ปี 2025 โลกของการทำงานเปลี่ยนไปอย่างรวดเร็ว ไม่ใช่แค่เทคโนโลยีที่เข้ามามีบทบาท แต่พฤติกรรมของคนทำงานและแนวโน้มของบริษัทก็เปลี่ยนไปด้วย การสมัครงานไม่ใช่แค่การส่งเรซูเม่แล้วรอเรียกสัมภาษณ์อีกต่อไป เพราะ AI เข้ามาช่วยคัดกรองผู้สมัคร งานประจำไม่ได้เป็นตัวเลือกเดียวอีกแล้ว เพราะงานฟรีแลนซ์และสัญญาจ้างกำลังเติบโต ขณะที่รูปแบบการทำงานก็ปรับไปสู่ "ไฮบริด" มากขึ้น หากคุณกำลังหางาน หรือคิดจะเปลี่ยนเส้นทางอาชีพในปีหน้า การเข้าใจเทรนด์เหล่านี้จะช่วยให้คุณเตรียมพร้อมได้ดีกว่าเดิม
![](https://storage.googleapis.com/techsauce-prod/ugc/uploads/2025/1/1738216520_%E0%B8%9B%E0%B8%81%E0%B8%82%E0%B9%88%E0%B8%B2%E0%B8%A71200x800_%282%29.jpg)
1. งาน "ไฮบริด" กำลังครองตลาด
งานรีโมทที่เคยได้รับความนิยมสูงช่วงโควิด กำลังถูกเบียดด้วยงานแบบไฮบริด หลายบริษัทเริ่มให้พนักงานกลับเข้าออฟฟิศ แม้ว่า 63% ของคนทำงานจะยอมลดเงินเดือนเพื่อทำงานจากที่บ้านต่อ
แต่ทำไมงานไฮบริดถึงมาแรง?
- งานแบบนี้ให้อิสระมากขึ้น ไม่ต้องเข้าออฟฟิศทุกวัน แต่ก็ยังได้ปฏิสัมพันธ์กับเพื่อนร่วมงาน
- 96% ของคนทำงานบอกว่างานไฮบริดหรือรีโมทช่วยให้สุขภาพจิตดีขึ้น เพราะลดความเครียดจากการเดินทาง และมีเวลาส่วนตัวมากขึ้น
- บริษัทเองก็ใช้ไฮบริดเป็นข้อได้เปรียบในการดึงดูดพนักงานเก่ง ๆ
ถ้าหางานอยู่: ถามรายละเอียดให้ชัดว่างานไฮบริดที่บริษัทมีกี่วัน เข้าออฟฟิศกี่วัน เพราะแต่ละที่ให้ไม่เท่ากัน บางที่ให้เลือกเอง บางที่กำหนดวันตายตัว
2. งานฟรีแลนซ์-สัญญาจ้าง กำลังบูม
หลายคนหันมาทำงานฟรีแลนซ์หรืองานสัญญาแทนงานประจำ เพราะต้องการความยืดหยุ่นมากขึ้น
ทำไมมันถึงมาแรง?
- ขาดแรงงานที่มีทักษะเฉพาะทาง เช่น การตลาดดิจิทัล วิศวกรรมซอฟต์แวร์ UX/UI Design
- ธุรกิจเองก็ชอบ เพราะจ้างคนเก่ง ๆ มาทำงานเฉพาะทางได้ โดยไม่ต้องมีภาระผูกพันแบบพนักงานประจำ
- แพลตฟอร์มทำงานต่างๆ ทำให้การรับงานอิสระเป็นเรื่องที่ง่ายขึ้น
ถ้าอยากเริ่มงานฟรีแลนซ์
- ลองรับโปรเจกต์สั้น ๆ ก่อน เพื่อสร้างพอร์ต
- ฝึกทักษะที่ตลาดต้องการ เช่น การตลาดออนไลน์ โปรแกรมมิ่ง UX/UI
- โชว์ผลงานบน LinkedIn หรือ TikTok ให้คนเห็นว่าคุณมีความสามารถจริง ลูกค้าส่วนใหญ่ชอบดูตัวอย่างผลงานก่อนตัดสินใจจ้าง
3. การสัมภาษณ์ไวขึ้น ใช้ AI มากขึ้น
กระบวนการสัมภาษณ์งานที่ยาวและหลายรอบกำลังจะลดลง เพราะ AI ถูกนำมาใช้ในงาน HR มากขึ้น
- บริษัทกว่า 25% ใช้ AI ช่วยคัดกรองใบสมัคร และวิเคราะห์ว่าผู้สมัครคนไหนเหมาะสม
- AI สแกนหาคีย์เวิร์ดในเรซูเม่และโปรไฟล์ ถ้าคุณไม่อัปเดต อาจถูกมองข้ามไปเลย
- บางบริษัทใช้ AI ในการสัมภาษณ์เบื้องต้นผ่านแชทบอท หรือให้ทำแบบทดสอบออนไลน์
เคล็ดลับ
- อัปเดตเรซูเม่และ LinkedIn ให้มีคีย์เวิร์ดที่เป็นที่ต้องการ เช่น ชื่อทักษะ หรือซอฟต์แวร์ที่คุณใช้
- อย่าหวังพึ่ง AI อย่างเดียว สมัครงานเองและสร้างเครือข่าย เช่น คอมเมนต์บนโพสต์ใน LinkedIn หรือเข้าร่วมกลุ่มอาชีพ
4. เปิดเผยเงินเดือนและความต้องการมากขึ้น
ลองนึกภาพว่าคุณเลือกของเต็มตะกร้าแต่ไม่รู้ราคาจนถึงตอนจ่ายเงิน น่าหงุดหงิดใช่ไหม? การหางานก็เหมือนกัน
- กว่า 50% ของการประกาศงานเริ่มเปิดเผยเงินเดือนแล้ว
- บางบริษัทเปิดให้ผู้สมัครเสนอเงินเดือนที่ต้องการ แล้วเจรจากันตรง ๆ
- ความโปร่งใสเรื่องเงินเดือนช่วยให้ทั้งบริษัทและผู้สมัครประหยัดเวลา เพราะรู้แต่แรกว่าตรงกันไหม
เคล็ดลับ
- อย่ากลัวที่จะถามเงินเดือนและสวัสดิการตั้งแต่แรก
- ถามให้ชัดว่ามีโบนัส ค่าคอมมิชชั่น หรือสวัสดิการอะไรเสริมบ้าง
5. ใช้ AI ช่วยได้ แต่ต้องใช้อย่างระวัง
AI เขียนเรซูเม่ได้ดี แต่ถ้าใช้มากไปจนขาดความเป็นตัวเองก็อาจเป็นปัญหาตามมาได้
- 53% ของ HR ไม่ชอบเรซูเม่ที่ดูใช้ AI มากเกินไป
- 20% ของ HR ถึงกับปฏิเสธเรซูเม่ที่ดูเหมือนใช้ AI เขียน เพราะมันขาด "ความเป็นตัวตนของผู้สมัคร"
สิ่งที่บริษัทต้องการคือ เห็นตัวตน ความตั้งใจ และเรื่องราวของคุณจริง ๆ การพึ่ง AI มากเกินไป ทำให้ดูเหมือนว่าคุณไม่ได้คิดอะไรมาเองเลย
วิธีที่ถูกต้อง
- เริ่มร่างเรซูเม่เอง ใส่ประสบการณ์และจุดแข็งของคุณเองก่อน
- ใช้ AI แค่ช่วยปรับให้ดีขึ้น แต่อย่าให้มันเขียนแทนทั้งหมด
อ้างอิง: forbes