"Smart Learning ที่เราใช้ จะทำยังไงให้คนนำสิ่งที่รู้อยู่แล้ว ไปประยุกต์ใช้ได้ ซึ่งถือเป็น Game Changing ดังนั้น SEAC เราจึงไม่ได้โฟกัสที่ Knowlege แต่โฟกัสที่ Application จึงเป็นที่มาของ 456 SMART Learning Experiences and Solutions"
ดร. สิรยา คงสมพงษ์ ที่ปรึกษาอาวุโส ซีแอค ได้เปิดฉากเล่ากับทาง Techsauce ถึงที่มาที่ไปของ นวัตกรรมการเรียนรู้ SEAC’s SMART Learning รวมถึงเครื่องมือ และหลักสูตรใหม่
ที่ซีแอคพัฒนาขึ้นเพื่อตอกย้ำภารกิจ “Empower Lives Through Learning” พร้อมก้าวสู่การเป็นผู้นำตัวจริง
โดย ดร.สิรยา ยังเล่าต่อไปว่า "ปัจจุบัน ภาพรวมตลาดธุรกิจด้านการพัฒนาศักยภาพบุคลากรและองค์กร (Corporate Training) ของประเทศไทย มีมูลค่ากว่า 20,000 ล้านบาท และมีแนวโน้มที่จะเติบโตขึ้นอย่างต่อเนื่องหลังโควิด-19 ที่ผู้คนพยายาม Reskill ใหม่ๆ ให้กับตัวเอง แต่จากงานวิจัยพบว่ากว่า 75% ของผู้เรียนไม่ได้รู้สึกว่าการเข้าฝึกอบรมมีประสิทธิภาพจริง และกว่า 88% ของผู้เข้าเรียนไม่สามารถนำความรู้ไปปรับใช้ในการทำงานได้ ซึ่งถือเป็นจำนวนที่มาก หากเทียบกับตัวเลขผู้เข้าเรียนและเม็ดเงินที่ผู้คนได้ใช้จ่ายให้กับอุตสาหกรรมนี้"
และด้วยเหตุนี้เอง SEAC จึงได้คิดค้นนวัตกรรม “SEAC’s Smart Learning” ซึ่งประกอบไปด้วย 4Line Learning, 5Phase Development และ 6 Learning Labs ที่ถือเป็นจุดเด่นของโปรแกรมนี้คือ การจับทุก Pain Point ของการเรียนรูปแบบเก่ามาปรับใหม่ โดยยึดผู้เรียนเป็นศูนย์กลางมากขึ้น เน้นผลลัพธ์ที่นำไปปรับใช้ได้จริง ด้วยวิธีการเรียนที่ยืดหยุ่นสำหรับแต่ละบุคคล เน้นการเชื่อมโยงให้ผู้เรียนเห็นว่าจะนำความรู้ไปใช้พัฒนางานต่อได้อย่างไร เห็นคุณค่าของการเรียนและการปรับใช้
ตลอดจนสามารถติดตาม และวัดผลการพัฒนาเชิงพฤติกรรมได้อย่างเป็นรูปธรรม ด้วยเครื่องมือ นวัตกรรม แนวทางการเรียนรู้ และสังคมแห่งการเรียนรู้ (Learning Community) ที่สามารถแลกเปลี่ยนประสบการณ์ ต่อยอดและแบ่งปันความคิดของกันและกัน ที่ช่วยให้ผู้เรียนสนุก มีส่วนร่วม เรียนได้อย่างต่อเนื่อง และนำไปใช้ได้จริง
สิ่งที่เรากำลังทำ ไม่ใช่แค่ Growth หรือ Productivity แต่คือ Impact ที่จะเกิดขึ้น
ส่วนทางด้าน คุณอริญญา เถลิงศรี กรรมการผู้จัดการและผู้ก่อตั้ง ซีแอค (SEAC) เผยว่า หากจะตอบวัตถุประสงค์ในการสร้างประสบการณ์การเรียนรู้ที่ผู้เรียนสามารถมีส่วนร่วมได้อย่างทั่วถึง และสามารถนำไปประยุกต์ใช้ได้จริงกับสถานการณ์ของแต่ละบุคคล SEAC เชื่อว่าการลงพื้นที่ปฏิบัติจริงตั้งแต่อยู่ในหลักสูตรคือหนทางหนึ่งที่จะทำให้จุดมุ่งหมายดังกล่าวเกิดขึ้นจริงได้
