KKP Research ปรับลดประมาณการณ์ GDP ไทยปี 2564 เหลือ 2% จากเดิม 3.5% รับผลกระทบโควิดระลอกใหม่ | Techsauce

KKP Research ปรับลดประมาณการณ์ GDP ไทยปี 2564 เหลือ 2% จากเดิม 3.5% รับผลกระทบโควิดระลอกใหม่

Key takeaways:

  • KKP Research โดยเกียรตินาคินภัทร ปรับลดการคาดการณ์อัตราการเติบโตของ GDP สำหรับปี 2021 ลงจาก 3.5% เป็น 2.0% จากการระบาดระลอกใหม่ของโควิด-19 ในประเทศที่นำไปสู่การปิดเมืองบางส่วน
  • ประมาณการจำนวนนักท่องเที่ยวต่างชาติปี 2021 ปรับลดลงจาก 6.4 เป็น 2 ล้านคน ในกรณีเลวร้ายคาดว่าจะไม่สามารถเปิดรับนักท่องเที่ยวต่างชาติได้เลยทั้งปี
  • ปัจจัยสำคัญที่ต้องติดตามคือ (1) การลุกลามของการติดเชื้อภายในประเทศ (2) ข้อจำกัดด้านสาธารณสุขในการรองรับผู้ป่วย และ (3) ประสิทธิผลและความครอบคลุมในการแจกจ่ายวัคซีน

ประเทศไทยเปิดรับปีใหม่ 2021 ด้วยการระบาดของโควิด-19 ระลอกใหม่ที่เริ่มมาจากการตรวจพบผู้ติดเชื้อจำนวนมากที่ เกี่ยวโยงกับตลาดกลางกุ้ง มหาชัย จ. สมุทรสาคร ตั้งแต่ช่วง กลางเดือนธันวาคมที่ผ่านมา หลังจากที่ประเทศไทยไม่พบการติด เชื้อในประเทศมายาวนานตั้งแต่เดือนพฤษภาคม ที่น่ากังวล คือ สถานการณ์การแพร่ระบาดในรอบนี้มีแนวโน้มจะกระจายไปเป็น วงกว้างและจะควบคุมได้ยาก จากการแพร่ระบาดในสถานที่สุ่ม เสี่ยง ทั้งตลาด สถานบันเทิง สถานที่เล่นการพนัน ที่ยากต่อการ ควบคุมและการติดตามผู้สัมผัสเชื้อ จากมาตรการของภาครัฐที่ เข้มข้นน้อยกว่าครั้งก่อน และจากพฤติกรรมของผู้คนเองที่มีการ เดินทางและพบปะกันมากขึ้นในช่วงเทศกาล จำนวนผู้ติดเชื้อใน ประเทศจึงมีแนวโน้มสูงขึ้นอย่างรวดเร็วกว่าการระบาดระลอกแรก (รูปที่ 1) 

และได้กระจายไปราว 60 จังหวัดทั่วประเทศ การระบาดระลอกใหม่นี้แน่นอนว่าจะส่งผลกระทบต่อเศรษฐกิจไทยและธุรกิจต่าง ๆ ที่เพิ่งจะเริ่มฟื้นตัวในช่วงปลายปีที่ผ่านมาให้ กลับทรุดลง หรือยืดระยะเวลาการฟื้นตัวออกไปจากที่เคยคาดการณ์ไว้ พร้อมกับยังมีความไม่แน่นอนและปัจจัยเสี่ยงหลาย ประการที่ยังคงต้องติดตามในการประเมินผลกระทบจากการระบาดของโควิดรอบนี้

KKP Research ปรับลดการคาดการณ์ GDP เหลือ 2.0%

KKP Research โดยเกียรตินาคินภัทร ปรับลดการคาดการณ์ อัตราการเติบโตของ GDP สำหรับปี 2021 ลงอีกครั้ง จากการระบาดระลอกใหม่ของโควิด-19 ในประเทศ โดยมองว่าการระบาดรอบนี้จะส่งผลต่อเศรษฐกิจไทยอย่างมีนัยสำคัญผ่าน 2 ช่องทางหลัก คือ (1) การประกาศปิดเมืองจะส่งผลให้กิจกรรมทางเศรษฐกิจในประเทศชะลอลงกว่าที่เคยประเมินไว้ กระทบต่อ การลงทุน การจ้างงาน รายได้และการบริโภค (2) นักท่องเที่ยวต่างชาติที่คาดว่าจะกลับมาได้ในช่วงไตรมาส 3 และ 4 ปีนี้ มี แนวโน้มล่าช้าออกไปกว่าเดิม 

