วิทยาลัยการจัดการ มหาวิทยาลัยมหิดล หรือ CMMU รายงานแนวทางการพลิกธุรกิจการท่องเที่ยวหลังโควิด-19 จากข้อมูลงานวิจัย “NEO TOURISM ท่องเที่ยวมิติใหม่ เจาะอินไซต์นักเดินทาง” พบว่าท่องเที่ยวไทยไม่อาจจะกลับไปเป็นเหมือนเดิมอีกต่อไป โดยปี 2565 นับเป็นปีแห่งการเปลี่ยนแปลงของอุตสาหกรรมการท่องเที่ยวครั้งใหญ่ที่ต้องปรับตัวให้ทัน NEXT NORMAL โดยจากข้อมูลพบว่ากลุ่มนักเดินทางที่พร้อมออกเดินทางหลังได้รับวัคซีนทันทีคือ กลุ่มคนรุ่นใหม่ (Young Neo Traveler) และกลุ่มครอบครัว (Family Neo Traveler) โดยการท่องเที่ยวเชิงธรรมชาติจะได้ความนิยมสูงสุด ในด้านจังหวัดท่องเที่ยวที่จะได้รับความนิยมสูงสุด 3 จังหวัดแรกในกลุ่มคนรุ่นใหม่ ได้แก่ เชียงใหม่ ภูเก็ต ชลบุรี ตามลำดับ และในกลุ่มครอบครัว ได้แก่ เชียงใหม่ ประจวบคีรีขันธ์ ชลบุรี ตามลำดับ ในด้านงบประมาณ กลุ่มคนรุ่นใหม่ จะเลือกวางแผนการเที่ยวที่ 3-4 วัน ด้วยงบประมาณที่ยังคงสูงสุดถึง 5,000 บาท ในขณะที่กลุ่มครอบครัวมีงบประมาณลดลงเพียง 3,000-5,000 บาทต่อครอบครัว นอกจากนี้ยังพบว่าธุรกิจที่จะได้รับอานิสงค์ในห่วงโซ่อุปทานสูงสุดคือกลุ่มร้านอาหารและคาเฟ่ และธุรกิจประกันเดินทางเสริมเรื่องโควิด-19 อย่างไรก็ตามข้อแนะนำสำหรับผู้ประกอบการท่องเที่ยว 3 ข้อ ที่ต้องคำนึงในยุค “NEO TOURISM” คือ 1. ผู้บริโภคจะเน้นการท่องเที่ยวเชิงที่สอดคล้องกับธรรมชาติ 2. ผู้บริโภคจะพิจารณาความสะอาดเป็นสำคัญ และ 3. เงื่อนไขการให้บริการต้องมีความยืดหยุ่น
ผศ. ดร.บุญยิ่ง คงอาชาภัทร หัวหน้าสาขาการตลาด วิทยาลัยการจัดการ มหาวิทยาลัยมหิดล (CMMU) กล่าวว่า CMMU ได้ทำการสำรวจกลุ่มตัวอย่างนักเดินทางและวิเคราะห์ข้อมูลงานวิจัยเรื่อง “NEO TOURISM ท่องเที่ยวมิติใหม่ เจาะอินไซต์นักเดินทาง” เพื่อให้ธุรกิจการท่องเที่ยวปรับตัวให้ทัน NEXT NORMAL หรือการเปลี่ยนแปลงหลังพายุโควิด-19 สงบลง และให้สอดรับกับพฤติกรรมนักเดินทางที่เปลี่ยนไป โดยเจาะสำรวจกลุ่มเป้าหมายตัวอย่างรวมจำนวน 1,048 คน ซึ่งจะเป็นกลุ่มนักเดินทางหลักหลังได้รับการฉีดวัคซีนแล้ว 2 กลุ่ม ดังนี้
ปัจจัยที่ทำให้นักเดินทางกลับมาท่องเที่ยวอีกครั้ง พบว่า อันดับ 1 ยอดผู้ติดเชื้อลดลง น้อยกว่า 500 คนต่อวัน โดยกลุ่มคนรุ่นใหม่และกลุ่มครอบครัว คิดเห็นตรงกัน 48% อันดับ 2 สัดส่วนประชากรที่ได้รับวัคซีน มีมากกว่า 70% ทั่วประเทศ และอันดับ 3 ตนเองได้รับวัคซีนที่มั่นใจ mRNA
