เป็นเวลากว่า 2 เดือนที่ห้างสรรพสินค้าในเครือสยามพิวรรธน์ ถูกปิดตามมาตรการ lock down ของภาครัฐ คุณชฎาทิพ จูตระกูล ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร กลุ่มบริษัท สยามพิวรรธน์ เปิดเผยว่า ศูนย์การค้าเหมือนบ้านหลังที่สอง ที่สร้างความสุขให้ลูกค้า วันนี้สยามพิวรรธน์พร้อมนำยิ้มสยามกลับมาสู่ลูกค้า และอนาคตคือนักท่องเที่ยวทั่วโลก
ที่ผ่านมาประเทศไทยเจอกับหลายวิกฤตไม่ว่าจะเป็นทั้งสถานการณ์ทางการเมือง หรือวิกฤตเศรษฐกิจ หลายครั้งต้องเจอกับการขาดรายได้ และนี่เป็นอีกครั้ง ที่ไม่ใช่วิกฤตของแค่คนไทย แต่เป็นของคนทั้งโลก “COVID เหมือนการสู้กับสงครามที่เรามองไม่เห็น ทุกวันไม่รู้ว่าจะเกิดอะไรขึ้นกับใคร แต่ทุกครั้งที่เจอวิกฤต เราจะสามารถลุกขึ้นมา และเราจะแข็งแรงกว่าเดิม”
คุณชฎาทิพ เผยว่า สยามพิวรรธน์เป็นผู้เชี่ยวชาญด้านการจัดการวิกฤต ก่อนหน้านี้ศูนย์การค้าในเครือสยามพิวรรธน์ได้ออกมาตรการป้องกันการติดเชื้อก่อนมีมาตรการ lock down โดยมีการ ประเมินสถานการณ์รายวัน สร้าง Senario ทั้งเบาที่สุดและเลวร้ายที่สุด ถ้าเกิดแบบไหน จะได้มีแผนรองรับ โดยสิ่งสำคัญในการแก้วิกฤตคือความเร็วและการสื่อสาร
ความเร็วคือกุญแจในการจัดการวิกฤต (Speed is the key) : สยามพิวรรธน์มีการจัดการที่รวดเร็ว
Communication หรือการสื่อสาร สำคัญมาก และต้องฉับไวมาก ต้องแก้สถานการณ์ ต้องให้ความหวังความมั่นใจ ทั้งแก่ผู้เช่า และพนักงานในองค์กร โดยสามสิ่งที่คุณชฎาทิพให้ความสำคัญตลอดมาคือ พนักงาน ร้านค้า และลูกค้า
“พนักงานสยามพิวรรธน์ 3000 คน ไม่มีใครติดโควิด ลูกค้าไม่ติดเลย ร้านค้าไม่ติด มาตรการที่เรามีวันนี้คงไม่ต้องเปิดเผยมาก เพราะมีข้อพิสูจน์ 100% ว่าเราจัดการได้”
การบริหารงานของสยามพิวรรธน์ที่ผ่านมา จะมีการแบ่งทีมงานออกเป็น 3 ทีม คือ
ทีมที่จะสื่อสารกับภายนอก ทั้งร้านค้า ลูกค้า มีผู้บริหารจัดการได้ฉับไว แก้ปัญหากันรายวัน
ทีมที่สองคือแก้ปัญหาขององค์กรปัจจุบัน ว่าแต่ละวันมีปัญหาอะไรเกิดขึ้นบ้าง เช่นเรื่องการ work form home ขอบคุณผู้บริหารทุกคนที่ร่วมมือเต็มที่
ทีมสุดท้ายคือ ทีมผู้บริหารและคนรุ่นใหม่ เรียกว่า Next Gen Leader คือทีมที่จะคิดไปข้างหน้าว่าหลัง COVID-19 จะเป็นอย่างไร จะทำอะไรให้กับลูกค้า
“เรามองไปข้างหน้าว่า อีกประมาณ 1 ปี จะมีการเปลี่ยนอะไรบ้าง โดยสยามพิวรรธน์มีอะไรนำเสนอก่อนใครเสมอ เพื่อตอบรับชีวิตใหม่ Life after Covid ไม่สามารถจะบอกได้ 100% ว่ามีอะไร แต่เราต้องเตรียมความพร้อม”
คุณชฎาทิพเผยว่า พฤติกรรมของคนมี 3 รูปแบบ คือ
ความกลัว เพราะกำลังเจอสิ่งที่ไม่เคย สิ่งแรกที่ต้องจัดการคือการบริหารความกลัวให้บรรเทาลง ซึ่งคุณชฎาทิพเผยว่า สยามพิวรรธน์ทำเต็มที่ ดูแลลูกค้าตั้งแต่ก่อนปิดห้างและกล้ารับประกันว่า “กลับมาแล้วดีแน่”
