ประเทศไทยจะสร้างความมั่นคงทางการแพทย์ได้อย่างไร ? คุยกับ ศ. ดร.สุชัชวีร์ สุวรรณสวัสดิ์ | Techsauce

ประเทศไทยจะสร้างความมั่นคงทางการแพทย์ได้อย่างไร ? คุยกับ ศ. ดร.สุชัชวีร์ สุวรรณสวัสดิ์

ในช่วงที่มีการแพร่ระบาดของโควิด ถือเป็นหนึ่งในบทพิสูจน์ถึงความมั่นคงทางด้านการแพทย์ของไทย ซึ่งแน่นอนว่า จำเป็นต้องอาศัยการลงทุน เพื่อพัฒนานวัตกรรมเทคโนยีเข้ามาช่วยเสริมความแข็งแกร่งเป็นอย่างมาก ซึ่งประเทศไทยเองยังถือว่าเผชิญความท้าทายไม่น้อยเลยทีเดียว

Techsauce ได้มีโอกาสสัมภาษณ์ ศาสตราจารย์ ดร.สุชัชวีร์ สุวรรณสวัสดิ์ ประธานมูลนิธิโรงพยาบาลพระจอมเกล้าเจ้าคุณทหาร ในพระสังฆราชูปถัมภ์ และ อธิการบดี สถาบันเทคโนโลยีพระจอมเกล้าเจ้าคุณทหารลาดกระบัง (สจล.) ถึงมุมมอง และแนวทางการพัฒนาและสร้างความมั่นคงให้กับการแพทย์ของไทย 

ในช่วงโควิดที่ผ่านมา ศักยภาพของประเทศไทย ในการนำเทคโนโลยีมาใช้ในทางการแพทย์อย่างไรบ้าง  ? 

เราได้เห็นบุคคาลากรทางการแพทย์ของไทยนั้นมีความสามารถและความเสียสละอย่างมากในการทุ่มเทให้กับหน้าที่รวมทั้งคนไทยทุกคนที่ยังช่วยเหลือกันและกัน แต่ในด้านของเทคโนโลยีทางการแพทย์ยังมีจุดบอดอยู่เต็มไปหมดไม่ว่าจะเป็นเรื่องของ อุปกรณ์และเทคโนโลยีทางการแพทย์  วัคซีนที่ยังไม่สามารถผลิตเองได้ ยาต้านไวรัสที่ต้องนำเข้า แม้กระทั่งหน้ากาก N95 ที่ใช้ในบุคคลากรทางการแพทย์ก็ไม่สามารถผลิตได้เอง  นั่นเป็นสิ่งที่บอกได้ว่า  ประเทศไทยนั้นไม่มีความั่นคงทางด้านการแพทย์และสุขภาพเลย

ยกตัวอย่างเพื่อให้เห็นภาพมากขึ้นในเรื่องของ ยาต้านไวรัส COVID-19 ฟาวิพิราเวียร์ ซึ่งต้องนำเข้าจากประเทศญี่ปุ่น และ เครื่องช่วยหายใจอย่าง High Flow ที่ต้องนำเข้าจากทางสหรัฐฯ 

แต่อย่างไรก็ตามยังมีเรื่องที่น่ายินดีคือประเทศไทยมีการนำเทคโนโลยี AI เข้ามาตรวจหาสายพันธุ์ของ COVID-19 สำหรับผู้ป่วยที่ติดเชื้อแล้วซึ่งเป็นการร่วมมือกันของ รามาธิบดี มหาลัยมหิดล และ มหาลัย ลาดกระบังทำให้การตรวจหาเชื้อและแยกสายพันธุ์ทำได้ 30 วินาที ต่อ 1,000 เคสซึ่งแตกต่างจากตอนนี้ที่ไม่มีเทคโนโลยีนี้ที่ต้องใช้เวลา 2 ชั่วโมงต่อ 1 เคส ซึ่งการที่เราตรวจหาสายพันธุ์ของเชื้อได้นั้น ก็จะช่วยในเรื่องของการลดความสูญเสียและลดการแพร่เชื้อได้เพราะสามารถควบคุมได้ดีขึ้น 

ในมุมมองของ ศ. ดร.สุชัชวีร์ คิดว่าประเทศไทยจะสามารถสร้างเทคโนโลยีทางการแพทย์ที่เป็นรูปธรรมได้อย่างไรบ้าง?

