ก่อนจะถึง COP27 มาทบทวนคำมั่นสัญญาของผู้นำไทย คืบหน้าแค่ไหนเรื่อง ‘ลดการปล่อยคาร์บอน’ | Techsauce

ก่อนจะถึง COP27 มาทบทวนคำมั่นสัญญาของผู้นำไทย คืบหน้าแค่ไหนเรื่อง ‘ลดการปล่อยคาร์บอน’

ปฏิเสธไม่ได้แล้วว่า ชาวโลกเจอภัยพิบัติรุนแรงขึ้น ถี่ขึ้น และแปรปรวนยิ่งขึ้น อันเป็นผลมาจากกิจกรรม/กิจการของทุกภาคส่วนบนโลกที่ส่งผลให้มีคาร์บอนสะสมมายาวนาน จึงเกิดความร่วมมือ ‘ลดการปล่อยคาร์บอน’ จาก 190 ประเทศทั่วโลก เพื่อบรรลุเป้าหมาย ความเป็นกลางทางคาร์บอน (Carbon Neutrality) ภายในปี 2050 (พ.ศ. 2593) และ คาร์บอนสุทธิเป็นศูนย์ (Net-zero Carbon) ทั้งยังมี การประชุมสหประชาชาติว่าด้วยการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ หรือ COP (Conference of the Parties) ทุกปี ซึ่งปีนี้เข้าสู่การประชุมครั้งที่ 27 เรียกว่า COP27

ก่อนจะถึง COP27 มาทบทวนคำมั่นสัญญาของผู้นำไทย คืบหน้าแค่ไหนเรื่อง ‘ลดการปล่อยคาร์บอน’

ทำความรู้จัก CASE โครงการพลังงานสะอาดในอาเซียน

โครงการ CASE (Clean Affordable Secure Energy for Southeast Asia) คือ โครงการพลังงานสะอาด เข้าถึงได้ และมั่นคงสำหรับภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ มีเป้าหมายในการขับเคลื่อนการเปลี่ยนแปลงของภาคพลังงานในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ เพื่อมุ่งสู่การบรรเทาการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศใน 4 ประเทศที่มีประชากรมากที่สุดในภูมิภาค ได้แก่ อินโดนีเซีย เวียดนาม ไทย และฟิลิปปินส์

เนื่องจากทั้ง 4 ประเทศ มีการผลิตไฟฟ้าโดยรวมเกือบ 3 ใน 4 ของการผลิตไฟฟ้าทั้งหมดในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ หรืออยู่ที่ราว 72% ของ GDP ภูมิภาค และ 82% ของประชากรทั้งหมด การเปลี่ยนผ่านการใช้พลังงานและลดการปล่อยคาร์บอนให้ได้ตามเป้า COP โดยไม่ต้องจ่ายแพงและคำนึงถึงประโยชน์ของประเทศอีกหลากหลายด้าน ด้วยแผนงานและความคืบหน้าแตกต่างกันไป

จาก COP26 สู่ COP27: เดินหน้าภาคพลังงานสู่ความเป็นกลางทางคาร์บอน 2050

ผลการศึกษาโดย CASE ชี้ว่า แผนพลังงานและนโยบายที่ไทยมีในปัจจุบันยังไม่เพียงพอ สำหรับการบรรลุความเป็นกลางทางคาร์บอนในภาคพลังงานได้ จึงเสนอภาครัฐ ผู้กำหนดนโยบาย พิจารณาเส้นทางไปสู่ความเป็นกลางทางคาร์บอน ว่าต้องอาศัยเป้าหมายการลดคาร์บอนที่เข้มข้นขึ้น โดยเฉพาะภาคการผลิตไฟฟ้า ภาคอุตสาหกรรม และภาคขนส่ง