“ดังนั้นในวันนี้เราหวังว่า เราหวังว่าจะได้รับอนุญาตให้เปิดศูนย์การค้าในวันที่ 17 พ.ค. นี้ และขอบคุณคนไทยทั้งประเทศที่ทำให้เรากลับมาดำเนินธุรกิจอีกครั้งหนึ่ง”
คุณชฎาทิพมองว่า พฤติกรรมใหม่ที่เกิดขึ้นจะต้องถูกจับตาไปอีกนาน ทั้งเรื่อง Social Distancing จะต้องคงอยู่และยืดเยื้อต่อไป แต่เมื่อเจอวิกฤตถึงจุดหนึ่ง COVID-19 มาเพื่อ Reset ทุกอย่าง
สิ่งสำคัญคือการ รีเซ็ต Mindset ของคนในการดำรงชีวิตอยู่ ถ้าปรับตัวสำเร็จ คือความสำเร็จของชีวิต ต้องทำใจยอมรับอย่างมีสติและสงบ อีกทั้งการมีสุขภาพดีมีความหมายมากกว่ามีเงินทองหรือโชคลาภ และท้ายสุด Kindness
วิกฤตการณ์ในครั้งนี้จะเป็นจุดสำคัญที่ก่อให้เกิดการร่วมแรงร่วมใจของคนไทยทั้งชาติ ที่จะช่วยเหลือและสนับสนุนคนไทยด้วยกันเอง สยามพิวรรธน์ ขอนำรอยยิ้มให้กลับคืนสู่สยามเมืองยิ้ม โดยร่วมกระตุ้นเศรษฐกิจในประเทศและกอบกู้วิกฤตครั้งนี้ ด้วยโครงการ “สยามพิวรรธน์ ไทยช่วยไทย” ให้ความช่วยเหลือผู้ประสบปัญหาทางเศรษฐกิจโดยเปิดพื้นที่จำหน่ายสินค้าช่วยเหลือผู้ประกอบการรายย่อยโดยไม่คิดค่าใช้จ่าย อาทิ การจัด “ตลาดฟื้นใจไทย” ณ เมืองสุขสยาม ไอคอนสยาม ให้ผู้ประกอบการที่ได้รับผลกระทบต้องเปลี่ยนผันอาชีพ นำสินค้าและผลิตภัณฑ์จากชุมชนทั่วประเทศมาจำหน่ายโดยไม่คิดค่าเช่า เปิดพื้นที่ รอยัลพารากอนฮอลล์ และ ทรูไอคอน ฮอลล์ ให้ผู้ประกอบการสินค้าส่งออกที่ประสบปัญหาไม่สามารถส่งสินค้าไปยังต่างประเทศมีพื้นที่ในการจำหน่ายสินค้า โดยจะทำงานร่วมกับภาครัฐ สถาบันส่งเสริมสินค้าเกษตรและนวัตกรรม สถาบันพัฒนาอุตสาหกรรมสิ่งทอ กรมส่งเสริมสิ่งแวดล้อม กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม และ การจัดพื้นที่ตลาดนัดช่วยผู้ประกอบการรายย่อย โดย กันตนากรุ๊ป รวบรวมร้านดังมาออกร้านจำหน่ายสินค้าคุณภาพและอาหารรสเลิศ เป็นต้น
แนวทางการสร้างสังคมค้าปลีกลักษณะไทยช่วยไทยนับเป็นการสร้างความสุขและรอยยิ้ม New Beginning - New Smile ให้ทั้งผู้ประกอบการที่ขาดรายได้ต้องการความช่วยเหลือ ขณะเดียวกันลูกค้าที่ได้จับจ่ายอุดหนุนสินค้าก็ได้รับความสุขและได้รอยยิ้มที่ได้มีส่วนร่วมในการช่วยเหลือคนไทยด้วยกัน เป็นพลังผลักดันให้สังคมไทยก้าวข้ามผ่านวิกฤตและสร้างการขับเคลื่อนทางเศรษฐกิจ