KKP Research โดยเกียรตินาคินภัทร ปรับลดการคาดการณ์ GDP สำหรับปี 2021 ลงจาก 3.5% เหลือ 2.0% (รูปที่ 2) 

อย่างไรก็ตาม ประเมินว่าในกรณีเลวร้ายที่การแพร่ระบาดรุนแรงจนทำให้มาตรการปิดเมืองต้องมีความเข้มข้นขึ้น ทำให้ประเทศไทย ไม่สามารถเปิดรับนักท่องเที่ยวต่างชาติได้ตลอดทั้งปี จะส่งผลให้ GDP อาจหดตัวได้ถึง -1.2%

โควิด-19 ระลอกใหม่กระทบเศรษฐกิจที่เปราะบางอยู่แล้ว

การระบาดระลอกใหม่ของโควิด-19 มาตรการปิดเมืองบางส่วนการงดทำกิจกรรมนอกบ้านจากความกังวลเกี่ยวกับการแพร่ระบาด และการฉีดวัคซีนในประเทศที่ยังไม่สามารถดำเนินการได้ในวงกว้างในช่วงครึ่งแรกของปีจะส่งผลต่อเศรษฐกิจอย่างมี นัยสำคัญใน 2 ด้านคือ

1. การฟื้นตัวของเศรษฐกิจในประเทศจะสะดุดลงอีกครั้ง จากการระบาดและมาตรการที่มีแนวโน้มลากยาวกว่ารอบก่อน แม้ว่ามาตรการควบคุมการระบาดในครั้งนี้จะเน้นการควบคุมตามความเสี่ยงของพื้นที่และธุรกิจ แต่สถานการณ์การระบาดที่มี แนวโน้มรุนแรงควบคุมได้ยากกว่ารอบที่แล้ว อาจทำให้รัฐต้องใช้มาตรการควบคุมการระบาดในระยะเวลาที่ยาวนานกว่าครั้ง ที่ผ่านมา หรือสุดท้ายอาจต้องกลับมาใช้มาตรการที่เข้มงวดมากขึ้นเรื่อย ๆ 

หากไม่สามารถควบคุมการระบาดได้ ยิ่งไปกว่านั้น ในครั้งนี้จังหวัดที่มีการแพร่ระบาดสูงเป็นพื้นที่ที่มีกิจกรรมทางเศรษฐกิจในระดับสูง โดยขนาดเศรษฐกิจโดยรวม ของพื้นที่เสี่ยงสูง 28 จังหวัดคิดเป็นสัดส่วนกว่า 70% ของ GDP ทั้งประเทศ (รูปที่ 3) 

จึงเป็นเหตุผลที่ทำให้คาดว่าแม้การปิดเมืองจะเข้มงวดน้อยลงแต่ผลกระทบต่อเศรษฐกิจในภาพรวมจะยังคงรุนแรงใกล้เคียงกับรอบที่ผ่านมา เศรษฐกิจในไตรมาส 1 จะหดตัวรุนแรง ก่อนจะค่อย ๆ ฟื้นตัวในไตรมาสถัดไป (รูปที่ 4) 

คาดการณ์ว่ารัฐจะสามารถควบคุม การระบาดของโควิด-19 ในระยะเวลาประมาณ 2 เดือน ซึ่งจะส่งผลให้กิจกรรมทางเศรษฐกิจในไตรมาสแรกของปีได้รับ ผลกระทบในลักษณะเดียวกันกับในไตรมาส 2 ปี 2020 โดยการบริโภคและการลงทุนภาคเอกชนมีแนวโน้มหดตัวลงรุนแรงและ จะฟื้นตัวได้ช้ากว่าที่เคยประเมินไว้ ส่งผลให้ GDP ในไตรมาสแรกมีโอกาสโตติดลบถึง 6.1% และหากการระบาดจบลงตามคาด เศรษฐกิจจะสามารถกลับมาฟื้นตัวได้อย่างช้า ๆ ในช่วงไตรมาส 2