งานเสวนาสาธารณะ "จาก COP26 สู่ COP27: เดินหน้าภาคพลังงานสู่ความเป็นกลางทางคาร์บอน 2050" ซึ่งจัดขึ้นโดย องค์กรความร่วมมือระหว่างประเทศของเยอรมัน (GIZ), กระทรวงเศรษฐกิจ และการดำเนินการด้านสภาพภูมิอากาศแห่งรัฐบาลเยอรมัน (BMWK), สถาบันวิจัยพลังงาน จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย (ERI) และสถาบันวิจัยเพื่อการพัฒนาประเทศไทย (TDRI)  ณ โรงแรม แกรนด์ ไฮแอท เอราวัณ เมื่อวันที่ 2 พฤศจิกายน มีเวทีเสวนา “ทบทวนคำสัญญาผู้นำไทยกับความเป็นไปได้สู่เวที COP27” ซึ่งมีตัวแทนจากทุกภาคส่วนที่เข้าร่วมแลกเปลี่ยนมุมมอง อภิปรายความคืบหน้า และนำเสนอบางประเด็นเพื่อบรรลุเป้าหมาย ความเป็นกลางทางคาร์บอน จากคำมั่นสัญญาที่ผู้นำไทยให้ไว้ใน COP26 ก่อนไปสู่ COP27 ที่กำลังจะถึง ได้แก่ 

  • คุณจิรวัฒน์ ระติสุนทร 
    รองเลขาธิการสำนักงานนโยบายและแผนทรัพยากรธรรมชาติสิ่งแวดล้อม (สผ.) 
  • คุณอาทิตย์ เวชกิจ 
    รองประธานกลุ่มอุตสาหกรรมพลังงานหมุนเวียน สภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย
  • ศ.ดร. พรายพล คุ้มทรัพย์ 
    นักวิชาการด้านพลังงาน
  • คุณสฤณี อาชวานันทกุล 
    กรรมการผู้จัดการ ด้านการพัฒนาความรู้ บริษัท ป่าสาละ จำกัด

ที่มากล่าวถึงหนทางและข้อเสนอแนะสู่ความเป็นกลางทางคาร์บอน ในมิติที่แตกต่างกัน ดังนี้ 

คุณจิรวัฒน์ ระติสุนทร ระบุถึงความคืบหน้าจากการดำเนินงานของภาครัฐในการปฏิบัติตามคำมั่นที่ผู้นำไทยให้ไว้ในการประชุม COP26 ว่า ประเทศไทยมีมาตรการขับเคลื่อนการดำเนินงานลดก๊าซเรือนกระจกที่เหมาะสมกับภาคการปล่อยคาร์บอนจาก 4 แหล่ง ได้แก่ 1) ภาคพลังงาน/ขนส่ง 2) ภาคอุตสาหกรรม 3) ของเสีย และ 4) ภาคเกษตร ขณะเดียวกัน ภาคที่ช่วยดูดซับคือ ภาคป่าไม้ ซึ่งมีความท้าทายอยู่มาก เนื่องจากภาคป่าไม้มีศักยภาพในการดูดซับคาร์บอนได้น้อยกว่าการปล่อยคาร์บอนจากทั้ง 4 แหล่ง ดังนั้น แม้ภาครัฐวาง Roadmap ในการใช้เทคโนโลยีและมาตรการลดการปล่อยคาร์บอนเพื่อให้ทันกับกรอบเวลาที่กำหนดเอาไว้ แต่ในช่วงเวลาที่ผ่านมา แม้มีความคืบหน้าแต่ก็ยังไม่เป็นไปตามแผน

“ขณะนี้ประเทศไทยคืบหน้าไปแล้วหลายด้าน ทั้งด้านนโยบาย การกำกับดูแล ซึ่งได้บรรจุมาตรการที่เกี่ยวข้องกับเป้าหมายลงในแผนยุทธศาสตร์ชาติ แผนแม่บทที่เกี่ยวข้อง รวมทั้งแผนพลังงานชาติ รวมทั้งอยู่ระหว่างการยกร่าง พ.ร.บ.การเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ ที่จะทำให้หลายเรื่องคืบหน้าในทางปฏิบัติ เช่น การทำคาร์บอนเครดิต กลไกทางการเงิน ภาษีคาร์บอน”

