับมติจากคณะรัฐมนตรี (ครม.) และจัดทำกฎหมายรายละเอียดเสร็จแล้ว

การจัดเก็บภาษีดังกล่าว จะช่วยสร้างความเป็นธรรมให้แก่ระบบการค้าในประเทศ  ทำให้สินค้าที่ซื้อจากต่างประเทศผ่านแพลตฟอร์มออนไลน์จะต้องเสียภาษีมูลค่าเพิ่ม เหมือนกับสินค้าที่ซื้อจากร้านค้าในไทยทั่วไป

SEA อยากตัดจีนใจจะขาด แต่ก็ยังต้องพึ่งพาต่อไป

จีนนับเป็นแหล่งส่งออกสินค้าสำคัญที่ขับเคลื่อนเศรษฐกิจในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ แต่ขณะเดียวกันก็เป็นปัจจัยที่ทำลายสมดุลเศรษฐกิจท้องถิ่น การผูกขาดจากสินค้าราคาถูกทำให้รัฐบาลต้องออกนโยบายภาษีเพื่อปกป้องผู้ประกอบการ แต่ก็ไม่สามารถกีดกันได้เต็มที่เพราะยังต้องพึ่งพาจีนในหลายด้าน

ด้านรองศาสตราจารย์ ดร.อัทธ์ พิศาลวานิช  ผู้เชี่ยวชาญด้านการค้าระหว่างประเทศ อธิบายว่า เศรษฐกิจของประเทศไทยมากกว่า 15% ต้องพึ่งพาจีน ประเทศไทยได้รับประโยชน์จากนักท่องเที่ยวจีน ขายสินค้าจำนวนมากให้กับจีน และพึ่งพาการลงทุนจากธุรกิจจีนเพื่อสนับสนุนเศรษฐกิจในประเทศ

ตามการคำนวณของนักเศรษฐศาสตร์จาก Goldman Sachs เผยว่า เมื่อปีที่แล้ว เอเชียตะวันออกเฉียงใต้และตลาดเอเชียที่กำลังเติบโตซื้อสินค้าประมาณ 1 ใน 3 ของสินค้าทั้งหมดที่จีนส่งออก 

แม้ว่าตลาดเอเชียตะวันออกเฉียงและตลาดเอเชียที่กำลังเติบโตจะคิดเป็นเพียง 10% ของเศรษฐกิจโลกทั้งหมด แต่ก็รับส่วนแบ่งการส่งออกของจีนไปแล้วถึง 1 ใน 3 ของสินค้าที่จีนส่งออกไปทั่วโลก 

แต่การหลั่งไหลเข้ามาของสินค้าราคาถูกจากจีนสร้างปัญหาให้กับธุรกิจในท้องถิ่น ผู้ประกอบการในท้องถิ่นรู้สึกว่าไม่สามารถแข่งขันกับสินค้าราคาถูกเหล่านี้ได้ ในขณะเดียวกัน เจ้าหน้าที่ของรัฐก็พยายามดึงดูดบริษัทจีนให้ลงทุนในอุตสาหกรรมเทคโนโลยีขั้นสูงในท้องถิ่น

ดังนั้น การรักษาสมดุลของ ‘การออกนโยบายต่อสู้กับสินค้าจีน’ แต่ในขณะเดียวกันก็ต้อง ‘พึ่งพาจีนทางเศรษฐกิจ’ จึงเป็นความท้าทายที่สำคัญของรัฐบาลเอเชียตะวันออกเฉียงใต้

ใครขาดดุลการค้าจีนบ้าง ?

