จากสรุปรายงานผลสำรวจความคิดเห็นเกี่ยวกับทักษะและการทำงานปี 2021 (SCB EIC Labor Survey 2021) เผยว่าการพัฒนาทักษะ (Reskill-Upskill) เป็นเรื่องสำคัญมากกว่าที่เคยสำหรับแรงงานทุกคน แรงงานไทยได้รับผลกระทบจากสถานการณ์ COVID-19 ที่รุนแรง
คนจำนวนมากสูญเสียรายได้และความมั่นคงของงานไป อีกทั้งการฟื้นตัวจากผลกระทบเหล่านั้นก็น่าจะไม่ได้เกิดขึ้นรวดเร็วนักตามภาวะเศรษฐกิจที่เติบโตช้าและยังมีปัจจัยลบรุมเร้าต่อเนื่อง
วิกฤตดังกล่าวได้ส่งผลรุนแรงเป็นพิเศษต่อกลุ่มแรงงานทักษะน้อย-รายได้น้อย นอกจากนี้ ความต้องการแรงงานในอนาคตก็ยังมีแนวโน้มที่เปลี่ยนไปจากเดิม ทั้งจากภาคธุรกิจที่จะจ้างงานน้อยลง รวมถึงประเภทของงานที่มีแนวโน้มเปลี่ยนไปตามการพัฒนาของเทคโนโลยี สร้างแรงกดดันเพิ่มเติมต่อแรงงานจำนวนมากที่บอบช้ำมาจากวิกฤต
ทางออกสำคัญในระยะข้างหน้าสำหรับแรงงานในสภาพแวดล้อมดังกล่าว คือ การเร่งพัฒนาทักษะ ทั้งการปรับทักษะ (Reskill) สำหรับแรงงานที่ทักษะเดิมเริ่มมีความต้องการลดลงและอาจสูญหายจากการถูกทดแทนด้วยเทคโนโลยี และการเพิ่มทักษะ (Upskill) อันเป็นการต่อยอดทักษะเดิมให้สามารถสร้างมูลค่าทางเศรษฐกิจได้สูงขึ้น การพัฒนาทักษะจะช่วยให้แรงงานไทยสามารถฟื้นตัวได้จากภาวะวิกฤตเศรษฐกิจที่กำลังเผชิญและสามารถรับมือได้กับโลกยุคปัจจุบันที่การเปลี่ยนแปลงต่าง ๆ เกิดขึ้นอย่างรวดเร็ว
ผลการสำรวจเกี่ยวกับทักษะและการทำงานของแรงงานปี 2021 ของ EIC (EIC Labor Survey 2021) พบว่า ประมาณครึ่งหนึ่งของผู้ตอบแบบสำรวจได้ทำการพัฒนาทักษะในช่วง COVID-19 ที่ผ่านมา แต่ไม่ใช่ทุกกลุ่มที่มีโอกาสเท่ากัน
จากข้อมูลผลสำรวจ พบว่า 56% ของผู้ตอบแบบสอบถาม ได้ทำการพัฒนาทักษะในช่วงปีที่ผ่านมาไม่มากก็น้อย ซึ่งส่วนใหญ่เป็นการพัฒนาทักษะด้วยตนเอง โดยเหตุผลหลักในการพัฒนาทักษะคือเพื่อสนับสนุนงานที่ทำอยู่ในปัจจุบัน และต้องการเรียนรู้เพิ่มเติม โดยส่วนใหญ่ที่ได้ทำการพัฒนาทักษะมาแล้วนั้นเห็นว่าเป็นประโยชน์ต่อตนเองค่อนข้างมาก
อย่างไรก็ตาม การเข้าถึงการพัฒนาทักษะของแรงงานแต่ละกลุ่มยังมีความไม่เท่าเทียมกันอยู่ โดยเฉพาะกลุ่มคนรายได้น้อยที่มีสัดส่วนของคนที่ได้พัฒนาทักษะน้อยกว่าคนรายได้สูงอย่างเห็นได้ชัด โดยกลุ่มผู้ตอบแบบสอบถามที่มีรายได้น้อยกว่า 1.5 หมื่นบาทต่อเดือน
มีสัดส่วนผู้ที่ได้ทำการพัฒนาทักษะในช่วง 1 ปีที่ผ่านมาเพียง 40% ขณะที่กลุ่มผู้รายได้มากกว่านั้นจะมีสัดส่วนดังกล่าวที่สูงกว่า โดยกลุ่มคนที่เงินเดือนมากกว่า 1 แสนบาทมีสัดส่วนผู้ได้พัฒนาทักษะสูงสุดถึง 69%
นอกจากนี้ กลุ่มลูกจ้าง SMEs ก็เป็นอีกกลุ่มที่ได้รับโอกาสในการฝึกทักษะน้อยกว่ากลุ่มลูกจ้างบริษัทใหญ่หรือลูกจ้างภาครัฐอยู่มาก โดยมีเพียง 36% ของกลุ่มลูกจ้าง SMEs เท่านั้นที่ได้รับการพัฒนาทักษะผ่านคอร์สที่นายจ้างจัดให้ ขณะที่สำหรับกลุ่มลูกจ้างบริษัทเอกชนขนาดใหญ่และกลุ่มลูกจ้างภาครัฐ สัดส่วนดังกล่าวจะอยู่สูงถึงราว 69%
ความไม่เท่าเทียมในแง่ของการได้รับการฝึกทักษะนี้ถือเป็นปัญหาสำคัญที่ภาครัฐอาจต้องมีมาตรการสนับสนุนสำหรับกลุ่มที่ขาดโอกาส เพราะคนกลุ่มนี้ก็มักจะเป็นกลุ่มเดียวกันกับที่ได้รับผลกระทบมากในช่วงวิกฤตที่ผ่านมา การขาดซึ่งโอกาสในการพัฒนาทักษะเพื่อปรับตัวจะยิ่งเป็นการซ้ำเติมปัญหาความเหลื่อมล้ำที่มีมากอยู่แล้ว
