
หลายคนคงเคยเจอคนที่คุยด้วยแล้วรู้สึกเหนื่อยใจเป็นพิเศษ การรับมือกับคนเหล่านี้ไม่ใช่แค่เสียเวลา แต่ยังกินพลังงานไปไม่น้อย คนส่วนใหญ่เวลาเจอสถานการณ์แบบนี้จะเลือกสองทางหลักๆ คือ ไม่เถียงกลับก็หลีกเลี่ยง ซึ่งก็รู้ดีว่าทั้งสองวิธีแทบไม่ได้ช่วยอะไร แต่มีอยู่ 3 เทคนิคที่ทำแล้วได้ผลดีมากและนักวิจัยยืนยันแล้วว่าได้ผลจริง
เพื่อให้เห็นภาพว่าเทคนิคทั้ง 3 ข้อนี้ทำงานอย่างไรในชีวิตจริง ลองมาดูเรื่องราวของอดัมและมาร์โกที่ต้องทำงานกับพ่อตาของตัวเอง พ่อตาป็นหัวหน้าที่มักมองว่าคนอื่นทำอะไรไม่เข้าท่าอยู่ตลอด คำพูดที่พวกเขาได้ยินจนชินคือ 'คิดออกมาได้ยังไง' ซึ่งทั้งคู่ได้ลองมาหมดแล้วทั้งการอธิบายเหตุผลและการทำเป็นไม่สนใจ แต่ก็ดูเหมือนจะยิ่งทำให้สถานการณ์แย่ลง พวกเขาเลยลองเปลี่ยนมุมมองใหม่ทั้งหมด แทนที่จะโฟกัสอยู่กับพฤติกรรมแย่ๆ ของพ่อตา พวกเขาลองใช้หลักการที่ว่า ‘ลองมองเจตนาให้ลึก’ แต่ไม่ได้หมายความว่าเราต้องยอมรับพฤติกรรมนั้นนะ แต่แค่มองให้ลึกเข้าไปถึงเจตนาของคนๆ นั้นจริง ๆ
เมื่อเริ่มวิเคราะห์ดู พวกเขาก็เข้าใจว่าเจตนาของพ่อตาคือ 'อยากให้ธุรกิจครอบครัวมั่นคง และอยากฝึกให้พวกเขาทั้งสองคนเก่งพอที่จะดูแลกิจการต่อไปได้' ซึ่งความเข้มงวดนี้ไม่ได้มาจากความไม่ชอบ แต่มาจากความหวังดีและความคาดหวังที่สูง เมื่อเข้าใจแบบนี้วิธีการสื่อสารก็เปลี่ยนไป พวกเขาเริ่มคุยกับพ่อตาโดยยึด เป้าหมายร่วมกัน เป็นที่ตั้ง ผลลัพธ์ที่ได้คือดีขึ้นจริง พ่อตาเปิดใจรับฟังมากขึ้นและความสัมพันธ์ที่ตึงเครียดก็ค่อยๆ หายไป
1. ช่วยลดกำแพงของอีกฝ่าย
เมื่อเราพยายามทำความเข้าใจมุมมองของใครก็ตาม มันเหมือนเป็นการส่งสัญญาณไปว่า "เราเข้าใจเรื่องราวนั้น" ผลการวิจัยยังพบว่าเมื่อคนเรารู้สึกว่ามีคนเข้าใจและรับฟัง เขาจะลดการป้องกันตัวเองลงและเปิดใจที่จะสื่อสารกับเรามากขึ้น
2. ช่วยให้เราควบคุมอารมณ์ตัวเองได้ดีขึ้น
ข้อนี้สำคัญมาก เพราะความคิดของเราจะกำหนดการกระทำ ถ้าเราคิดว่าเขาตั้งใจหาเรื่อง เราก็มักจะใช้อารมณ์ตอบโต้ แต่ถ้าเปลี่ยนไปคิดว่าเขาอาจแค่หวังดี เราจะสามารถใช้เหตุผลในการจัดการปัญหาได้ดีขึ้น ทำให้ใจเย็น มีสติ และหาทางออกที่ดีกว่าการโต้ตอบด้วยอารมณ์ได้
อ้างอิง: yahoo
ลงทะเบียนเข้าสู่ระบบ เพื่ออ่านบทความฟรีไม่จำกัด