วิจัยชี้ ยุค AI ผู้หญิงเสี่ยงตกงานมากกว่าผู้ชาย เนื่องจากงานออฟฟิศหรืองานที่ไม่ต้องใช้แรงงาน (White collar) จะถูกแทนที่โดย AI ได้ง่ายกว่างานที่ใช้แรงงาน (Blue collar)
ปัจจุบันผู้หญิงเข้ามามีส่วนร่วมในตลาดแรงงานมากขึ้นกว่าในอดีต อัตราการมีส่วนร่วมของกำลังแรงงาน (Labor force participation rate) สำหรับผู้หญิงวัย 25 ถึง 54 ปี ได้ทําสถิติมากสูงสุดในเดือนเมษายนและเดือนพฤษภาคม ซึ่งเพิ่มขึ้นหลังจากวิกฤติการณ์ ‘She-cession’ ซึ่งเป็นวิกฤติการณ์ที่กลุ่มแรงงานผู้หญิงได้รับผลกระทบจากเศรษฐกิจช่วงโรคโควิด-19 แพร่ระบาด
นักเศรษฐศาสตร์จากสถาบันการเงิน Goldman Sachs คาดการณ์ว่า เทคโนโลยี Generative AI จะเข้ามาพลิกโฉมตลาดแรงงาน ด้วยความสามารถของมันที่เรารู้กันดีว่า สามารถสร้างข้อความ ภาพ เสียง วิดิโอจาก training data ที่ประกอบไปด้วยตัวอย่างข้อมูลของผลลัพธ์ที่ต้องการ
อย่างไรก็ตาม วิจัยจาก UNC Kenan-Flagler Business School เผยว่า ประมาณร้อยละ 79 ของผู้หญิงวัยทํางาน (เกือบ 59 ล้านคน) กำลังทำอาชีพที่เสี่ยงต่อการถูกแทนที่ด้วย AI เมื่อเทียบกับร้อยละ 58 ของผู้ชายวัยทํางาน
ซึ่งชี้ให้เห็นว่า ถึงแม้ในตลาดแรงงานสหรัฐฯจะมีเพศชายมากกว่าเพศหญิง แต่กลับเป็นเพศหญิงที่อาจได้รับผลกระทบมากกว่าจากการนำ Generative AI มาใช้
Mark McNeilly ศาสตราจารย์ด้านกลยุทธ์การตลาดจากโรงเรียน Kenan-Flagler และผู้เขียนการวิจัย AI ระบุว่า ผู้หญิงที่ทำงานในออฟฟิศและไม่ต้องใช้แรงงานมีจำนวนมาก ในขณะที่ผู้ชายทำงานออฟฟิศและทำงานใช้แรงงานคิดเป็นครึ่งต่อครึ่ง
อาชีพที่เสี่ยงต่อการถูกแทนที่โดย AI ซึ่งมีพนักงานส่วนมากเป็นผู้หญิง คือพนักงานออฟฟิศและเจ้าหน้าที่ธุรการ เช่น ผู้ปฏิบัติงานด้านการดูแลสุขภาพและผู้ปฏิบัติงานด้านเทคนิค ครู อาจารย์ ผู้ทำสายงานด้านการแพทย์ งานบริการชุมชน และสังคม
สํานักสถิติแรงงาน (Bureau of Labor Statistics) ชี้ว่า อัตราการมีส่วนร่วมของกําลังแรงงานสตรีเพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็ว มากกว่าอัตราการมีส่วนร่วมของแรงงานชาย