ขณะที่เมื่อพิจารณาสถิติความต้องการในการท่องเที่ยว พบว่า กลุ่มคนรุ่นใหม่ 45.8% และกลุ่มครอบครัว 52.2% ยังรู้สึกกังวล โดยรอสถานการณ์คลี่คลายก่อน รองมากลุ่มคนรุ่นใหม่ 43.8% และกลุ่มครอบครัว 28.3% ต้องการเที่ยวโดยเร็วที่สุด ตามด้วยกลุ่มคนรุ่นใหม่ 10.4% และกลุ่มครอบครัว 19.6% เที่ยวก็ได้ ไม่เที่ยวก็ได้
โดยการท่องเที่ยวเชิงธรรมชาติจะได้ความนิยมสูงสุดหลังโควิด-19 จากการวิจัยพบว่า กลุ่มคนรุ่นใหม่ 45% และกลุ่มครอบครัว 61% ต้องการออกไปสัมผัสธรรมชาติเนื่องจากอยู่ที่บ้านมาระยะนาน และการท่องเที่ยวในประเทศจะเป็นตัวเลือกที่นักเดินทางต้องการมากที่สุด จากผลสำรวจของกลุ่มคนรุ่นใหม่ 71% และกลุ่มครอบครัว 92% ซึ่งจังหวัดท่องเที่ยวที่จะได้รับความนิยมสูงสุด 3 จังหวัดแรกในกลุ่มคนรุ่นใหม่ ได้แก่ เชียงใหม่ ภูเก็ต ชลบุรี ตามลำดับ และในกลุ่มครอบครัว ได้แก่ เชียงใหม่ ประจวบคีรีขันธ์ ชลบุรี ตามลำดับ นอกจากนี้จากการสัมภาษณ์กลุ่มครอบครัวตัวอย่างท่านหนึ่ง ให้ความเห็นว่า “อยากออกไปสัมผัสทะเล ภูเขา ได้ดูพระอาทิตย์ขึ้น สูดอากาศธรรมชาติบ้าง เพราะที่ผ่านมาอยู่แต่ในบ้าน ทำงานที่บ้านมาตลอด 5 เดือนเลยค่ะ” และกลุ่มคนรุ่นใหม่ตัวอย่างท่านหนึ่ง ให้ความเห็นว่า “อยากเที่ยวแนวธรรมชาติเพราะอากาศโปร่ง ทำให้กังวลเรื่องติดเชื้อน้อยกว่า”
ผศ. ดร.บุญยิ่ง กล่าวต่อว่า ในการเดินทางท่องเที่ยวหลังโควิด-19 พบว่าธุรกิจที่มงลงได้รับอานิสงค์ระหว่างทริปที่นักเดินทางโหยหาที่สุด คือ ธุรกิจกลุ่มร้านอาหารและคาเฟ่ ซึ่งกลุ่มคนรุ่นใหม่มักมีพฤติกรรมตระเวนหาอาหารโดยจะเลือกร้านที่ไม่แออัด มีพื้นที่นั่งด้านนอก เหมาะแก่การเลี่ยงการนั่งทานอาหารที่ทุกคนต้องถอดหน้ากาก หรือเน้นแบบธรรมชาติ ชมวิวทิวทัศน์ ขณะที่กลุ่มครอบครัว ให้ความสำคัญต่อการพักผ่อนในที่พักเป็นหลักมากกว่า โดยเปลี่ยนเป็นทานอาหารในโรงแรมเป็นหลัก เพราะเชื่อมั่นในการรักษาความสะอาดของภาชนะในโรงแรม และจะเลือกทำกิจกรรมในโรงแรมมากขึ้น เพื่อลดความเสี่ยงในการเดินทาง ซึ่งมาตรการรักษาความสะอาด บรรยากาศของสถานที่ และบริการของพนักงาน จะเป็นสิ่งสำคัญที่นักเดินทางพิจารณามากขึ้นและพร้อมบอกต่อเมื่อรู้สึกประทับใจ อีกหนึ่งการค้นพบที่น่าสนใจคือ ธุรกิจประกันเดินทางเสริมเรื่องโควิด-19 อาจจะเป็นบริการที่มาแรง เพราะกลุ่มคนรุ่นใหม่สนใจซื้อประกันมากถึง 59.4% ขณะที่กลุ่มครอบครัวสนใจซื้อประกัน พุ่งสูงถึง 71.7%