ดังนั้นจึงได้พัฒนาสิ่งที่เรียกว่า ‘6 Learning Labs’ ซึ่งหมายถึงพื้นที่แห่งการลงมือปฏิบัติจริง ร่วมกับผู้เรียนคนอื่น ๆ ประกอบไปด้วย Unpacking – แล็บที่จะช่วยให้ผู้เรียนทบทวนและเข้าใจเนื้อหา เครื่องมือ และโมเดลที่เรียนมาในเชิงลึกและประยุกต์ใช้ได้ S.T.A.R.2 Application & Reflection - การตั้งเป้าหมาย กำหนดวิธีการลงมือ และเรียนรู้ผ่านการลงมือทำ โดยใช้โมเดล S.T.A.R.2 (Situation, Try, Actions, Result & Reflect) Skills Practice - สนามฝึกซ้อมทักษะ สร้างความมั่นใจก่อนลงมือใช้จริง เน้นการฝึกฝนเพิ่มเติมเกี่ยวกับหัวข้อหรือการใช้เครื่องมือต่างๆ
Coaching – ผู้เชี่ยวชาญให้เครื่องมือ และสนับสนุนผู้เรียนให้บรรลุเป้าหมายที่ตั้งไว้ เพื่อติดตามความคืบหน้าของเป้าหมายที่โค้ชและผู้เรียนตั้งไว้ร่วมกัน Impact Presentations - แล็บที่จะให้ประยุกต์ใช้สิ่งที่ได้เรียนกับงานจริงผ่านโปรเจ็กต์การเรียนรู้ แล้วกลับมานำเสนอผลลัพธ์ที่ดีที่เกิดขึ้น รวมถึงเครื่องมือที่ใช้ เป็นการสะท้อนถึงผลลัพธ์ที่ได้จากการเรียนรู้ และการลงมือทำจริงของผู้เรียน Communities of Practice – การแลกเปลี่ยนความรู้ทักษะ และประสบการณ์ เพื่อหาแนวทางปฏิบัติที่สร้างการเปลี่ยนแปลงที่ยั่งยืนร่วมกันในชุมชนแห่งการเรียนรู้
เพราะในโลกยุคใหม่ การตั้งโจทย์เพื่อออกแบบหลักสูตรให้คนสามารถนำสิ่งที่เรียนไปประยุกต์ใช้ได้จริง จะไม่ใช่แค่ ‘ใคร - เรียนอะไร – ได้ข้อสรุปอย่างไร’ แต่จะเป็นการเริ่มต้นจาก ‘เรียนอะไร – เรียนอย่างไร – แล้วจะนำไปใช้ได้อย่างไร’ ผู้เรียนจะต้องเข้าใจมีความเชื่อมั่นว่าการเข้าเรียนจะทำให้ตนเองได้รับผลลัพธ์ที่ดี มีการสำรวจพฤติกรรม เพื่อตั้งเป้าที่จะพัฒนาตนเองให้ก้าวหน้าขึ้นไปอีกระดับ ผ่านการแบ่งปันและเรียนรู้ร่วมกันใน Community นำไปสู่การสร้างกรอบความคิดและทักษะที่เชื่อมโยงเนื้อหาต่าง ๆ เข้ากับบริบทของตัวผู้เรียน ทำให้เกิดผลลัพธ์ที่ดีต่อชีวิตประจำวันและชีวิตการทำงานอย่างเป็นรูปธรรม
โดยทาง SEAC ได้นำเครื่องมืออย่าง ‘4 Lines’ มาใช้เพื่อสร้างผลลัพธ์ได้อย่างมีประสิทธิภาพ ไม่ว่าจะเรียนรู้เมื่อไร อย่างไร และที่ไหนก็ตาม ได้แก่ OnLine – เรียนรู้ทฤษฎีได้ทุกที่ทุกเวลาบนแพลตฟอร์มออนไลน์, InLine - เรียนจริง ปฏิบัติจริงกับโค้ชตัวจริง ร่วมกับเพื่อน ๆ คนอื่น เพื่อเชื่อมโยงเนื้อหาที่ได้รับเข้ากับสถานการณ์จริง, FrontLine – เรียนรู้ผ่านเครื่องมือ และคอมมูนิตี้เพื่อการประยุกต์ในชีวิตจริง, BeeLine - คอมมูนิตี้ต่อยอดการเรียนรู้ หรือพื้นที่สำหรับมาแชร์ประสบการณ์
และผลลัพธ์จากการนำสิ่งที่เรียนไปต่อยอดการเรียนรู้ให้กันและกัน ซึ่งเรากำลัง Reframe เครื่องมือและกระบวนทัศน์ต่าง ๆ ร่วมกับ Partners เพื่อมุ่งสู่เป็นแหล่งรวมการเรียนรู้อันชาญฉลาด หรือ “SMART LEARNING RESOURCES” ที่ตอบโจทย์ความต้องการที่หลากหลายของผู้เรียนได้อย่างสมบูรณ์