ประเทศไทยอาจจะเป็นประเทศเดียวในโลกที่ยังมีการแยกสายเรียนระหว่างสายศิลป์คำนวณและสายวิทย์-คณิต เพราะในต่างประเทศไม่มีการแบ่งสายเหมือนกับประเทศไทย แต่การแบ่งสายเรียนนี้ทำให้เป็นการถึงศักยภาพของนักเรียนออกมาไม่ได้เต็มที่หรืออาจจะขาดไปด้วยซ้ำ เพราะ อย่างการแพทย์ นักศึกษาแพทย์ควรที่จะมีความชำนาญในการออกแบบและในด้านภาษา เพื่อการสื่อสารและประดิษฐ์สิ่งใหม่ๆออกมา เพราะทุกวันนี้แพทย์ไทยมีความเก่งจริงแต่ยังขาดความสามารถที่กล่าวไปในการที่จะสร้างเทคโนโลยีหรือนวัตกรรมที่เป็นของประเทศไทยเอง 

ดังนั้นนี่คือจุดอ่อนของประเทศไทยเรา ซึ่งในปัจจุบันทางมหาลัยลาดกระบัง มีการเปิดหลักสูตรสำหรับ นักศึกษาแพทย์ ที่จะต้องเรียนในด้านวิศวะคอมพิวเตอร์ควบคู่ไปด้วยเพื่อเพิ่มความสามารถของแพทย์ไทยในอนาคตที่ควรจะรู้เรื่องของเทคโนโลยีและสร้างขึ้นใช้ได้จริง เพื่อให้ตอบโจทย์ความเปลี่ยนแปลงของโลก 

สจล. ได้มีการสร้างโรงพยาบาลขึ้นมาด้วย ปัจจุบันโครงการดังกล่าวมีความคืบหน้าเป็นอย่างไรบ้าง ?

สิ่งที่เราได้เห็น การเข้ารับรักษาจากโรงพยาบาลในประเทศไทย ที่ผู้คนที่ต้องการไปโรงพยาบาลต้องตื่นแต่เช้าตรู่เพื่อไปต่อคิวรับบัตรในการพบแพทย์แต่กระบวนการที่จะตรวจรักษานั้นมีความยาวนานเกินไป ซึ่งอันที่จริงแล้ว เราสามารถที่จะลดขั้นตอนเหล่านั้นได้ ด้วยการทำได้จากระยะไกล อย่างเช่น การเช็คอาการเบื้องอย่าง ความดัน น้ำตาลในเลือด และ ชีพจรต่าง ๆ ซึ่งการไปโรงพยาบาลก็จะจำเป็นน้อยลงในอนาคต 

ส่วนแผนของ มูลนิธิ โรงพยาบาลพระจอมเกล้าเจ้าคุณทหารและ คณะแพทย์  ที่จะสร้างโรงพยาบาลที่มีเตียงรองรับผู้ป่วยแค่ 60 เตียงซึ่งแตกต่างโรงพยาบาลทั่วไปในประเทศที่มีเตียงถึง 2,000 เตียง และความตั้งใจของการสร้างโรงพยาบาลนี้คือการที่จะมี นวัตกรรมทางการแพทย์ เครื่องมือแพทย์ที่ครบวงจรที่จะใช้ระบบการรักษาโดย Super AI แบบเต็มประสิทธิภาพแห่งแรกของประเทศไทยและภูมิภาคและ จะใช้เทคโนโลยีทุกอย่างที่สามารถรีไซเคิลได้และใช้พลังงานจากแสงอาทิตย์ ซึ่งเป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อมในทุกด้าน เป้าหมายก็เพื่อคนไทยทุกคน

ปัจจุบันอยู่ระหว่างก่อสร้าง และขอเชิญชวนทุก ๆ คนที่มีจิตศรัทธาในการเป็นส่วนหนึ่งสำหรับการสร้างโรงพยาบาลแห่งนี้ที่ต้องใช้เงินทุนในการสร้างกว่า 1 พันล้านบาทและจะเริ่มสร้างในเดือนกรกฎาคมของปีนี้ 

ในระยะยาว แนวโน้มทิศทางของ การแพทย์ทางไกล (Telemedicine) ในประเทศไทยมีโอกาสเกิดขึ้นได้ขนาดไหน ? 

ก่อนอื่นประเทศไทยนั้นต้องเริ่มจากการพึ่งพาประเทศต่าง ๆ เสียก่อน เพราะถ้าประเทศไทยยังต้องขอความช่วยเหลือจากต่างประเทศอยู่ก็แปลว่าประเทศไทยของเรานั้นจะไม่สามารถยืนได้ด้วยตัวเองเลย 

และสำหรับการรักษาทางการแพทย์ในระยะไกล ประเทศไทยยังขาดสิ่งสำคัญ 2 สิ่งหลักๆนั้นก็คือ ซอฟต์แวร์ และระบบเซนเซอร์ ที่มีส่วนสำคัญในการควบคุมและความแม่นยำการใช้รักษาทางการแพทย์ 

