ดับบลิวเอชเอ กรุ๊ป (WHA Group) โชว์ผลงานโดดเด่น ปี 2565 พร้อมมองอนาคตสดใส โดยบริษัทฯ คาดว่าจะมีรายได้รวม และส่วนแบ่งกำไรสูงสุดเป็นประวัติการณ์ ด้วยอัตราการเติบโตกว่าร้อยละ 30 งัด 5 กลยุทธ์ธุรกิจสร้างการเติบโตอย่างยั่งยืน ตั้งเป้ารายได้รวม และส่วนแบ่งกำไรจากการดำเนินงานปกติ 5 ปี (2566-2570) ที่ 100,000 ล้านบาท
พร้อมอัดฉีดงบลงทุนมูลค่า 6.85 หมื่นล้านบาทภายใน 5 ปี ขณะที่ยังคงรักษาอัตรากำไร EBITDA สูงกว่าร้อยละ 40 และอัตราส่วนหนี้สินที่มีภาระดอกเบี้ยต่อส่วนของผู้ถือหุ้น (IBD) ต่ำกว่า 1.2 เท่า
นอกจากนี้ WHA Group ยังได้ริเริ่มภารกิจ “Mission to the Sun” ซึ่งประกอบด้วย 9 โครงการ ที่มีเป้าหมายเพื่อสร้างผลิตภัณฑ์ และบริการใหม่ๆ รวมถึงเพื่อสร้างความพึงพอใจให้กับลูกค้า และเสริมสร้างการพัฒนาองค์กร และบุคลากรของบริษัท โดยโครงการที่สำคัญ ได้แก่ Green Logistics, Digital Assets (Metaverse), Digital Health Tech, Circular เป็นต้น
ในปีที่ผ่านมา ดับบลิวเอชเอ กรุ๊ป ประสบความสำเร็จในทุกกลุ่มธุรกิจของบริษัทฯ ที่เติบโตอย่างก้าวกระโดด ตอกย้ำสถานะความเป็นผู้นำของดับบลิวเอชเอ กรุ๊ป ด้านโลจิสติกส์ นิคมอุตสาหกรรม สาธารณูปโภคและพลังงาน ตลอดจนดิจิทัลโซลูชัน ทั้งในประเทศไทยและเวียดนาม
นอกจากนี้ ดับบลิวเอชเอ กรุ๊ป และดับบลิวเอชเอ ยูทิลิตี้ส์ แอนด์ พาวเวอร์ ยังได้รับการจัดอันดับให้อยู่ในรายชื่อหุ้นยั่งยืนประจำปี 2565 (THSI) ในฐานะ “Sustainable Stocks” อีกด้วย
คุณจรีพร จารุกรสกุล ประธานคณะกรรมการบริษัท และประธานเจ้าหน้าที่บริหารกลุ่ม บริษัท ดับบลิวเอชเอ คอร์ปอเรชั่น จำกัด (มหาชน) กล่าวว่า “ในปี 2565 เราได้เห็นการฟื้นตัวทางเศรษฐกิจ และการกลับมาของนักลงทุนต่างชาติ มีการเซ็นสัญญาดีลใหญ่ ๆ และโครงการที่สร้างมูลค่าเพิ่มทั้ง 4 กลุ่มธุรกิจของดับบลิวเอชเอ กรุ๊ป ทำให้เราสามารถเติบโตอย่างก้าวกระโดด พร้อมยังคงรักษาสถานะทางการเงินที่แข็งแกร่งต่อไป” พร้อมเสริมว่า “ด้วยกลยุทธ์ธุรกิจของดับบลิวเอชเอ ทำให้เรามั่นใจเป็นอย่างมากว่าจะสามารถก้าวไปสู่การเป็น Technology Company ภายในปี 2567 และมีการเติบโตอย่างยั่งยืนได้อย่างแน่นอน”