• นำเสนอสินค้าและบริการที่ตอบสนองชีวิตวิถีใหม่ โดย Ecotopia ณ สยามดิสคัฟเวอรี่ ซึ่งจะเป็นอีโค่คอมมูนิตี้ที่ใหญ่ที่สุดในเอเซีย บนพื้นที่ 2,000ตารางเมตร รวบรวมสินค้าเพื่อวิถีชีวิตยุคใหม่ที่ดีต่อสุขภาพและเป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อม เพื่อตอบสนอง Sustainable Living ในทุกมิติ เช่น สินค้าเพื่อสุขภาพและรักษาสุขอนามัย สินค้าที่ผลิตโดยไม่ใช้สารเคมี สินค้าและอาหารออร์แกนิค สินค้าที่กระบวนการผลิตเป็นมิตรต่อสัตว์และสิ่งแวดล้อม สินค้าที่ผลิตจากวัสดุเหลือใช้ สินค้า re-use, recycle เพื่อการใช้ทรัพยากรอย่างคุ้มค่า พร้อมกิจกรรม work shop เรียนรู้การใช้ชีวิตอย่างมีคุณค่าเพื่อสร้างประโยชน์ต่อสังคมและโลก การเพิ่มขีดความสามารถของคนผ่านนวัตกรรมปรับจิตและร่างกายให้แข็งแรง โดย Ecotopia นี้ สร้างสรรค์จากความรู้ความเชี่ยวชาญของ ผู้นำ Eco communityในสาขาต่างๆ รวม 12 ท่านร่วมกับสยามพิวรรธน์เพื่อให้เป็นพื้นที่ของคนรุ่นใหม่ที่ปรารถนาจะเป็นส่วนหนึ่งของการสร้างสังคมแห่งความสุขที่เติบโตด้วยความยั่งยืนในโลกที่มีความสมดุลของนวัตกรรมและธรรมชาติ
• นำเสนอชีวิตวิถีใหม่อย่างมีสไตล์ โดยพลังของการ Co-Creation & Collaboration สยามพิวรรธน์เชื่อในศักยภาพและคุณค่าของการผสานความร่วมมือกับผู้มีความเชี่ยวชาญในทุกแขนง ดังจะเห็นได้จากการร่วม Co-Creation และ Collaboration ที่ผ่านมามากมายซึ่งสร้างสีสันและแรงบันดาลใจให้แก่ผู้คนมาโดยตลอด สยามพิวรรธน์จึงเพิ่มพลังบวกให้แก่วิถีชีวิตของทุกคนโดยเติมพลังแห่งความคิดสร้างสรรค์ที่ช่วยกระตุ้น สร้างสีสัน และมอบความสุขง่ายๆ อย่างมีสไตล์ อาทิ การจัดโซนพิเศษ ใน สยามเซ็นเตอร์ เมืองแห่งไอเดียที่ล้ำเทรนด์ โดยร่วมกับร้านค้าแบรนด์ดังและเหล่านักออกแบบดีไซเนอร์ไทย สร้างสรรค์ผลิตภัณฑ์สำหรับชีวิต New Normal อย่างมีสไตล์และเติมสีสันให้รูปแบบ Sustainable Living ให้สนุกยิ่งขึ้น ผ่านสินค้าแฟชั่นที่สร้างสรรค์ตามฟังก์ชั่นการใช้งานของชีวิตวิถีใหม่ ผลิตภัณฑ์เพื่อรักษาสุขอนามัยต่างๆ ที่มีดีไซน์ล้ำเทรนด์ รวมถึงอุปกรณ์ Gadget ทันสมัยพร้อมฟังก์ชั่นที่เหมาะกับโลกปัจจุบัน
ในช่วงสถานการณ์ที่ผ่านมาพฤติกรรมผู้บริโภคในการช้อปปิ้งออนไลน์มีมากขึ้น ผู้บริโภคเกิดความคุ้นเคย และมีกลุ่มเป้าหมายที่สนใจช้อปปิ้งออนไลน์มากขึ้น วันสยามและไอคอนสยาม มีช่องทางการช้อปปิ้งโดยใช้ดิจิทัลเทคโนโลยีพร้อมตอบสนองความต้องการการช้อปปิ้งในแบบ Omni Channel Shopping ที่การผสานการช้อปปิ้งระหว่าง On-line และ Off-line ได้แก่
• ครั้งแรกของเมืองไทยที่สยามพิวรรธน์มอบประสบการณ์ช้อปปิ้งลักซ์ชัวรี่แบรนด์ทาง S-commerce ด้วยบริการ “Luxury Chat & Shop” สยามพารากอนและไอคอนสยามซึ่งเป็นศูนย์รวมแบรนด์เนมชั้นนำระดับโลก ได้สร้างปรากฏการณ์เปิดให้ช้อปปิ้งออนไลน์ส่งตรงจากลักซ์ชัวรี่แฟล็กชิปสโตร์ถึงหน้าบ้าน ซึ่งไม่เคยมีศูนย์การค้าใดสามารถทำได้มาก่อน ทำให้เหล่าแบรนด์ดังทั่วโลกให้ความสนใจและศึกษาแนวทางการดำเนินงานอย่างใกล้ชิด ปัจจุบัน มีลักซ์ชัวรี่แบรนด์ที่เข้ามาร่วมจำหน่ายในช่องทาง