2) นักท่องเที่ยวต่างชาติอาจกลับมาได้ช้ากว่าที่คาด ซึ่งเป็นผลจาก 2 ปัจจัยหลัก คือ 

  • การระบาดระลอกใหม่ในประเทศทำให้ คนไทยกลับมามีความกังวลในการเปิดรับนักท่องเที่ยวต่างชาติ และในทางกลับกันนักท่องเที่ยวจากประเทศที่มีการระบาดอยู่ ในระดับต่ำแล้ว เช่น จีน ก็อาจลังเลที่จะเข้ามาเที่ยวในประเทศไทย 
  • แม้ไทยจะมีแผนสำหรับการผลิตและใช้วัคซีนใน ประเทศ แต่ต้องรอถึงช่วงครึ่งหลังของปีกว่าจะมีการเริ่มฉีดได้ในวงกว้างขึ้น ซึ่งอาจไม่ทันสำหรับการเปิดรับนักท่องเที่ยวใน ไตรมาส 3 KKP Research จึงปรับประมาณการจำนวนนักท่องเที่ยวส าหรับปี 2021 ลงจากที่เคยคาดว่าจะกลับมาได้ 6.4 ล้าน คนในไตรมาส 3 และ 4 เหลือเพียง 2 ล้านคนในไตรมาส 4 เท่านั้น (รูปที่ 5)

ส่งออกช่วยพยุงเศรษฐกิจ แต่ยังมีความเสี่ยง

การส่งออกจะเป็นปัจจัยหลักที่ช่วยพยุงเศรษฐกิจในปีนี้โดยจะสามารถฟื้นตัวได้อย่างช้า ๆ ตามเศรษฐกิจโลก นอกจากความ คืบหน้าเรื่องวัคซีนแล้ว อีกหนึ่งปัจจัยส าคัญที่อาจช่วยบรรเทาผลกระทบต่อเศรษฐกิจไทยในปีนี้ คือ เศรษฐกิจโลกที่เริ่มส่ง สัญญาณฟื้นตัวต่อเนื่องตามการฟื้นตัวของประเทศเศรษฐกิจหลัก ซึ่งจะเป็นปัจจัยส าคัญที่จะยังหนุนให้การส่งออกไทย สามารถขยายตัวได้ในปีนี้ ในช่ว งที่ ผ่ านมาพบว่ าก าร ส่ งอ อก ไทยยั งฟื้ นตั วช้ าก ว่ า หลายประเทศในภูมิภาค (รูปที่ 6) เนื่องจากการฟื้นตัวของ การค้าระหว่างประเทศยังกระจุกตัวอยู่ในกลุ่มสินค้าเทคโนโลยี 

ในขณะที่ สินค้าส่งออกไทยมี สัดส่วนของสินค้ากลุ่มนี้น้อย นอกจากนี้ ปัญหาการขาดแคลนตู้สินค้าที่เกิดต่อเนื่องมาจากปี ก่อน และค่าเงินบาทที่แข็งค่าขึ้นต่อเนื่อง จะยังคงเป็นความเสี่ยงที่ อาจทำให้การส่งออกไทยในปี 2021 ขยายตัวได้น้อยลงกว่าที่เคยประเมินในระยะข้างหน้ายังต้องติดตามความเสี่ยงจากการ ระบาดของโควิด-19 ที่อาจทำให้เกิดปัญหาในภาคการผลิตใน ประเทศที่สามารถกลับมากระทบการส่งออกเพิ่มเติมได้เช่นกัน ตัวเลขประมาณการเศรษฐกิจไทยยังมีความไม่แน่นอนสูงโดยขึ้นอยู่กับปัจจัยเสี่ยงหลายประการ โดยหากสถานการณ์การ ระบาดยืดเยื้อและรุนแรง คาดว่าในกรณีเลวร้ายอาจต้องมีมาตรการที่จำกัดกิจกรรมทางเศรษฐกิจยาวนานถึง 2 ไตรมาส เพื่อควบคุมการระบาดของโควิดที่รุนแรงขึ้น 

ภาคการผลิตและการส่งออกอาจประสบปัญหาจากความจำเป็นต้องปิดโรงงาน ชั่วคราวและการขนส่งสินค้า อีกทั้งหากวัคซีนไม่ได้ผลตามคาด อาจทำให้ไม่สามารถเปิดรับนักท่องเที่ยวต่างชาติได้เลยในปีนี้ ในกรณีเลวร้าย KKP Research ประเมินว่าเศรษฐกิจไทยอาจหดตัวต่อเนื่องที่ -1.2% ในปี 2021 