ตั้งเป้าขยายธุรกิจในประเทศไทย และแสวงหาโอกาสใหม่ ๆ ในเวียดนาม โดยมุ่งเน้นไปที่อุตสาหกรรมที่มีการเติบโตสูง การสร้างความสัมพันธ์ที่ยั่งยืนกับหุ้นส่วนทางธุรกิจ โดยยึดถือแนวทางปฏิบัติที่นำนวัตกรรมมาประยุกต์ใช้ และคำนึงถึงความยั่งยืน
ในประเทศไทย ดับบลิวเอชเอ โลจิสติกส์ มีเป้าหมายในการตอบโจทย์ความต้องการใหม่ๆ ของลูกค้า ในพื้นที่อันเป็นจุดยุทธศาสตร์ ได้แก่ กรุงเทพฯ บางนา-ตราด และจังหวัดต่างๆ ในเขตพื้นที่อีอีซี ตลอดจนขยายขอบเขตทางภูมิศาสตร์ไปยังจังหวัดสำคัญๆ และพื้นที่ใกล้เคียงกับโครงการต่างๆ ที่เกี่ยวกับโครงสร้างพื้นฐานที่สำคัญ
นอกจากนี้ ดับบลิวเอชเอ โลจิสติกส์ มีแผนที่จะสร้างการเติบโต โดยตั้งเป้าไปที่อุตสาหกรรมที่มีการเติบโตสูง ได้แก่ อุตสาหกรรมรถยนต์ไฟฟ้า ธุรกิจอีคอมเมิร์ซ และเฮลธ์แคร์ ผ่านการประสานความร่วมมือกับ Key Player ระดับภูมิภาคและระดับโลก รวมทั้งการนำนวัตกรรมและเทคโนโลยีต่าง ๆ เข้ามาใช้ อาทิ Quantum Computing, Internet of Things (IOT), Data Analytics เป็นต้น
สำหรับธุรกิจ Office Solutions ดับบลิวเอชเอ โลจิสติกส์ เดินหน้าขยายโครงการอาคารสำนักงานอีกหลายแห่งบนทำเลที่ดีเยี่ยมในกรุงเทพฯ โดยล่าสุด โครงการ WHA KW S25 คาดว่าจะแล้วเสร็จในเดือนกรกฎาคม 2566 และเตรียมเปิดตัวเร็ว ๆ นี้ ปัจจุบัน ดับบลิวเอชเอ โลจิสติกส์ มีโครงการอาคารสำนักงานจำนวน 6 แห่ง ในเขตกรุงเทพฯ และสมุทรปราการ ซึ่งมีพื้นที่รวมกว่า 100,000 ตารางเมตร เพียบพร้อมด้วยสิ่งอำนวยความสะดวกที่ครบครันและการออกแบบที่เหนือชั้น
ในปี 2566 บริษัทฯ คาดว่าจะมีการส่งมอบโครงการใหม่และสัญญาใหม่ คิดเป็นพื้นที่รวม 200,000 ตารางเมตร (165,000 ตร.ม. ในประเทศไทยและ 35,000 ตร.ม. ในเวียดนาม) ให้แก่กลุ่มลูกค้า อาทิ ผู้ให้บริการด้านโลจิสติกส์ (3PL) ภาคสินค้าอุปโภคบริโภค และภาคการค้าปลีก โดยคาดว่าสินทรัพย์รวมภายใต้กรรมสิทธิ์และการบริหารจะสูงถึง 2,900,000 ตารางเมตร ทั้งนี้ ดับบลิวเอชเอ โลจิสติกส์ ยังได้ตั้งเป้าขายสินทรัพย์พื้นที่ 142,000 ตารางเมตรให้แก่ทรัสต์เพื่อการลงทุนในอสังหาริมทรัพย์และสิทธิการเช่า ดับบลิวเอชเอ พรีเมี่ยม โกรท (WHART) คาดว่าจะมีมูลค่ารวมประมาณ 3,250 ล้านบาท