ไทย : ไทยส่งออกสินค้าไปจีนมากที่สุด เป็นอันดับ 2 รองจากสหรัฐฯ แต่ก็นำเข้าสินค้าจากจีนมากที่สุดเช่นกัน นอกจากนี้จีนยังเป็นแหล่งทุนใหญ่ที่ลงทุนในไทยมากที่สุด ในปี 2023 จีนลงทุนในไทยไปว่า 5.5 หมื่นล้านบาท คิดเป็น 34.5% ของเงินลงทุนทั้งหมดในอาเซียน ทว่าการขาดดุลการค้าของไทยกับจีนก็เพิ่มขึ้นเรื่อยๆ ดังนี้

  • 2020 อยู่ที่ประมาณ 20,000 ล้านดอลลาร์สหรัฐ หรือราว 7.09 แสนล้านบาท
  • 2023 ขยับขึ้นไปเป็น 36,600 ล้านดอลลาร์สหรัฐ หรือราว 1.2 ล้านล้านบาท

มาเลเซีย:  การขาดดุลการค้าของมาเลเซียกับจีนก็เพิ่มขึ้นเช่นกัน จาก 3,100 ล้านดอลลาร์สหรัฐ (ราว 1.09 แสนล้านบาท) เป็น 14,200 ล้านดอลลาร์สหรัฐ (ราว 5.03 แสนล้านบาท)

อินโดนีเซีย : อินโดนีเซียทำผลงานได้ดีขึ้น เนื่องจากการส่งออกโลหะไปยังจีนยังคงมีความแข็งแกร่ง ทำให้มีดุลการค้าเกินดุล 2 พันล้านดอลลาร์สหรัฐ (ราว 7 หมื่นล้านบาท) ในปีที่แล้ว แต่ในช่วงครึ่งแรกของปี 2024 อินโดนีเซียก็เผชิญกับการขาดดุลการค้ามูลค่า 5 พันล้านดอลลาร์สหรัฐ (ราว 1.7 แสนล้านบาท) ในสินค้าอื่นๆ กับจีน

การเข้ามาของ Temu และแพลตฟอร์มจีนอื่น ๆ ในภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ได้สร้างแรงกดดันต่อธุรกิจท้องถิ่นที่ไม่สามารถแข่งกับราคาสินค้าที่ถูกกว่าได้ ความท้าทายหลักคือการหาจุดสมดุลระหว่างการคุ้มครองผู้ประกอบการท้องถิ่นและการดึงดูดการลงทุนจากจีน จากการขาดดุลการค้าที่ผ่านมา คุณมองว่าจีนคือโอกาสหรือความเสี่ยงของเศรษฐกิจในอนาคตมากกว่ากัน?

อ้างอิง: asia.nikkei

ลงทะเบียนเข้าสู่ระบบ เพื่ออ่านบทความฟรีไม่จำกัด

No comment

RELATED ARTICLE

Responsive image

NVIDIA เปิดตัว Jetson Orin Nano Super Developer Kit ซูเปอร์คอมพิวเตอร์ AI จิ๋ว เตรียมใช้ในหุ่นยนต์ AI

NVIDIA กำลังก้าวไปในสู่โลกของหุ่นยนต์อย่างเต็ม หลังเมื่อต้นปี 2024 ที่ผ่านมา ได้เปิดตัวของสำคัญหลายอย่างทั้ง Blackwell ชิปกราฟิกประสิทธิภาพสูงสำหรับประมวลผล AI โดยเฉพาะ ไปจนถึง Pro...

Responsive image

Openspace กองทุนแห่ง SEA ตั้งเป้า 2 ปี ลงทุนสตาร์ทอัพไทยไม่ต่ำกว่า 500 ล้านบาท

โอเพ่นสเปซ (Openspace) กองทุนที่ลงทุนในบริษัทสตาร์ทอัพ SEA ประกาศแผนลงทุนในสตาร์ทอัพไทย ส่งเสริมระบบนิเวศสตาร์ทอัพไม่ต่ำกว่า 500 ล้านบาท ในช่วงปี พ.ศ. 2568 - 2569...

Responsive image

ยักษ์ใหญ่ญี่ปุ่นจับมือ! Honda-Nissan เตรียมควบรวมกิจการ

รายงานระบุว่า ทั้งสองบริษัทกำลังพิจารณารวมตัวกันภายใต้บริษัทโฮลดิ้ง ซึ่งคาดว่าจะมีการลงนามข้อตกลงในเร็วๆ นี้ โดยมีแผนจะดึงมิตซูบิชิ มอเตอร์ส ที่นิสสันถือหุ้น 24% เข้ามาร่วมด้วย เพื...