Luxury Chat & Shop มากมาย อาทิ Balenciaga, Bally, Boss Hugo Boss, Bottega Veneta, Burberry, BVLGARI, Coach, Dolce&Gabbana, Fendi, Furla, Givenchy, Gucci, Jimmy Choo, Loewe, Kwanpen, Longchamp, MaxMara, MCM, Mulberry, Michael Kors, Off-White, Paul Smith, PRADA, Philipp Plein, Salvatore Ferragamo , Tiffany & Co., Versace ซึ่งประสบความสำเร็จมีลูกค้าให้การตอบรับอย่างต่อเนื่อง
นอกจากนั้น “OneSiam & ICONSIAM Chat & Shop” ยังนำเสนอสินค้าใช้ในชีวิตประจำวัน แฟชั่น และไลฟ์สไตล์ ที่พร้อมให้ลูกค้าช้อปปิ้งในทุกที่ทุกเวลาพร้อมกับการสื่อสารระหว่างลูกค้ากับวันสยามอย่างใกล้ชิด ตอบสนองความต้องการของลูกค้าได้อย่างรวดเร็วและสะดวกสบาย
• OneSiam Application และ Line @OneSiam ที่นำเสนอข้อความข่าวสารและสิทธิประโยชน์
รวมความตื่นตาตื่นใจ และแรงบันดาลใจ ทั้งในโลกจากสินค้า luxury brands, fashion, beauty, dining, living และ entertaining ปัจจุบัน มีผู้สนใจดาวน์โหลด OneSiam Application รวมกว่า 200,000 คน และ Line @OneSiam มีสมาชิกกว่า 720,000 คน
• บริการที่ตอบสนองชีวิตวิถีใหม่ อาทิ “Call & Pick Up” บริการสั่งซื้อสินค้าอุปโภคบริโภคจากกูร์เมต์มาร์เก็ต สยามพารากอน, ซูเปอร์มาร์เก็ต Dear Tummy และ Taka Marche ที่ไอคอนสยาม ตอบรับพฤติกรรมผู้บริโภคในอนาคตที่ต้องการใช้เวลาในการช้อปปิ้งอย่างคุ้มค่า การทำลิสต์และสั่งซื้อสินค้าล่วงหน้า แล้วมารับสินค้าเป็นรูปแบบรีเทลยุคใหม่ที่มอบความสะดวกและรวดเร็ว นอกจากนี้ลูกค้ายังสามารถใช้เวลาในการเลือกช้อปปิ้งในสินค้าอื่นๆ ได้อย่างเต็มที่ , และ บริการ “Eat @ Home” และ Eat @ Condo รวบรวมร้านอาหารในสยามพารากอนและไอคอนสยามที่เปิดให้บริการให้สั่งกลับบ้าน และ Food Delivery
• “Siam Center Virtual Mall” ยกสยามเซ็นเตอร์สู่แพลตฟอร์มช้อปปิ้งบนโลกดิจิทัล สร้างปรากฏการณ์ให้แก่ธุรกิจค้าปลีกอีกครั้งโดยผนึกกำลังกับ LAZADA ผู้นำอีคอมเมิร์ซแห่งเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ พร้อมเปิดตัวให้ช้อปตลอด 24 ชั่วโมง ไม่ว่าอยู่ที่ไหนก็สามารถช้อปและรับแรงบันดาลใจจากสยามเซ็นเตอร์ได้ทุกเมื่อ โดยเปิดให้บริการผ่าน www.lazada.co.th หรือแอปพลิเคชัน LAZADA
Omni Channel Shopping เป็นกลยุทธ์การตลาดที่สยามพิวรรธน์ได้ดำเนินการอย่างครบถ้วน และประสบความสำเร็จอย่างดียิ่งในช่วงสถานการณ์โควิดในปัจจุบัน ซึ่งสยามพิวรรธน์จะยังคงดำเนินการต่อไปและพัฒนาไปสู่จุดสูงสุดของการตลาดแบบ Omi Channel Shopping ในอนาคต เพื่อตอบสนองความต้องการของผู้บริโภคในรูปแบบการใช้ชีวิตแบบใหม่
ลงทะเบียนเข้าสู่ระบบ เพื่ออ่านบทความฟรีไม่จำกัด