จะตอกย้ำความเป็นผู้นำในประเทศไทยและขยายธุรกิจในเวียดนามให้ครอบคลุมมากขึ้น โดยเพิ่มผลิตภัณฑ์ใหม่ๆ และเน้นนิคมอุตสาหกรรมอัจฉริยะเชิงนิเวศขั้นสูง และโครงการอุตสาหกรรมมูลค่าสูง สำหรับประเทศไทยและเวียดนาม ดับบลิวเอชเอ อินดัสเตรียล ดีเวลลอปเมนท์ มีพื้นที่ในครอบครองทั้งหมด 71,000 ไร่ โดยมีพื้นที่พร้อมขายกว่า 4,000 ไร่
ปัจจุบัน บริษัทฯ มีนิคมอุตสาหกรรมที่อยู่ระหว่างดำเนินการในประเทศไทยจำนวน 12 แห่ง ซึ่งรวมถึงนิคมอุตสาหกรรมดับบลิวเอชเอ ระยอง 36 (1,280 ไร่) ที่ดำเนินการก่อสร้างแล้วเสร็จในปี 2565 และยังมีนิคมอุตสาหกรรมใหม่อีก 2 แห่ง ได้แก่ นิคมอุตสาหกรรมดับบลิวเอชเอ อินดัสเตรียล เอสเตท ระยอง เฟส 1 (1,100 ไร่) ซึ่งได้เริ่มก่อสร้างเมื่อเดือนตุลาคมที่ผ่านมา และเขตประกอบการอุตสาหกรรมดับบลิวเอชเอ สระบุรี 2 (2,400 ไร่) ซึ่งคาดว่าจะเริ่มก่อสร้างในปี 2569 นอกจากนี้ ยังมีการขยายโครงการนิคมอุตสาหกรรมอีก 2 โครงการ ได้แก่ โครงการขยายนิคมอุตสาหกรรมดับบลิวเอชเอ อีสเทิร์นซีบอร์ด 4 (570 ไร่) และการขยายโครงการนิคมอุตสาหกรรมดับบลิวเอชเอ ระยอง 36 (400 ไร่)
นอกจากนี้ ดับบลิวเอชเอ อินดัสเตรียล ดีเวลลอปเมนท์ ยังขยายผลิตภัณฑ์และบริการที่มีมูลค่าสูงขึ้น อาทิ การจัดหาก๊าซไนโตรเจนโดย บริษัท บีไอจี ดับบลิวเอชเอ อินดัสเทรียลแก๊ส จำกัด หรือ BIG WHA ซึ่งเป็นบริษัทร่วมทุนกับ บริษัท บางกอกอินดัสเทรียลแก๊ส จำกัด หรือ บีไอจี ซึ่งปัจจุบันให้บริการที่นิคมอุตสาหกรรมอีสเทิร์นซีบอร์ด (ระยอง) และจะขยายการให้บริการไปยังนิคมอุตสาหกรรมอื่น ๆ รวมไปถึงก๊าซอุตสาหกรรมประเภทอื่น ๆ ด้วย
ทั้งนี้ ในปี 2566 บริษัทฯ ได้ให้บริการไฟเบอร์ออพติคใต้ดิน (FTTx) ในนิคมอุตสาหกรรมของดับบลิวเอชเอในประเทศไทยจำนวน 11 แห่ง และให้บริการเช่าเสาโทรคมนาคมเพื่อติดตั้งอุปกรณ์รับ-กระจายสัญญาณเครือข่าย 5G ในนิคมอุตสาหกรรม 3 แห่ง โดยคาดว่าจะขยายให้ครอบคลุมนิคมอุตสาหกรรมอื่นๆ เพิ่มเติมในปีนี้ เพื่อรองรับการใช้งานของกลุ่มลูกค้าที่เป็นผู้ให้บริการโทรคมนาคม ได้แก่ AWN, True และ Dtac
สำหรับประเทศเวียดนาม มีเขตอุตสาหกรรมที่เปิดดำเนินการแล้ว 1 แห่ง และจะขยายโครงการเขตอุตสาหกรรมใหม่ ในจังหวัดหลัก ๆ ของเวียดนาม อีก 2 โครงการ รวมพื้นที่ 20,950 ไร่ (3,350 เฮกตาร์) ซึ่งเป็นส่วนหนึ่งของแผนการลงทุนในระยะยาวอย่างต่อเนื่อง