ผลกระทบจะแตกต่างกันในแต่ละกลุ่มธุรกิจ 

การระบาดระลอกใหม่และมาตรการปิดเมืองจะทำให้ธุรกิจที่เริ่มฟื้นตัวกลับไปหดตัวอีกครั้ง ในช่วงไตรมาส 2 และ 3 ที่ผ่านมา เริ่มปรากฏสัญญาณการฟื้นตัวของธุรกิจในแทบทุกกลุ่ม ซึ่งเกิดจากการฟื้นตัวของใช้จ่ายในประเทศหลังการเปิดเมืองและการ ส่งออก อย่างไรก็ตาม แม้ธุรกิจที่เกี่ยวเนื่องกับการท่องเที่ยวจะยังหดตัวรุนแรงอยู่แต่ก็สามารถฟื้นตัวได้บ้างตามอุปสงค์ใน ประเทศ (รูปที่ 7) การระบาดระลอกใหม่และการปิดเมืองที่ทำให้กิจกรรมทางเศรษฐกิจชะลอลงจะส่งผลต่อธุรกิจในลักษณะ ใกล้เคียงกับช่วงไตรมาส 2 ปีก่อน คือ ธุรกิจที่จ าเป็นต้องมีการรวมกลุ่มของคน เช่น การเดินทาง การท่องเที่ยวในประเทศ ร้านอาหาร การค้าปลีก จะได้รับกระทบรุนแรง ในขณะที่ภาคการผลิตเพื่อส่งออกสินค้าอาจเป็นกลุ่มธุรกิจที่ไม่ได้รับผลกระทบ มากนักจากเศรษฐกิจโลกที่เริ่มกลับมาฟื้นตัวได้

สัญญาณการฟื้นตัวของการจ้างงานในช่วงที่ผ่านมายังกระจุกตัวอยู่ในบางกลุ่มธุรกิจ กลุ่มธุรกิจที่เริ่มกลับมาจ้างงานอีกครั้ง เป็นกลุ่มที่ไม่ได้พึ่งพารายได้จากนักท่องเที่ยวต่างชาติเป็นหลัก และฟื้นตัวได้ตามการขยายตัวของอุปสงค์ในประเทศ เช่น อสังหาริมทรัพย์ สาธารณูปโภค ในขณะที่การจ้างงานในภาคบริการที่พึ่งพารายได้จากนักท่องเที่ยวต่างชาติยังไม่สามารถ ฟื้นตัวได้ดีนัก (รูปที่ 8) 

นอกจากนี้ ถึงแม้ตัวเลขทางการของการจ้างงานจะไม่ได้หดตัวรุนแรงมากนัก และอัตราการว่างงาน ในเดือนล่าสุดคือเดือนพฤศจิกายนยังอยู่ที่ระดับต่ำเพียง 2.0% แต่มีแรงงานจำนวนมากที่แม้จะมีงานทำอยู่ แต่ถูกลดจำนวน ชั่วโมงการทำงานลง โดยผู้ที่เสมือนว่างงานยังคงอยู่ในระดับสูง (รูปที่ 9) และในจำนวนนี้ผู้ที่ทำงานต่ำกว่า 10 ชั่วโมงต่อสัปดาห์ ยังคงมีทิศทางเพิ่มขึ้นต่อเนื่อง (อยู่ที่ 4.2 แสนคนในเดือน พ.ย. 2020 เพิ่มขึ้น 23% จากเดือนเดียวกันในปีก่อนหน้า) อีก ทั้งแรงงานทั้งในและนอกระบบที่ประกอบอาชีพค้าขายหรืออาชีพอิสระที่ยังคงท างาน แต่รายรับน้อยลงจากภาวะเศรษฐกิจที่ ซบเซา นั่นหมายถึงรายได้ที่หายไปของภาคแรงงานจะรุนแรงกว่าตัวเลขการเลิกจ้างมาก ซึ่งจะกระทบต่อเนื่องไปถึงกำลังซื้อ และความสามารถในการชชำระหนี้ของภาคครัวเรือน

การระบาดระลอกสองและการปิดเมืองจะซ้ำเติมให้การจ้างงานในภาพรวมกลับมาแย่ลงและอาจรุนแรงกว่ารอบก่อน จึงประเมินว่ามีโอกาสเป็นไปได้สูงที่ธุรกิจหลายแห่งอาจจำเป็นที่ต้องขยับจากการลดชั่วโมงการทำงานของพนักงานไปเป็นการ เลิกจ้างถาวร เนื่องจากแบกรับต้นทุนต่อไปไม่ไหวหลังจากที่อั้นมาตลอดปีที่ผ่านมา กลุ่มธุรกิจที่น่ากังวลที่สุดคือ ธุรกิจที่ เกี่ยวเนื่องกับการท่องเที่ยวและการบริการที่ยังไม่สามารถฟื้นตัวได้ในช่วงที่ผ่านมา กลับถูกซ้ าเติมอีกครั้งจากการระบาดรอบ ใหม่ โดยเฉพาะธุรกิจขนาดกลางและขนาดเล็กที่สายป่านไม่ยาวพอ อาจน าไปสู่การเลิกจ้างงานในวงกว้างได้