ทั้งนี้ด้านข้อมูลงบประมาณ และระยะเวลาที่นักเดินทางจะใช้สำหรับการวางแผนจัดทริปท่องเที่ยวหลังโควิด-19 พบว่ามีความเปลี่ยนแปลงเล็กน้อย โดยกลุ่มคนรุ่นใหม่ จะเลือกจัดแผนการเดินทางที่ 3-4 วัน เดินทางเป็นกลุ่ม 3-4 คน ตั้งงบประมาณต่อคนไว้ 3,000-5,000 บาท ด้านกลุ่มครอบครัว เลือกจัดทริป 3-4 วัน เฉพาะคนในครอบครัว ตั้งงบประมาณต่อครอบครัวลดลงเหลือ 3,000-5,000 บาท
ซึ่งการตรวจหาเชื้อโควิด-19 หลังจบทริป กลุ่มคนรุ่นใหม่ 70.7% และกลุ่มครอบครัว 65.5% เห็นพ้องตรงกันว่าจำเป็นต้องตรวจหาเชื้อ
โดยช่องทางออนไลน์ในการใช้หาข้อมูลก่อนการเดินทาง พบว่า กลุ่มคนรุ่นใหม่ นิยมดูข้อมูลผ่านแพลตฟอร์ม Facebook 31.1% รองมาคือเว็บไซต์ Google 29.4% และ YouTube 21.9% ด้านกลุ่มครอบครัว นิยมดูข้อมูลผ่านเว็บไซต์ Google 38.6% รองมาคือ Facebook 29.8% และ YouTube 19.8% และข้อมูลเพิ่มเติมที่ต้องการทราบก่อนไปเที่ยว พบว่า 1. มาตรการป้องกัน Covid-19 ของสถานที่ 2. จำนวนผู้ติดเชื้อในพื้นที่ 3. ข้อมูลการให้บริการ เช่น การปรับเปลี่ยนเวลาเปิด-ปิด เป็นต้น
นอกจากนี้ ความเปลี่ยนแปลงที่พบได้ชัดเจนคือ นักเดินทางเลือกติดต่อตรงกับโรงแรม (Direct To Hotel: D2H) เพิ่มขึ้น โดยกลุ่มคนรุ่นใหม่เพิ่มขึ้น 2% และกลุ่มครอบครัวเพิ่มขึ้น 6% ขณะที่การติดต่อจองที่พักผ่าน Online Travel Agent เช่น Booking.com, Agoda ลดน้อยลง กลุ่มคนรุ่นใหม่ ลดลง 5% และกลุ่มครอบครัวลดลง 3%
ซึ่งเงื่อนไขการจองของนักเดินทางทั้ง 2 กลุ่ม คิดเห็นตรงกันว่ายอมจ่ายแพงเพื่อให้ยกเลิกการจองได้ ดีกว่าการจองถูกกว่าแต่ยกเลิกไม่ได้ ทั้งนี้นักเดินทางทั้งสองกลุ่มมีความกังวลเล็กน้อยในการเดินทางโดยเครื่องบิน ในขณะที่การเดินทางโดยรถสาธารณะ กลุ่มคนรุ่นใหม่กังวลเล็กน้อย แต่กลุ่มครอบครัวกังวลมาก และมองว่าการเดินทางโดยรถยนต์ส่วนตัวปลอดภัยกว่า