โดยเขตอุตสาหกรรมดับบลิวเอชเอ โซน 1 - เหงะอาน ได้ดำเนินการก่อสร้างเฟส 1 ขนาด 900 ไร่ แล้วเสร็จ พร้อมด้วยโครงสร้างพื้นฐาน สาธารณูปโภค และการดูแลสิ่งแวดล้อมที่มีคุณภาพสูงสุด และได้ปล่อยเช่าให้แก่ลูกค้าจากอุตสาหกรรมชิ้นส่วนยานยนต์ การแปรรูปอาหาร วัสดุก่อสร้าง อุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์ กว่าร้อยละ 77 ของพื้นที่เฟส 1 และด้วยสภาวะอุตสาหกรรมที่คาดว่าจะมีความต้องการที่ดินอุตสาหกรรมสูง บริษัทฯ จึงเร่งดำเนินการก่อสร้างเฟสที่ 2 พื้นที่ขนาด 2,215 ไร่
นอกจากนี้ บริษัทฯ ยังได้ลงนามในบันทึกข้อตกลงกับทางการองค์กรท้องถิ่นของประเทศเวียดนามเพื่อพัฒนาเขตอุตสาหกรรมอีก 2 แห่ง อันได้แก่ เขตอุตสาหกรรม WHA Smart Technology Industrial Zone - Thanh Hoa พื้นที่ 5,320 ไร่ ซึ่งจังหวัดทัญฮว้า เป็นจังหวัดที่มีประชากรกว่า 3.6 ล้านคน มากเป็นอันดับสามของเวียดนาม มีกำหนดเริ่มดำเนินการก่อสร้างในปี 2567 หรือต้นปี 2568 และเขตอุตสาหกรรม WHA Smart Eco Industrial Zone – Quang Nam พื้นที่ 2,500 ไร่ ซึ่งจะได้ประโยชน์จากที่ตั้งซึ่งอยู่ใจกลางของภาคกลางอย่างจังหวัดดานังและจังหวัดกว๋างหงาย โดยคาดว่าจะได้รับการอนุมัติใบอนุญาตต่างๆ ในปี 2569 หรือ 2570 และจะเริ่มดำเนินการก่อสร้างหลังจากนั้น
จากความสำเร็จของยอดขายที่ดินทั้งในประเทศไทยและเวียดนามในปี 2565 ที่สูงถึง 1,740 ไร่ เพิ่มขึ้นกว่าเท่าตัวเมื่อเทียบกับปี 2564 และด้วยความเชื่อมั่นของนักลงทุนที่มีต่อดับบลิวแอชเอ กรุ๊ปบริษัทฯ จึงคาดว่ายอดขายที่ดินในปี 2566 ทั้งในประเทศไทย และเวียดนามจะใกล้เคียงกับปีที่ผ่านมา โดยตั้งเป้ายอดขายที่ดิน ไว้ที่ 1,750 ไร่
ในส่วนธุรกิจสาธารณูปโภค ดับบลิวเอชเอ ยูทิลิตี้ส์ แอนด์ พาวเวอร์ (WHAUP) มุ่งเน้นการเพิ่มผลิตภัณฑ์และโซลูชันให้มากขึ้น โดยเฉพาะอย่างยิ่งผลิตภัณฑ์น้ำมูลค่าเพิ่ม โดยในปี 2565 บริษัทฯ มีการจัดการน้ำประปาและน้ำเสียสูงถึง 145 ล้านลูกบาศก์เมตร ซึ่งรวมปริมาณน้ำอุตสาหกรรมและการบำบัดน้ำเสียในประเทศเวียดนามจำนวน 28 ล้านลูกบาศก์เมตร และน้ำมูลค่าเพิ่ม (Premium Clarified Water and Demineralized Water) จำนวน 5 ล้านลูกบาศก์เมตร โดยในปี 2566 ปริมาณน้ำประปาและการจัดการน้ำเสียทั้งหมดคาดว่าจะสูงถึง 168 ล้านลูกบาศก์เมตร ซึ่งโดยส่วนใหญ่จะเพิ่มจากความต้องการใช้น้ำที่เพิ่มมากขึ้นจากผู้ใช้อุตสาหกรรมรายใหญ่ ที่ได้ทำการเซ็นสัญญาซื้อขายน้ำในปี 2565 คิดเป็นปริมาณน้ำรวมทั้งสิ้น 15 ล้านลูกบาศก์เมตร
