นโยบายการศึกษาจะดูแลคุณภาพชีวิตของเด็กไทยอย่างไรในวันที่ต้องปิดโรงเรียนหนี COVID-19 ? | Techsauce

นโยบายการศึกษาจะดูแลคุณภาพชีวิตของเด็กไทยอย่างไรในวันที่ต้องปิดโรงเรียนหนี COVID-19 ?

โรงเรียนไม่ได้เป็นเพียงสถานที่จัดการศึกษา แต่ยังให้บริการสวัสดิการอื่นๆ ที่เกี่ยวข้องกับชีวิตความเป็นอยู่ของเด็ก เมื่อมีมาตรการปิดโรงเรียนเนื่องจากสถานการณ์การระบาดของ COVID-19 ความเสียหายจึงไม่ได้เกิดขึ้นกับการศึกษาเท่านั้น แต่ยังมีต้นทุนอื่นที่กระทบคุณภาพชีวิตของเด็กไปด้วย ทั้งด้านโภชนาการ ความปลอดภัยและสุขภาพจิต

ภาพโดย stokpic จาก Pixabay

ด้านโภชนาการของนักเรียน

ในประเทศไทย โรงเรียนรัฐทุกแห่งได้รับเงินอุดหนุนสำหรับจัดสรรอาหารกลางวันและนมให้เด็กทุกคนในศูนย์พัฒนาเด็กเล็กจนถึงระดับประถมศึกษา โดยไม่มีเงื่อนไขด้านสถานะทางเศรษฐกิจ จากข้อมูลโครงการอาหารกลางวันทั่วโลกของ The Global Child Nutrition Foundation พบว่า เงินอุดหนุนดังกล่าวครอบคลุมเด็กประถมของไทยจำนวนเกือบ 4.1 ล้านคน  มาตรการปิดโรงเรียนจึงอาจทำให้เด็กเหล่านั้นมีความเสี่ยงที่จะไม่ได้รับสวัสดิการดังกล่าว 

แม้จะเป็นเพียงมื้อเดียวของวัน อาหารกลางวันที่โรงเรียนอาจเป็นโอกาสเดียวที่จะได้รับสารอาหารครบถ้วนของกลุ่มเด็กในพื้นที่ชนบทหรือกลุ่มที่มาจากครอบครัวฐานะยากจน ซึ่งมีแนวโน้มน้ำหนักร่างกายต่ำกว่าเกณฑ์มากกว่าเด็กกลุ่มอื่นในวัยเดียวกัน    ข้อมูลของกองทุนเพื่อความเสมอภาคทางการศึกษา (กสศ.) ชี้ว่า จากนักเรียนยากจนพิเศษทั้งหมดจำนวน 720,946 คน มีนักเรียนระดับชั้นประถมศึกษาจำนวน 29,991 คนที่มีภาวะทุพโภชนาการ (น้ำหนักและส่วนสูงไม่เป็นไปตามเกณฑ์มาตรฐานที่กรมอนามัยกำหนด)

ในช่วงที่ใช้มาตรการปิดโรงเรียน รัฐควรเร่งหาแนวทางประกันสวัสดิการนี้ให้คงอยู่ต่อไป โดยประสานงานกับองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น (อปท.) ที่มีหน้าที่จัดสรรนมและอาหารกลางวัน เพื่อหาแนวทางการจัดสรรงบประมาณใหม่สำหรับสร้างหลักประกันด้านโภชนาการแก่นักเรียนในช่วงกักตัวอยู่บ้าน เช่น จัดสรรเป็นเงินอุดหนุนให้แก่ครอบครัวนักเรียนโดยตรง หรือใช้แนวทางแบบสหราชอาณาจักร ที่ให้รัฐบาลท้องถิ่นเป็นผู้แจกอาหารให้ครอบครัวนักเรียน หรือให้เป็นคูปองเพื่อนำไปแลกอาหารกับร้านค้าในพื้นที่ได้ นอกจากนี้ รัฐควรให้ความรู้ทางด้านโภชนาการแก่ครอบครัวนักเรียนในช่วงปิดโรงเรียน 

