บริษัท เอ็นทีที เดต้า (ประเทศไทย) (NTT DATA) ภายใต้เครือบริษัท เอ็นทีที เดต้า คอร์ปอเรชัน จำกัด ชี้ธุรกิจทั่วโลกหันมาให้ความสำคัญกับ Data-Driven Marketing เครื่องมือการตลาดยุคดิจิทัล ช่วยเสนอสินค้าและบริการได้ตรงใจผู้บริโภคยุคใหม่
พร้อมเปิด 4 เทรนด์สำคัญในโลก Data Marketing เกิดการลงทุน MarTech มากขึ้น มีความต้องการจัดเก็บและใช้ข้อมูลแบบเรียลไทม์ เน้นความสมดุลของความเป็นส่วนตัวและความปลอดภัยด้านข้อมูลของลูกค้า แนะ 5 บริการเพื่อการวางกลยุทธ์ เลือกเครื่องมือสร้างขุมทรัพย์ข้อมูลปลดล็อกอุปสรรคนำไปสู่การก้าวสู่สุดยอดข้อมูลเพื่อการตลาด ย้ำกลุ่มธุรกิจชั้นนำหันมาให้ความสำคัญกับการลงทุน Data และ AI โดย 1 ใน 3 ผู้นำในแต่ละอุตสาหกรรมที่ให้ความสำคัญด้านข้อมูลสามารถทำกำไรได้สูงขึ้น
คุณฮิโรนาริ โทมิโอกะ ประธานกรรมการและประธานกรรมการบริหาร บริษัท เอ็นทีที เดต้า (ประเทศไทย) จำกัด เปิดเผยว่า ภาคธุรกิจทั่วโลกรวมถึงประเทศไทยหันมาให้ความสำคัญกับการจัดเก็บและบริหารข้อมูลเพื่อการตลาดมากขึ้น หากกล่าวถึงเทรนด์ของ Data-Driven Marketing ในปี 2022 นี้ NTT DATA เล็งเห็นถึงการเติบโตและความสำคัญของเครื่องมือ MarTech (Marketing Technology) โดยเฉพาะเครื่องมือที่เกี่ยวข้องกับการสร้างประสบการณ์ที่ดีให้กับลูกค้า (Customer Experience) แบ่งออกเป็น 4 เทรนด์ได้แก่
ทั้งนี้ จากประสบการณ์การทำงานร่วมกับผู้ประกอบการไทยพบปัญหาและอุปสรรคสำคัญของการสร้าง Data-Driven Marketing ของธุรกิจไทยคือความรู้ความเข้าใจ และหากมองลึกในมุมของข้อมูลจะพบปัญหาด้านคุณภาพของข้อมูล เช่น เก็บข้อมูลไม่ครบ ข้อมูลซ้ำซ้อน เกิดปัญหาด้านการหาความสัมพันธ์ของข้อมูล หรือมีข้อมูลมากเกินไป จนจมไปกับมหาสมุทรข้อมูลไม่รู้ว่าจะนำข้อมูลส่วนใดมาใช้ให้เกิดประโยชน์หรือมองไม่ออกว่าข้อมูลส่วนใดสำคัญกับธุรกิจ
การก้าวข้ามอุปสรรคนี้ ธุรกิจจำเป็นต้องรู้ว่า Pain pointของธุรกิจคืออะไร เพื่อกำหนดกลยุทธ์และเป้าหมายการใช้ข้อมูลของธุรกิจ นำมาซึ่งสินค้าและบริการที่ตรงใจลูกค้ามากขึ้น ช่วยลดต้นทุนการขายและการตลาด จนนำไปสู่จุดหมายปลายทางของการสร้างรายได้และผลกำไรให้ธุรกิจอย่างยั่งยืน
โดย NTT DATA Thailand ได้ออกแบบบริการด้าน Data-Driven Marketing ไว้ 5 กลุ่มบริการ ครอบคลุมทุกมิติตั้งแต่ต้นน้ำไปจนถึงปลายน้ำ เริ่มต้นด้วยการเข้าไปให้คำปรึกษาถึงกระบวนการดำเนินการ และดูแลปรับปรุงให้ทันสมัยอย่างต่อเนื่อง อันได้แก่
คุณฮิโรนาริ ทิ้งท้ายว่า จากการศึกษาองค์กรธุรกิจต่างๆ NTT DATA พบว่า องค์กรต่างให้ความสำคัญกับการใช้ข้อมูลอย่างมีประสิทธิภาพ เพื่อพัฒนาประสบการณ์อันดีของลูกค้า (Customer Experience) คิดเป็นสัดส่วนถึง 48% โดย 39% นำไปขับเคลื่อนนวัตกรรมสินค้า 37% นำข้อมูลไปใช้ในการคิดโมเดลธุรกิจใหม่ 36% ใช้เพื่อนำไปขับเคลื่อนรายได้ช่องทางใหม่ๆ 31% นำข้อมูลไปใช้เพื่อบุกตลาด
ทั้งนี้ 79% ขององค์กรเข้าใจถึงคุณค่าของข้อมูลเเละมองว่าเป็นกุญเเจสำคัญของการสร้างกลยุทธ์ โดยมีโควิด-19 เป็นบททดสอบที่สำคัญของความจำเป็นในการพึ่ง Data ของธุรกิจ เพื่อให้ธุรกิจสามารถตั้งรับเเละสั่งการได้อย่างทันท่วงที รองรับความต้องการของลูกค้าบนวิถีชีวิตใหม่ เช่น การให้บริการแบบไร้สัมผัส (Contactless Experience)
และอ้างอิงจาก Harvard Business Review พบว่าธุรกิจที่ใช้ Data-Driven Marketing จะมีโอกาสประสบผลสำเร็จมากกว่า โดย 99% ของบริษัท Fortune top 1,000 ได้ลงทุนไปกับ data และ AI ข้อมูลอิงจากสถิติของ Mckinsey ระบุว่าองค์กรที่ขับเคลื่อนด้วย Customer Analytics อย่างแท้จริง จะทำให้ผลประกอบการแซงหน้าคู่แข่งได้ จากความสามารถเพิ่มลูกค้าใหม่ได้ถึง 23 เท่า เพิ่มความสามารถในการรักษาฐานลูกค้าเดิมได้ถึง 6 เท่า และสามารถทำกำไรได้สูงกว่า 19 เท่า เมื่อเทียบกับการที่ไม่ได้ใช้ data มาเป็นตัวขับเคลื่อน โดยจะทำให้เกิดช่องว่างระหว่างธุรกิจกลุ่มที่นำ data มาใช้ขับเคลื่อนเป็นกลุ่มแรกๆ (Leader) ทิ้งห่างจากกลุ่มล้าหลัง(Laggard) ค่อนข้างมากและจะยิ่งห่างมากขึ้นเรื่อยๆ
NTT DATA ในฐานะผู้เชี่ยวชาญด้านการบริหารจัดการข้อมูล เห็นว่า องค์กรต่างๆ ควรให้ความสำคัญกับรับฟังความเห็นของลูกค้ามากขึ้นและนำความเห็นนั้น แปลงเป็นข้อมูลสำคัญในการตัดสินใจ วางกลยุทธ์ทางธุรกิจ การสร้างประสบการณ์ใหม่ๆใหแก่ลูกค้า ด้วยการเปลี่ยนสิ่งที่ไม่รู้จักให้กลายเป็นพรมแดนใหม่เพิ่มมูลค่าการตลาดและธรุกิจ
ลงทะเบียนเข้าสู่ระบบ เพื่ออ่านบทความฟรีไม่จำกัด