และจากการที่บริษัทฯ ได้เริ่มดำเนินการโรงผลิตน้ำมูลค่าเพิ่ม 2 แห่ง เพื่อจัดส่งน้ำอุตสาหกรรมคุณภาพสูง (Premium Clarified Water) ให้กับผู้ผลิตไฟฟ้าขนาดเล็ก (SPP) ของกัลฟ์ 2 ราย และน้ำปราศจากแร่ธาตุ (Demineralized Water) ให้กับลูกค้าในนิคมอุตสาหกรรมเอเชีย โดยมีกำลังการผลิตน้ำรวม 4 ล้านลูกบาศก์เมตรต่อปี
นอกจากนี้ โรงผลิตน้ำและโรงบำบัดน้ำเสียแห่งใหม่ในนิคมอุตสาหกรรมดับบลิวเอชเอ ระยอง 36 ได้เริ่มดำเนินการแล้ว โดยมีกำลังการผลิตรวม 3.3 ล้านลูกบาศก์เมตรต่อปี และจะเริ่มก่อสร้างโรงบำบัดน้ำเสียแห่งใหม่ที่นิคมอุตสาหกรรมดับบลิวเอชเอ อินดัสเตรียล เอสเตท ระยอง (WHA IER) ในเดือนกุมภาพันธ์ 2566 โดยมีกำลังการผลิตรวม 5.8 ล้านลูกบาศก์เมตรต่อปี
WHAUP มีโครงการเพื่อจัดหาน้ำดิบทดแทนเพื่อความมั่นคงด้านการจัดหาน้ำถึง 2 โครงการ กำลังการผลิตน้ำรวม 10 ล้านลูกบาศก์เมตรต่อปี โดยโครงการน้ำดิบแห่งแรกมีขึ้นเพื่อรองรับนิคมอุตสาหกรรมดับบลิวเอชเอ ระยอง 36 และเขตประกอบการอุตสาหกรรมดับบลิวเอชเอ ระยอง ซึ่งขณะนี้ได้เริ่มดำเนินการแล้ว ส่วนโครงการที่สองในนิคมอุตสาหกรรมดับบลิวเอชเอ อีสเทิร์นซีบอร์ด 4 (WHA ESIE4) จะเริ่มก่อสร้างในไตรมาสที่ 1 ปี 2566
ทั้งนี้ ในส่วนของธุรกิจสาธารณูปโภคของ WHAUP ในประเทศเวียดนาม ซึ่งให้บริการอยู่ 3 โครงการนั้น มีการเติบโตของการจัดการน้ำประปาและน้ำเสียอย่างมีนัยสำคัญที่ร้อยละ 26 เมื่อเทียบกับปี 2565 หรือเท่ากับ 28 ล้านลูกบาศก์เมตร เนื่องมาจากการขยายฐานลูกค้าและพื้นที่ให้บริการน้ำประปาที่กว้างขึ้น และคาดว่าตัวเลขจะเพิ่มขึ้นเป็น 33 ล้านลูกบาศก์เมตรในปี 2566
สำหรับธุรกิจด้านพลังงาน WHAUP มุ่งมั่นที่จะขยายธุรกิจในประเทศไทย เวียดนาม และสำรวจหาตลาดใหม่ในประเทศอื่นๆ บริษัทฯ มุ่งเน้นการนำนวัตกรรมและความยั่งยืนมาใช้ในการดำเนินธุรกิจอย่างต่อเนื่อง พร้อมทั้งแสวงหาโอกาสใหม่ ๆ กับธุรกิจ New S-Curve อาทิ ระบบกักเก็บพลังงานด้วยแบตเตอรี่ (BESS) ไฮโดรเจน การซื้อขายคาร์บอนและการใช้และกักเก็บคาร์บอน (CCUS)