ด้านความปลอดภัยและสุขภาพจิตของนักเรียน

ในบทความ ระวังความรุนแรงในโรคระบาด เมื่อ “บ้าน” อาจไม่ใช่ที่ปลอดภัยสำหรับทุกคน ดร. บุญวรา สุมะโน เจนพึ่งพร ได้ยกบทเรียนจากหลายประเทศที่แสดงให้เห็นว่า อัตราความรุนแรงในครอบครัวที่เกิดขึ้นกับเด็กและผู้หญิงเพิ่มสูงขึ้นกว่าปกติ ในช่วงมาตรการปิดเมืองและมาตรการกักตัวอยู่บ้าน ไม่ว่าจะเป็นเหตุการณ์แพร่ระบาดของไวรัสโควิด-19 ในมณฑลหูเป่ย์ ประเทศจีนและเขต Nassau ในนิวยอร์ก เหตุการณ์แพร่ระดับของเชื้ออีโบล่าในแอฟริกาช่วงปี พ.ศ. 2557-2559  ตลอดจนเหตุการณ์น้ำท่วมใหญ่ในประเทศไทย เมื่อปี พ.ศ. 2554 ที่ทำให้กิจกรรมทางเศรษฐกิจหยุดชะงัก และประชาชนต้องติดอยู่ในบ้านเป็นเวลานาน

แม้ประเทศไทยยังไม่มีข้อมูลเชิงสถิติเรื่องการเพิ่มขึ้นของความรุนแรงในครอบครัวในช่วงที่ใช้มาตรการกักตัวเพื่อควบคุมการแพร่ระบาดของไวรัสโควิด-19  แต่ข้อมูลในช่วงปกติที่ผ่านมาก็เตือนให้เราเห็นว่า โดยปกติเด็กและผู้หญิงในประเทศไทยมีความเสี่ยงที่จะเผชิญกับความรุนแรงค่อนข้างสูง ความเสี่ยงของปัญหาดังกล่าว จากการสำรวจพหุดัชนีแบบจัดกลุ่ม (Multiple Indicator Cluster Survey: MISC) ขององค์การ UNICEF ประเทศไทย พบว่า สถานการณ์เด็กและสตรีในประเทศไทยมีความเสี่ยงที่จะเผชิญกับความรุนแรงค่อนข้างสูง เห็นได้จากจำนวนเด็กอายุต่ำกว่า 15 ปี จำนวนกว่าร้อยละ 75 เคยถูกผู้ดูแล (Caregivers) ทุบตี (Physical Punishment) หรือทำร้ายทางจิตใจ (Psychological Aggression) และในแต่ละปี มีเด็กมากกว่า 10,000 คนที่เข้ารับการรักษาที่โรงพยาบาล เนื่องจากถูกทำร้ายร่างกาย โดยส่วนใหญ่เป็นการล่วงละเมิดทางเพศ (Sexual Abuse)  สาเหตุเป็นเพราะพ่อแม่ผู้ปกครองส่วนหนึ่งของไทยยังเชื่อว่า การทำร้ายร่างกายเพื่อลงโทษเป็นสิ่งจำเป็นในการเลี้ยงดู และอบรมสั่งสอนบุตรหลานของตน

ดังนั้นในช่วงที่ปิดโรงเรียน เด็กไทยจำนวนหนึ่งอาจมีความเสี่ยงที่จะประสบกับความรุนแรงในครอบครัวมากขึ้น เพราะในช่วงเปิดเรียนปกติ เด็กกลุ่มนี้สามารถหลบหลีกปัญหาได้จากการไปโรงเรียน พบปะสังสรรค์กับเพื่อนๆ โดยมีครูคอยสอดส่องดูแลอย่างใกล้ชิด 

ภาพโดย Sasin Tipchai จาก Pixabay 

บทเรียนจากต่างประเทศด้านมาตรการป้องกันความรุนแรงในครอบครัวมีหลากหลายรูปแบบ เช่น มอบหมายครูเป็นผู้ให้ความรู้เรื่องความรุนแรงในครอบครัว มีบริการสายด่วนในการช่วยเหลือเด็ก หรือในกรณีหมู่เกาะคานารี่ ประเทศสเปน ที่ใช้โค้ดลับ ‘MASK 19’ รับมือกับปัญหาความรุนแรงต่อผู้หญิงที่เพิ่มขึ้นระหว่างการแพร่ระบาดของโรคโควิด-19 และวางแผนความร่วมมือระหว่างภาครัฐและร้านขายยาในชุมชน เมื่อได้รับโค้ดลับ เภสัชกรก็จะช่วยติดต่อไปยังหน่วยงานที่เกี่ยวข้องเพื่อรับดำเนินการต่อไป เป็นต้น