คุณอาทิตย์ เวชกิจ กล่าวว่า ภาคเอกชนมีความตระหนักและให้ความสำคัญอย่างมากต่อเป้าหมายลดการปล่อยคาร์บอน เนื่องจากภาคเอกชนเป็นกลุ่มที่ได้รับผลกระทบโดยตรงหากประเทศไทยไม่สามารถลดการปล่อยคาร์บอนได้ กล่าวคือ ไม่มีความคืบหน้าหรือขาดความชัดเจนต่อเป้าหมายการลดการปล่อยคาร์บอน จะส่งผลให้นักลงทุนปรับลดการผลิต ไปจนถึงย้ายฐานการผลิต 

คุณอาทิตย์กล่าวต่อว่า ที่ผ่านมา ภาคเอกชนลงทุนและเดินหน้าเพื่อลดการปล่อยคาร์บอนแล้ว เพราะเป้าหมายของประเทศคือ ปี 2050 ซึ่งถือว่าช้าเกินไปสำหรับการทำธุรกิจ ปัจจุบันจึงเร่งเดินหน้าและวางเป้าในระยะสั้นกว่ามาก โดยสิ่งที่ต้องการจากภาครัฐ คือ 1) ความชัดเจนและการสื่อสารที่ถูกต้อง โดยเฉพาะข้อมูลเกี่ยวกับสัดส่วนพลังงานสะอาดของประเทศ เพื่อให้มีข้อมูลที่ถูกต้องและช่วยกันขับเคลื่อนไปสู่เป้าหมายการลดการปล่อยคาร์บอนได้จริง 

2) การหนุน Grid Modernization หรือการปรับปรุงพัฒนาระบบผลิตไฟฟ้า ระบบส่งไฟฟ้า และระบบจำหน่ายไฟฟ้า โดยอาศัยเทคโนโลยีที่ทันสมัยและมีสัดส่วนพลังงานสะอาดมากขึ้น เพื่อช่วยภาคเอกชนลดก๊าซเรือนกระจกที่มีการปล่อยทางอ้อมผ่านระบบไฟฟ้าเพราะฝั่งเอกชนไม่สามารถลดได้เอง 

และ 3) เสนอให้บริหารจัดการโควต้าการดูดซับคาร์บอนที่ครอบคลุมไปถึงกลุ่มเกษตรกรและผู้ประกอบธุรกิจรายเล็ก เช่น การทำเรื่อง Green Finance ที่ปัจจุบันมีธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) เข้ามาช่วยดูแล ทำให้เอสเอ็มอีสามารถเข้าถึงได้ 

คุณสฤณี อาชวานันทกุล แสดงความคิดเห็นเรื่อง คาร์บอนเครดิต ว่าการเดินหน้าคาร์บอนเครดิตเป็นความคืบหน้าที่ดี แต่สำหรับประเทศไทยควรทำเป็น ‘กลไกเสริม’ ไม่ใช่กลไกหลัก และระมัดระวังไม่ให้กลายเป็น Green Washing หรือ การฟอกเขียว โดยประเทศไทยควรเน้น ‘นโยบายด้านการปรับตัวรับความเปลี่ยนแปลงทางภูมิอากาศ’ และ ‘การลดผลกระทบจากการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ’ เป็นหลัก 

เนื่องจากสัดส่วนการปล่อยคาร์บอนของไทยอยู่ที่ประมาณ 1% สิ่งที่น่ากังวลคือ ไทยอยู่ในกลุ่มประเทศที่มีความเปราะบางต่อผลกระทบ จากสภาพภูมิอากาศเปลี่ยนแปลงติด 1 ใน 10 ของโลก ประเทศไทยจึงควรเน้นวางนโยบายเพื่อการปรับตัว และบรรเทาผลกระทบเพื่อช่วยลดความสูญเสีย ที่อาจเกิดขึ้นกับประชาชน ร่วมกับการลดความเหลื่อมล้ำ