ในระยะข้างหน้า แรงงานไทยส่วนใหญ่มีความสนใจที่จะพัฒนาทักษะ โดยทักษะด้านการเงิน-การลงทุนเป็นทักษะที่คนไทยสนใจมากที่สุด ขณะที่ช่องทางออนไลน์เป็นทางเลือกอันดับหนึ่งสำหรับการเรียนรู้ของคนทุกช่วงวัย
ข้อมูลผลสำรวจ พบว่า ผู้ตอบแบบสำรวจส่วนใหญ่ถึง 87% สนใจที่จะพัฒนาทักษะของตนเองในช่วง 1 ปีข้างหน้า สำหรับทักษะที่คนไทยสนใจมากเป็นอันดับหนึ่งคือทักษะด้านการเงิน-การลงทุน ตามมาด้วยภาษาต่างประเทศ และทักษะด้านการทำธุรกิจ
โดยทั้ง 3 ทั้งทักษะนี้ เป็น Top 3 ในทุกกลุ่มอายุ ขณะที่ทักษะด้านเทคโนโลยี เช่น การเขียนโปรแกรม วิเคราะห์ข้อมูล หรือสร้างแอปพลิเคชัน ที่คาดว่าจะเป็นที่ต้องการเพิ่มขึ้นมากในโลกยุคใหม่นั้นได้รับความนิยมอยู่ในระดับปานกลาง
ในส่วนของช่องทางการพัฒนาทักษะ ผู้ตอบแบบสอบถามที่สนใจพัฒนาทักษะถึง 72% เลือกช่องทางออนไลน์ (เช่น คอร์สออนไลน์ Youtube หรือ แพลตฟอร์มโซเชียลมีเดียต่าง ๆ) เป็นทางเลือกอันดับหนึ่ง โดยพบว่าเป็นทางเลือกที่ได้รับความนิยมมากที่สุดในทุกช่วงวัย รวมถึงกลุ่มผู้สูงอายุด้วย
ในด้านความพร้อมในการลงทุนกับการพัฒนาทักษะนั้น ผู้ตอบแบบสอบถามที่สนใจพัฒนาทักษะถึง 45% มองว่าการพัฒนาทักษะนั้นจะไม่มีค่าใช้จ่าย ส่วนหนึ่งคาดว่ามาจากการที่คนส่วนใหญ่เลือกใช้ช่องทางออนไลน์ซึ่งมักไม่เสียค่าใช้จ่าย โดยสัดส่วนคนที่พร้อมจะใช้จ่ายในระดับสูง (มากกว่า 20% ของรายได้ต่อเดือนขึ้นไป) มีไม่มากเพียง 4% ของผู้ตอบแบบสอบถามที่สนใจพัฒนาทักษะทั้งหมด
ระดับความสนใจและระดับการลงทุนในการพัฒนาทักษะของแต่ละคนจะแตกต่างกันไปตามทัศนคติต่องานและความสามารถของตนเอง การวิเคราะห์ข้อมูลผลสำรวจพบว่าทัศนคติของแรงงาน เมื่อพิจารณาจากคำถามเกี่ยวกับความเพียงพอของความสามารถตนเองและความมั่นคงของงานที่ทำอยู่ มักมีความแตกต่างที่นำไปสู่ความสนใจและพฤติกรรมการพัฒนาทักษะที่ต่างกัน โดยกลุ่มคนที่กังวลว่าตนเองมีความสามารถไม่เพียงพอและงานที่ทำอยู่ไม่มั่นคง มักมีความกระตือรือร้นในการพัฒนาทักษะมากกว่า โดยจะมีสัดส่วนของคนที่สนใจที่จะพัฒนาทักษะมากกว่า ยอมจ่ายเงินในการฝึกทักษะมากกว่า และยังพร้อมที่จะใช้เวลาใน
การพัฒนาทักษะมากกว่ากลุ่มอื่น ๆ อีกด้วย ทั้งนี้จากการวิเคราะห์ในแง่มุมดังกล่าวมีข้อมูลที่น่าสังเกตคือ คนที่ตอบว่า“ไม่แน่ใจ” ในความสามารถตนเองหรือความมั่นคงของงาน จะเป็นกลุ่มที่แสดงความกระตือรือร้นในการพัฒนาทักษะน้อยที่สุด ซึ่งน้อยกว่าคนที่มั่นใจในงานและทักษะของตนเองด้วยซ้ำ ความแตกต่างจุดนี้บ่งชี้ถึงความสำคัญของการให้ข้อมูลและการสร้างการรับรู้ (awareness) เกี่ยวกับความสามารถในการแข่งขันของแรงงานแต่ละคน อันเป็นจุดตั้งต้นของแรงผลักดันให้เกิดความต้องการที่จะพัฒนาทักษะของตนเอง
EIC มองว่าการพัฒนาทักษะของแรงงานไทยเป็นเรื่องสำคัญต่ออนาคตของประเทศที่ต้องการการสนับสนุนอย่างรอบด้านและทั่วถึงอันประกอบไปด้วย 5 ด้านที่สำคัญ
ลงทะเบียนเข้าสู่ระบบ เพื่ออ่านบทความฟรีไม่จำกัด