“ธุรกิจการท่องเที่ยวนับจากนี้ควรเสริมทำ D2H หรือ Direct To Hotel เพิ่มมากขึ้น ให้สอดรับกับพฤติกรรมนักเดินทางที่เปลี่ยนไป โดยเลือกติดต่อการจองที่พักหรือสอบถามข้อมูลกับโรงแรมโดยตรงมากขึ้น อาทิ ข้อมูลมาตรการด้านสุขอนามัย การปรับเปลี่ยนวันเวลา และเงื่อนไขการจองต่างๆ ทดแทนการจองผ่านแอปพลิเคชันเอเจนท์ออนไลน์ที่อาจไม่สามารถให้ข้อมูลเพิ่มเติมกับนักเดินทางได้ ดังนั้นกลุ่มธุรกิจการท่องเที่ยวควรชูจุดขายด้านการสื่อสารกับนักเดินทางโดยตรงผ่านแพลตฟอร์มต่างๆ เช่น LINE OA, Facebook, Instagram เป็นต้น เพื่ออำนวยความสะดวกรับพฤติกรรมดังกล่าวแบบไร้รอยต่อ หรือที่เรียกว่า Frictionsless Contact นอกจากนี้ การติดต่อลูกค้าโดยตรง หรือการทำ Direct to Customer จากผลการสำรวจช่องทางที่ใช้ในการหาข้อมูลในการท่องเที่ยว การโฆษณาออนไลน์ (Online Advertising) ไปยังนักเดินทางกลุ่มเป้าหมายโดยตรง จะยังช่วยเพิ่มแรงบันดาลใจ (Inspiration) และการพิจารณาตัดสินใจ (Consideration) เพื่อสร้างโอกาสสำหรับธุรกิจท่องเที่ยวอีกด้วย”
ด้าน นางสาวธรชญาน์ สุขสายชล นักศึกษาปริญญาโท วิทยาลัยการจัดการ มหาวิทยาลัยมหิดล (CMMU) และหัวหน้าทีมวิจัย กล่าวว่า จากการวิเคราะห์ข้อมูลวิจัย ทำให้ค้นพบแนวโน้มการท่องเที่ยวใหม่ (NEO TOURISM TRENDS) 3 ข้อที่ต้องให้ความสำคัญ ประกอบด้วย 1. Nature Seeking ตามหาธรรมชาติ 2. Hygieneaholic ติดสะอาด และ 3. Flexi Needed ต้องการความยืดหยุ่น พร้อมด้วยกลยุทธ์การตลาดรูปแบบใหม่เพื่อธุรกิจท่องเที่ยวโดยเฉพาะ ที่เรียกว่า “ROADMAP STRATEGIES” ที่จะเป็นแนวทางการรับมือของธุรกิจในภาคการท่องเที่ยวไทยสู่ยุค NEO TOURISM รับปี 2565 ครั้งสำคัญ มีรายละเอียดดังต่อไปนี้
ทั้งนี้ วิทยาลัยการจัดการ มหาวิทยาลัยมหิดล (CMMU) ได้จัดสัมมนาการตลาด “Neo Tourism - ท่องเที่ยวมิติใหม่ เจาะอินไซต์นักเดินทาง” ขึ้น ในรูปแบบเฟซบุ๊กไลฟ์ (Facebook Live) ผ่านเพจเฟซบุ๊ก Neo Tourism - ท่องเที่ยวมิติใหม่ เจาะอินไซต์นักเดินทาง และสำหรับผู้สนใจศึกษาต่อระดับปริญญาโท ด้านการจัดการหลักสูตรไทย-นานาชาติ สมัครได้ตั้งแต่วันนี้ – 4 ตุลาคม 2564 ที่ https://apply.cm.mahidol.ac.th/web/ หรือสอบถามข้อมูลเพิ่มเติมได้ที่ โทรศัพท์ 02-206-2000 หรือเพจ Facebook: CMMU Mahidol
ลงทะเบียนเข้าสู่ระบบ เพื่ออ่านบทความฟรีไม่จำกัด