สำหรับประเทศไทย เพื่อป้องกันความเสี่ยงที่เด็กจะเผชิญกับความรุนแรงในครอบครัวในช่วงดังกล่าว ครูควรคอยสอดส่องสัญญาณของความรุนแรงและให้ความรู้เรื่องสายด่วนขอความช่วยเหลือในประเทศไทยกับเด็กๆ สำหรับเด็กที่ไม่สามารถขอความช่วยเหลือได้หรือไม่กล้าสื่อสาร ครูอาจช่วยได้ด้วยการสร้างโค้ดลับระหว่างครูและนักเรียนเพื่อให้นักเรียนใช้สื่อสารกับครู ว่ากำลังประสบกับความรุนแรงในบ้านอยู่ โดยไม่ให้ผู้กระทำทราบ ส่วนกระทรวงศึกษาธิการและหน่วยงานต้นสังกัด ควรประสานกับกระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ เพื่อวางมาตรการป้องกันความเสี่ยง รวมทั้งแนวทางการสังคมสงเคราะห์เมื่อเด็กเผชิญกับความรุนแรง 

ภาพโดย Sasin Tipchai จาก Pixabay 

หลังยกเลิกมาตรการปิดโรงเรียนและสิ้นสุดการระบาดของโรคโควิด-19 โรงเรียนควรช่วยสร้างความเข้าใจที่ถูกต้องเกี่ยวกับวิธีการเลี้ยงดู เพื่อไม่ให้เด็กได้รับความรุนแรงและผลกระทบทางจิตใจที่อาจเกิดขึ้นจากการเลี้ยงดูที่ผิด   ในระยะยาว กระทรวงศึกษาธิการควรพิจารณาจัดสรรให้มีตำแหน่งนักจิตวิทยาประจำโรงเรียนอย่างจริงจังและประสานกับหน่วยงานทางด้านสังคมสงเคราะห์ในระดับชุมชน เพื่อสร้างระบบการดูแลความปลอดภัยและสุขภาพจิต ทั้งนี้เพื่อให้ครูมีหน่วยสนับสนุน ไม่ต้องรับมือกับปัญหาสุขภาพจิตของเด็กเพียงลำพัง รวมถึงเป็นหลักประกันความปลอดภัยของเด็ก ในกรณีที่โรงเรียนเองก็เป็นพื้นที่ของความรุนแรง

บทความโดย คุณณัฐนันท์ อมรานันทศักดิ์ นักวิจัยด้านนโยบายด้านการปฏิรูปการศึกษา

ลงทะเบียนเข้าสู่ระบบ เพื่ออ่านบทความฟรีไม่จำกัด

No comment

RELATED ARTICLE

Responsive image

5 ข้อแตกต่างที่ทำให้ Jensen Huang เป็นผู้นำใน 0.4% ด้วยพลัง Cognitive Hunger

บทความนี้จะพาทุกคนไปถอดรหัสความสำเร็จของ Jensen Huang ด้วยแนวคิด Cognitive Hunger ความตื่นกระหายการเรียนรู้ เคล็ดลับสำคัญที่สร้างความแตกต่างและนำพา NVIDIA ก้าวสู่ความเป็นผู้นำระดับ...

Responsive image

เรื่องเล่าจาก Tim Cook “...ผมไม่เคยคิดเลยว่า Apple จะมีวันล้มละลาย”

Apple ก้าวเข้าสู่ยุค AI พร้อมรักษาจิตวิญญาณจาก Steve Jobs สู่อนาคตที่เปี่ยมด้วยนวัตกรรม โดย Tim Cook มุ่งเปลี่ยนโฉมเทคโนโลยีอีกครั้ง!...

Responsive image

วิจัยชี้ ‘Startup’ ยิ่งอายุมาก ยิ่งมีโอกาสประสบความสำเร็จ

บทความนี้ Techsauce จะพาคุณไปสำรวจว่าอะไรที่ทำให้ วัย 40 กลายเป็นจุดเปลี่ยนสำคัญของนักธุรกิจและ Startup หลายคน...