นอกจากนี้ ควรส่งเสริมการเปลี่ยนผ่านที่เป็นธรรม (just transition) ด้วยการปฏิรูปโครงสร้างการจัดการพลังงาน หนุนการผลิตไฟฟ้ากระจายศูนย์ โดยให้ประชาชนได้เป็นทั้ง ผู้ใช้และผู้ผลิตไฟฟ้า (Prosumer) เพื่อความมั่นคงทางพลังงานและราคาที่เป็นธรรม

ศ.ดร.พรายพล คุ้มทรัพย์ แสดงความเห็นต่อแผน PDP ที่ควรต้องมีการแก้ไขด้วยการ 1) เพิ่มสัดส่วนการผลิตไฟฟ้าจากพลังงานสะอาดให้มากกว่า 50% และแสดงความกังวลต่อสัดส่วนการใช้พลังงานฟอสซิลที่ยังสูงถึง 57% โดยเสนอให้มีการจำกัดการปล่อยคาร์บอนในภาคอุตสาหกรรมให้ชัดเจนโดยเร็ว 2) สำหรับภาคขนส่ง ควรมีนโยบายส่งเสริมการใช้ยานยนต์ไฟฟ้าทั้งแบบมีและไม่มีเงื่อนไขการผลิตอีวีในประเทศ เพื่อเร่งให้เกิดการใช้งานยานยนต์ไฟฟ้ามากขึ้น รวมทั้ง 3) เร่งสร้างทางรถไฟรางคู่เพื่อการขนส่งด้วยรถบรรทุกทางถนน 

นอกจากนี้ ศ.ดร.พรายพลกล่าวเพิ่มเติมว่า เห็นด้วยกับข้อเสนอนโยบายส่งเสริม Prosumer เพื่อทำให้เกิดการเปลี่ยนผ่านที่เป็นธรรม โดยรัฐบาลควรทำอย่างจริงจังและต่อเนื่อง เพราะเมื่อเทียบกับอดีตที่จูงใจด้วยราคารับซื้อไฟหน่วยละ 6 บาท แต่ปัจจุบันลดลงมาเหลือเพียง 2 บาทกว่าเท่านั้น 

ข้อเสนอส่งท้ายถึง สผ. และหน่วยงานภาครัฐที่เกี่ยวข้องกับ COP27 

เพื่อรักษาคำมั่นสัญญาในการพาประเทศไทยไปสู่เป้าหมาย Carbon Neutrality 2050 พร้อมปรับนโยบายให้เหมาะกับศักยภาพและผลกระทบต่อประเทศไทย สำนักงานนโยบายและแผนทรัพยากรธรรมชาติสิ่งแวดล้อม (สผ.) หน่วยงานภาครัฐที่มีหน้าที่รายงานความคืบหน้าและตอบรับข้อเสนอ 

ศ.ดร.พรายพล คุ้มทรัพย์ ระบุว่า ประเทศไทยไม่ควรขยับเป้าหมายความเป็นกลางทางคาร์บอนและคาร์บอนสุทธิเป็นศูนย์ให้เร็วขึ้นหรือช้าลงกว่าเดิม สิ่งที่ต้องทำคือ ควรให้คำมั่นในสิ่งที่ยังไม่ได้ทำ นั่นคือ คำมั่นเรื่องยกเลิกการใช้ถ่านหิน และการให้ความชัดเจนเรื่องเพิ่มสัดส่วนการผลิตไฟฟ้าจากพลังงานสะอาดให้มากขึ้น

คุณอาทิตย์ เวชกิจ แสดงความเห็นว่า ประเทศไทยควร 1) แก้ไขแผน PDP 2) ลดการใช้ฟอสซิลลงอีก และ 3) สัดส่วนการผลิตพลังงานสะอาดควรไปถึง 70% ซึ่งในประเด็นสุดท้ายยังส่งผลกระทบอีกหลายด้าน หนึ่งในนั้นคือ ความพยายามในการส่งเสริมการใช้ยานยนต์ไฟฟ้า เพราะหากการผลิตไฟฟ้ายังไม่ใช่พลังงานสะอาด นโยบายส่งเสริมการใช้ยานยนต์ไฟฟ้าพลังงานสะอาดย่อมไม่สมบูรณ์ และนอกจากนี้ รัฐบาลต้องสนับสนุนให้ประชาชนเป็น Prosumer ในด้านการผลิตไฟฟ้าอย่างเป็นรูปธรรมมากขึ้น ไม่ใช่การกำกับแบบ ‘คุมกำเนิด’ แบบที่ดำเนินการอยู่ในปัจจุบัน 