ในปี 2566 WHAUP ตั้งเป้าสัญญาซื้อขายไฟฟ้า (PPA) ที่ลงนามแล้ว 847 เมกะวัตต์ เพิ่มจาก 683 เมกะวัตต์ในปี 2565 ซึ่งประกอบไปด้วยพลังงานสิ้นเปลือง (Conventional Power) 547 เมกะวัตต์ พลังงานแสงอาทิตย์ 133 เมกะวัตต์ และพลังงานจากขยะอุตสาหกรรม (Waste to Energy) อีก 3 เมกะวัตต์ ทั้งนี้ บริษัทฯ ยังคงเร่งเดินหน้าพัฒนาโครงการพลังงานหมุนเวียน (Renewable Energy) อย่างต่อเนื่อง โดยตั้งเป้าหมายสัญญาซื้อขายไฟฟ้า (PPA) ที่ลงนามแล้ว 300 เมกะวัตต์ ภายในสิ้นปี 2566 อีกด้วย
อีกหนึ่งกลยุทธ์ที่มุ่งเน้นโซลูชันดิจิทัลที่เป็นนวัตกรรมใหม่ WHAUP ได้ร่วมกับ ปตท. และ Sertis พัฒนาแพลตฟอร์มการซื้อขายพลังงานแบบ Peer-to-Peer Energy Trading โดยมีชื่อว่า Renewable Energy Exchange ("RENEX") ซึ่งแพลตฟอร์มดังกล่าวใช้เทคโนโลยีบล็อกเชนมาช่วยเพิ่มประสิทธิภาพและความปลอดภัยของการทำธุรกรรม และอำนวยความสะดวกในการซื้อขายพลังงานของผู้ใช้ในอุตสาหกรรม
โครงการดังกล่าวได้มีการเปิดตัวในปี 2565 และมีลูกค้าชั้นนำกลุ่มแรกเข้าร่วมจำนวน 54 ราย ซึ่งอยู่ในนิคมอุตสาหกรรม 3 แห่งของดับบลิวเอชเอ ได้แก่ WHA ESIE 1, WHA ESIE 2 และ ESIE นอกจากนี้ WHAUP ยังตั้งเป้าที่จะศึกษาและพัฒนาให้สามารถเกิดการซื้อขายคาร์บอนเครดิตในแพลตฟอร์มดังกล่าวได้อีกด้วย โดยเบื้องต้นได้ลงทะเบียนโครงการพลังงานแสงอาทิตย์ กับโครงการลดก๊าซเรือนกระจกภาคสมัครใจตามมาตรฐานของประเทศไทย (Thailand Voluntary Emission Reduction Program: T-VER) และ I-REC หรือใบรับรองสีเขียวที่สามารถซื้อขายได้ ซึ่งได้รับการตรวจสอบและรับรองคุณภาพตามมาตรฐาน I-REC
จะยังคงเป็นผู้นำโครงการการทรานสฟอร์มธุรกิจสู่ดิจิทัลภายในองค์กร ช่วยสร้างเสริมศักยภาพการดำเนินธุรกิจเพื่อเพิ่มผลิตภาพ (Productivity) ประสิทธิภาพ การเข้าถึง และความปลอดภัยด้านดิจิทัล นอกจากนี้ ดับบลิวเอชเอ ดิจิทัล จะทำงานร่วมกลุ่มธุรกิจต่าง ๆ ของดับบลิวเอชเอ กรุ๊ป ในการนำเทคโนโลยีมาสร้างผลิตภัณฑ์และบริการมูลค่าเพิ่มใหม่ ๆ เพื่อเพิ่มความพึงพอใจของลูกค้าและดึงดูดลูกค้ารายใหม่ ตัวอย่างเช่น แดชบอร์ดตรวจสอบแผงพลังงานแสงอาทิตย์และอุปกรณ์ตรวจจับประสิทธิภาพ เครื่องมือวิเคราะห์ ระบบอัตโนมัติ และอุปกรณ์อัจฉริยะต่างๆ เป็นต้น