ด้านมิสเตอร์ เจมส์ เอนเกล (James R. Engel) Chief Learning Architect, SEAC ได้เน้นย้ำหัวใจในการออกแบบ และสร้างการเรียนรู้ที่นำไปสู่ผลลัพธ์การปรับใช้ได้จริงว่า ที่ผ่านมา SEAC มีผู้เข้าร่วมอบรมกว่า 2 ล้านคน สร้างอัตราความสำเร็จหลักสูตรได้ถึง 77% และ 95% ของผู้เรียนกล่าวว่าสามารถนำความรู้ และทักษะออกไปใช้สร้างความเปลี่ยนแปลงได้จริง
ทั้งนี้ SEAC ยังคงมุ่งมั่นที่จะยกระดับคุณภาพชีวิตของผู้คนผ่านการเรียนรู้ที่นำไปปรับใช้ได้จริง (Empower Lives Through Learning) โดย SEAC's Smart Learning จะเป็นโซลูชั่นที่อำนวยความสะดวกให้ผู้เรียนสามารถสร้างความเปลี่ยนแปลงในเชิงบวกตั้งแต่ฐานรากของชีวิต ไปจนถึงระดับองค์กรได้ โดยมีตัวชี้วัดเป็น 6 องค์ประกอบสำคัญ ได้แก่
“เราต่างรู้กันดีว่าการเรียนรู้รูปแบบเดิมนั้นอาจไม่สามารถนำไปสู่การปรับใช้ได้อย่างแท้จริง และในอนาคตอันใกล้เป็นไปได้สูงที่ AI จะมีบทบาทในการเป็นผู้ช่วยใช้ชีวิตของพวกเราทุกคนมากยิ่งขึ้น เราจะพัฒนาตนเองเพื่อเตรียมพร้อมรับมือและคว้าโอกาสใหม่ ๆ อย่างชาญฉลาด หรือจะปล่อยให้สิ่งต่าง ๆ พาให้เราถอยหลังไม่ทันโลก หัวใจสำคัญในการพัฒนาคนและองค์กรสำหรับโลกยุคนี้ คือ รูปแบบและวิธีการเรียนรู้ที่ทำให้ผู้เรียนนำไปปรับใช้ได้จริง และสร้างการเปลี่ยนแปลงเชิงบวกให้กับการทำงานและการใช้ชีวิตได้อย่างยั่งยืน”
ทั้งหมดนี้สะท้อนให้เห็นว่าในปัจจุบันโลกได้มีการเปลี่ยนผ่านเข้าสู่ยุคดิจิทัล และเทคโนโลยีที่ได้รับการพัฒนาอย่างก้าวกระโดดทำให้หมุนเร็วอย่างฉุดรั้งไม่อยู่ สังคมจึงจำเป็นต้องเรียนรู้ที่จะปรับตัวให้สอดคล้องกับบริบทที่เปลี่ยนแปลงไปในหลากหลายมิติ ทั้งการเรียน การใช้ชีวิต และการทำงาน ความรู้ และทักษะที่สำคัญในยุคหนึ่ง อาจไม่สามารถนำมาประยุกต์ใช้ได้อีกต่อไป
และยิ่งมีอายุการใช้งานสั้นลง คนจำนวนมากจึงต้องกระตุ้นพัฒนาความรู้ และทักษะในการทำงานและการใช้ชีวิตให้ขยับเท่าทันการเปลี่ยนแปลงที่เกิดขึ้นได้ เพื่อความอยู่รอดของตัวเอง และองค์กรที่สังกัด ผ่านการเรียนรู้จากการรับข่าวสารข้อมูลจากหลากหลายช่องทาง รวมทั้งการเข้าอบรมหลักสูตรจากผู้เชี่ยวชาญตามสถาบันต่างๆ
แต่กระนั้นเองด้วยข้อจำกัด และศักยภาพพื้นฐาน ประกอบกับรูปแบบการสอนที่เน้นหลักทฤษฎีนั้น อาจไม่ตอบโจทย์ความต้องการของทุกคนได้อย่างแท้จริง ทำให้กว่า 88% ของผู้เรียนไม่สามารถนำความรู้ไปใช้ประโยชน์ในชีวิตประจำวันได้ นำไปสู่การสูญสิ้นความเชื่อมั่นในการพัฒนาตนเอง จนกลายเป็นปัญหาที่ไม่ได้รับการแก้ไขอย่างเป็นรูปธรรมนั่นเอง จึงเป็นเหตุผลท่ีว่าทำไม เราจึงต้องเริ่มตั้งแต่ยังไม่เรียน และเน้นผลลัพธ์ที่นำไปใช้ได้จริง โดยจะต้องไม่ใช่แค่ ‘ใคร - เรียนอะไร – ได้ข้อสรุปอย่างไร’ แต่จะเป็นการเริ่มต้นจาก ‘เรียนอะไร – เรียนอย่างไร – แล้วจะนำไปใช้ได้อย่างไร’ ที่จะนำไปสู่ 'จุดหมาย' ของการเรียนในโลกยุคใหม่ ที่นำไปใช้ได้อย่างแท้จริงนั่นเอง...
ลงทะเบียนเข้าสู่ระบบ เพื่ออ่านบทความฟรีไม่จำกัด