ดังนั้นการแพทย์พัฒนาขึ้นไปผ่านการศึกษาโดยการเพิ่มหลักสูตร การเขียนโค้ดดิ้ง ซอฟต์แวร์ และระบบเซนเซอร์ เพื่อให้ประเทศไทยมีความสามารถสร้างสิ่งเหล่านี้ขึ้นมาใช้เองได้ ซึ่งสิ่งเหล่านี้ต้องพึ่งรัฐบาลในก้าวแรกในการสนับสนุนเพื่อการพัฒนาของเทคโนโลยีต่าง ๆ ที่คนไทยสร้างขึ้นมาด้วยตัวคนไทยเอง ซึ่งถ้าไม่มีการสนับสนุน การพัฒนาหรือการที่จะมีอุปกรณ์ทางการแพทย์ที่ล้ำสมัยนั้นก็จะเป็นเรื่องที่เกิดขึ้นยาก 

นอกจากนี้ภาคเอกชนก็มีส่วนสำคัญในการออกมาสนับสนุนเช่นกัน และสรุปได้ 3 ข้อหลักๆ คือ

 1. ประชาชนต้องมีความเชื่อมั่นในศักยภาพของคนไทยด้วยกันก่อน 

2. รัฐบาลต้องสนับสนุนเพื่อการต่อยอดต่อไปในอนาคต 

3. ความร่วมมือของระหว่างมหาลัยเอกชน เพราะ ประเทศไทยของเราไม่เป็นรองใครแต่ประเทศไทยยังขาดสิ่งเหล่านี้ซึ่งเราควรจะเริ่มแก้ไขตั้งแต่ตอนนี้ เพราะสิ่งนี้เป็นหน้าที่ของคนไทยทุกคน

ฝากข้อคิดและกำลังใจทิ้งท้ายให้กับคนไทย

ประเทศไทยจะต้องผ่านวิกฤตนี้ไปได้อย่างแน่นอน และเมื่อผ่านไปแล้ว เราต้องเก่งขึ้น แข็งแรงขึ้น และ รู้จุดอ่อนตัวเองมากขึ้น เพราะ มีหลายประเทศนั้นที่เรียนรู้จากข้อผิดพลาดและกลับมาแข็งแกร่งได้อีกครั้ง อย่างเช่น สหรัฐที่ ลุกขึ้นยืนได้อีกครั้งและสามารถผลิตวัตซีนส่งออกไปขายในหลายประเทศทั่วโลก และ อย่างจีนที่ตอนนี้เริ่มมีเทคโนโลยีใหม่ที่จะผลิตยาเป่าแทนการฉีดวัคซีนอีกด้วย

ซึ่งสิ่งนี้จะทำให้ประเทศที่รู้จักตัวเองนั้นพัฒนาไปได้แบบก้าวกระโดด เฉพาะฉะนั้นประเทศไทยต้องเรียนรู้จากความเจ็บครั้งนี้และนำความเจ็บนี้มาพัฒนาประเทศของเราและทะยานขึ้นไปเป็นประเทศที่พึ่งพาตัวเองได้อนาคต

รายละเอียดสำหรับช่องทางบริจาค สมทบทุนจัดสร้าง โรงพยาบาลพระจอมเกล้าเจ้าคุณทหาร (KMCH) มีดังนี้ 

• กดบริจาค *948*1960*100# และโทร.ออก เพื่อบริจาค 100 บ.

• โอนเข้า บัญชี “มูลนิธิโรงพยาบาลพระจอมเกล้าเจ้าคุณทหารฯ” ธนาคารกรุงไทย เลขที่ 693-0-32393-4 

• ซื้อเสื้อ “ให้เพื่อสร้าง” ในราคาตัวละ 299 บ.




ลงทะเบียนเข้าสู่ระบบ เพื่ออ่านบทความฟรีไม่จำกัด

No comment

RELATED ARTICLE

Responsive image

ถอด 4 บทเรียนธุรกิจ Taylor Swift ชื่อศิลปินที่มีมูลค่า 4 หมื่นล้านบาท

Taylor Swift ไม่ใช่แค่ของชื่อศิลปินอีกแล้ว กลายเป็น Branding ที่มีมูลค่าสูงถึง 2 หมื่นล้านบาท ความสำเร็จของ Taylor Swift ก็มีส่วนที่หยิบมาใช้ในการพัฒนาโมเดลธุรกิจได้เช่นเดียวกัน...

Responsive image

“อยากได้อะไร ก็แค่พูดตรงๆ” เคล็ดลับความสำเร็จจาก Sam Altman

Sam Altman CEO ของ OpenAI บริษัทผู้สร้าง ChatGPT แนะนำ วิธีช่วยให้คุณได้ในสิ่งต้องการ และทำได้ง่ายๆ...

Responsive image

มรดกแนวคิด Steve Jobs ที่ส่งต่อถึง Tim Cook เบื้องหลังความยิ่งใหญ่ของ Apple

Tim Cook ยกหนึ่งคำสอนล้ำค่าในการทำงานจาก Steve Job ที่ทำให้ Apple เป็นหนึ่งในบริษัทชั้นนำของโลก ในด้านการส่งเสริมนวัตกรรมและความคิดสร้างสรรค์ภายในองค์กร นั่นก็คือ ‘ทุกคนสามารถสร้าง...