ที่เห็นได้ชัดคือ อุตสาหกรรมส่วนมากเต็มไปด้วยผู้หญิง เช่น สายงานด้านการแพทย์ อีกทั้งความสําเร็จทางการศึกษาของผู้หญิงก็เพิ่มขึ้นเป็นอย่างมาก นอกจากนี้ผู้หญิงได้เริ่มเข้าไปทำงานในสาขาอาชีพที่ดั้งเดิมเคยเป็นของผู้ชายทำ เช่น งานก่อสร้าง งานเกษตร งานซ่อมแซม
ทว่าการแพร่ระบาดของโควิด-19 ส่งผลกระทบต่ออาชีพภาคการบริการ สันทนาการ การศึกษา และสุขภาพ ซึ่งล้วนเป็นพนักงานผู้หญิงทั้งสิ้น
นอกจากนี้ เนื่องจากความรับผิดชอบในการดูแลลูกมักตกเป็นหน้าที่ของผู้หญิง และยิ่งเมื่อลูกต้องเรียนออนไลน์ที่บ้านในช่วงโรคโควิด-19 ระบาด จึงเป็นเรื่องยากสำหรับผู้หญิงในการกลับไปทำงาน
Dana Peterson ประธานทีมเศรษฐกิจของ Conference Board กล่าวว่า ตัวขับเคลื่อนหลักสามประการที่ขับเคลื่อนผู้หญิงเข้าสู่ตลาดแรงงานคือ การเข้าถึงสวัสดิการการดูแลเด็ก การได้รับค่าจ้างในลักษณะการตลาด (Market wage) และความยืดหยุ่น
เมื่อการแพร่ระบาดของโควิด-19 เริ่มฟื้นตัว ตัวขับเคลื่อนเหล่านี้ก็ผลักดันให้ผู้หญิงเข้าสู่ตลาดแรงงานอีกครั้ง
งานส่วนมากเริ่มมีความยืดหยุ่นมากขึ้น เช่น การทำงานระยะไกลกลายเป็นเรื่องปกติ และชั่วโมงงานมีความยืดหยุ่นมากขึ้น ซึ่งช่วยให้ผู้หญิงมีเวลาไปรับส่งลูก อีกทั้งบางบริษัทมีสวัสดิการดูแลเด็กในที่ทำงาน
อาชีพที่เน้นผู้หญิงในการทำงาน เช่น การดูแลสุขภาพ การบริการ และการโรงแรมยังคงเป็นงานที่มั่นคงที่สุดในช่วงสองปีที่ผ่านมา
ข้อมูลจาก BLS ระบุว่า เมื่อเดือนที่ผ่านมา อัตราการมีส่วนร่วมของกําลังแรงงานสตรีช่วงอายุ 25 ถึง 54 ปี ทําสถิติใหม่ได้สูงถึง 77.6% เพิ่มขึ้นจากเดือนก่อนหน้าที่อยู่ที่ 77.5%
บริษัท Revelio Labs ซึ่งเชี่ยวชาญในการรวบรวมและวิเคราะห์สถิติข้อมูลของแรงงานได้เผยว่า ตำแหน่งงานที่เสี่ยงกับการถูกแทนที่โดย AI มากที่สุด ได้แก่ พนักงานเรียกเก็บบัญชีที่ค้างชำระ 82.9% เสมียนบัญชีเงินเดือน 79.7% เลขานุการผู้บริหาร 74.3% พนักงานพิมพ์ดีด 65.4% และพนักงานตรวจสอบ ลงบัญชี 65% ซึ่งอาชีพเหล่านี้มีพนักงานเป็นเพศหญิงกว่า 71%
อย่างไรก็ตาม Dana Peterson กล่าวว่า “เมื่อเวลาผ่านไป AI จะมาแทนที่ในบางงาน…..ใช่ มันอาจทําลายงานในระยะสั้น แต่มันก็ทำให้เกิดงานใหม่ ๆ และโอกาสที่หลากหลายได้ มันช่วยให้ผู้คนทำงานปัจจุบันได้อย่างมีประสิทธิภาพมากขึ้น”
อ้างอิง: edition.cnn
ลงทะเบียนเข้าสู่ระบบ เพื่ออ่านบทความฟรีไม่จำกัด