คุณสฤณี อาชวานันทกุล กล่าวถึงบทบาทของไทยในเวที COP27 ว่า ไทยควรแสดงจุดยืนต่อประชาคมในด้านความเปราะบางสืบเนื่องจากผลกระทบของการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ เพราะเมื่อเทียบกับกลุ่มประเทศพัฒนาแล้ว ไทยไม่ได้ปล่อยคาร์บอนมาก อย่างประเทศเหล่านั้น ไทยจึงควรร่วมมือกับกลุ่มประเทศที่มีความเปราะบาง เพื่อต่อรอง เจรจาเพื่อรับการสนับสนุนจากกลุ่มประเทศพัฒนาแล้ว 

ปิดท้ายที่ คุณจิรวัฒน์ ระติสุนทร ตัวแทนภาครัฐซึ่งจะเดินทางไปร่วมการประชุม COP27 ที่ประเทศอียิปต์ ระบุว่า นอกจากจะไปนำเสนอความคืบหน้าว่า ไทยดำเนินการไปมากเพียงใดเพื่อไปสู่เป้าหมายดังกล่าว ยังตั้งใจที่จะไปแสวงหาความร่วมมือใหม่ๆ จากนานาชาติ รวมทั้งการแลกเปลี่ยนความรู้เกี่ยวกับภาษีคาร์บอน กลไกทางการเงิน เพื่อนำมาปรับปรุงร่าง พ.ร.บ. การเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ และจะนำข้อเสนอแนะจากการเสวนาครั้งนี้ไปเพิ่มเติม ปรับปรุงการจัดทำนโยบายและการดำเนินงานเพื่อให้ไทยบรรลุเป้าหมายความเป็นกลางทางคาร์บอน และคาร์บอนสุทธิเป็นศูนย์ ได้ตามแผน

ลงทะเบียนเข้าสู่ระบบ เพื่ออ่านบทความฟรีไม่จำกัด

No comment

RELATED ARTICLE

Responsive image

10 Tech Event ในเอเชีย ที่สายเทคฯ ธุรกิจ ไม่ควรพลาด ปี 2024

เพราะเทคโนโลยีไม่เคยหยุดนิ่ง องค์กรจึงต้องหมั่นอัปเดตเทรนด์ความรู้ใหม่ ๆ วันนี้ Techsauce คัดสรร 10 งานประชุมเทคโนโลยีระดับเอเชีย ที่สายเทคไม่ควรพลาดในปี 2024 รวมไว้ในบทความเดียวก...

Responsive image

SCBX ไตรมาส 1 ปี 67 กำไร 11,281 ล้านบาท เตรียมลุย 'Virtual Bank' พร้อมก้าวสู่องค์กร AI-First Organization

บริษัท เอสซีบี เอกซ์ จำกัด (มหาชน) มีกำไรสุทธิในไตรมาส 1 ของปี 2567 จำนวน 11,281 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 2.6% จากปีก่อน...

Responsive image

เปิดตัว Meta AI ใหม่ ถามได้ทุกเรื่อง สร้างภาพได้ทุกอย่าง ใช้ได้ทุกแอปฯ​ โซเชียลของ Meta

สำหรับ Meta AI เป็นแชทบอทที่เคยเปิดตัวให้เห็นครั้งแรกในงาน Connect 2023 ขับเคลื่อนด้วยโมเดลภาษาขนาดใหญ่ (LLM) อย่าง Llama 2 แต่ล่าสุดได้มีการอัปเกรดไปใช้โมเดลภาษาใหม่ Llama 3...