ภายหลังจากการเปิดตัวในปี 2565 แอปพลิเคชัน WHAbit หรือโซลูชันสำหรับดิจิทัลเฮลธ์แคร์ ได้มีการพัฒนาอย่างต่อเนื่องและกำหนดเปิดตัวเวอร์ชันที่สองในไตรมาสที่ 2 ปี 2566 ด้วยฟีเจอร์การแสดงข้อมูลด้วยภาพ (Data Visualization) และคำแนะนำส่วนบุคคล นอกจากนี้ ดับบลิวเอชเอ กรุ๊ป ยังวางแผนที่จะเปิดตัว Meta W ซึ่งเป็นเมตาเวิร์สด้านอุตสาหกรรมรายแรกที่ได้รับการออกแบบเพื่อยกระดับประสบการณ์ของลูกค้า สร้างโอกาสใหม่ ๆ และเสริมความแข็งแกร่งให้กับธุรกิจของดับบลิวเอชเอ กรุ๊ป ในยุคดิจิทัล
ทั้งนี้ Meta W จะนำเสนอ Digital Twin โดยลูกค้าสามารถเข้าไปสัมผัส และมีประสบการณ์เสมือนจริงทั้งในรูปแบบของกิจกรรม การดำเนินงาน โมเดลธุรกิจรูปแบบใหม่ และการตรวจเช็คข้อมูลต่าง ๆ และในอนาคต ดับบลิวเอชเอ ดิจิทัล มีแผนที่จะขยายผลิตภัณฑ์และบริการของบริษัทฯ เพื่อนำเสนอแก่ลูกค้าทั้งภายในและภายนอกระบบนิเวศของดับบลิวเอชเอ กรุ๊ป
ทั้งนี้ เพื่อให้สอดคล้องกับกลยุทธ์ของบริษัทฯ ดับบลิวเอชเอ กรุ๊ป วางงบลงทุน 6.85 หมื่นล้านบาทในอีก 5 ปีข้างหน้า (ปี 2566-2570) โดยเป็นงบลงทุนสำหรับ 4 กลุ่มธุรกิจของดับบลิวเอชเอ กรุ๊ป ได้แก่ โลจิสติกส์ จำนวน 1.7 หมื่นล้านบาท ดับบลิวเอชเอ อินดัสเตรียล ดีเวลลอปเมนท์ จำนวน 2.9 หมื่นล้านบาท WHAUP จำนวน 1.85 หมื่นล้านบาท และดับบลิวเอชเอ ดิจิทัล จำนวน 4 พันล้านบาท
ทางด้านคุณจรีพร กล่าวทิ้งท้ายว่า เรามองอนาคตปี 2566 ด้วยความมั่นใจในเชิงบวก พร้อมเสริมว่า “ในขณะที่ดับบลิวเอชเอ กรุ๊ปกำลังก้าวเข้าใกล้การเป็น Technology Company มากขึ้น เราก็ยังคงส่งเสริมนวัตกรรมต่าง ๆ ให้กับทั้ง 4 กลุ่มธุรกิจ โดยที่ยังเน้นการเติบโตอย่างยั่งยืนและดูแลรักษาสิ่งแวดล้อม สังคม และธรรมาภิบาล ทั้งนี้ เราได้บรรลุเป้าหมายความเป็นกลางทางคาร์บอนไปแล้วตั้งแต่ปี 2564 และมุ่งมั่นสู่การปล่อยก๊าซเรือนกระจกสุทธิเป็นศูนย์ในปีพ.ศ. 2593 (Net Zero Greenhouse Gas Emissions by 2050) ซึ่งจะเป็นประโยชน์ต่อผู้มีส่วนได้ส่วนเสียทั้งหมดของดับบลิวเอชเอ รวมถึงลูกค้า พนักงาน ผู้ถือหุ้น พันธมิตรทางธุรกิจ และท้ายที่สุดคือสังคมไทยโดยรวม
ลงทะเบียนเข้าสู่ระบบ เพื่ออ่านบทความฟรีไม่จำกัด