จับตา 3 ปัจจัยเสี่ยง GDP 2021 อาจโตติดลบ

ความรุนแรงของผลกระทบทางเศรษฐกิจในระยะข้างหน้าขึ้นอยู่กับสถานการณ์การเพิ่มขึ้นของจ านวนผู้ติดเชื้อ ระยะเวลาที่ใช้ ในการควบคุมการแพร่ระบาด และความเข้มข้นของมาตรการภาครัฐที่อาจส่งผลต่อกิจกรรมทางเศรษฐกิจ ซึ่งมีความ เกี่ยวเนื่องกันและขึ้นอยู่กับความเสี่ยงส าคัญ 3 ด้านคือ

1) การลุกลามของการติดเชื้อในประเทศความพิเศษของเชื้อไวรัสโควิด ที่ทำให้ค่อนข้างยากที่จะควบคุมการแพร่ระบาด คือ การที่ผู้ติดเชื้อมีทั้งที่ แสดงอาการและไม่แสดงอาการ (asymptomatic) โดยจากการรายงาน ของ CDC ซึ่งอ้างอิงสถิติล่าสุดในสหรัฐอเมริกาประเมินว่า ผู้ติดเชื้อโควิด-19 ที่ไม่แสดงอาการมีถึง 40% และอาจสูงถึง 80% หากนับรวมผู้ที่มี อาการเพียงเล็กน้อย ซึ่งทำให้ไม่มีการตรวจพบ 

แต่สามารถแพร่เชื้อไปยัง ผู้อื่นได้โดยที่ไม่รู้ตัวทั้งผู้แพร่และผู้รับเชื้อการที่ประเทศไทยไม่มีการตรวจ เชื้อแบบเชิงรุกในวงกว้าง จึงมีความเป็นไปได้ที่จำนวนผู้ติดเชื้อแฝงที่ สามารถแพร่เชื้อได้ (silent carriers) ในประเทศไทยจะสูงกว่าตัวเลขที่มี การรายงานอยู่หลายเท่าตัว ซึ่งจะทำให้การติดตามการสัมผัสและตรวจเชื้อ (tracing and testing) และการควบคุมการแพร่ระบาดเป็นไปได้ยาก เมื่อประกอบกับการพบปะเดินทางสังสรรค์ของผู้คนที่เพิ่มมากขึ้นในช่วง วันหยุดตามเทศกาล และมาตรการควบคุมการแพร่ระบาดที่ไม่เข้มงวดเท่า รอบที่แล้ว จึงน่าจะมีโอกาสที่จะเห็นจำนวนผู้ติดเชื้อในประเทศเพิ่มในอัตรา ที่เร่งขึ้นในระยะอันใกล้ และเสี่ยงที่จะลากยาวกว่าการระบาดในระลอกแรก

อีกหนึ่งมิติที่แตกต่างของการระบาดครั้งนี้กับครั้งที่แล้ว คือ ในรอบนี้มี การแพร่ระบาดรุนแรงในกลุ่มแรงงาน โดยเฉพาะแรงงานต่างด้าว (migrant workers) ที่เป็นกำลังสำคัญในภาคอุตสาหกรรมการผลิตของ ไทย ซึ่งอาจรวมถึงแรงงานที่ลักลอบเข้าประเทศและท างานอย่างผิด กฎหมายด้วย ประกอบกับสภาพแวดล้อมในการทำงานและอยู่อาศัยที่เสี่ยง ต่อการแพร่กระจายของเชื้อ จะยิ่งทำให้การตรวจสอบและควบคุมในกลุ่ม แรงงานทำได้ยาก หากสถานการณ์การติดเชื้อในกลุ่มแรงงานขยายวง ลุกลามขึ้น อาจมีความเสี่ยงที่ทางการจะมีมาตรการเข้มงวดมากขึ้นในกลุ่ม นี้และอาจกระทบต่อภาคการผลิตของไทยในระยะสั้นได้ โดยเฉพาะในเขต จังหวัดและภาคอุตสาหกรรมที่มีการพึ่งพาแรงงานต่างด้าวเข้มข้น 

2) ข้อจำกัดด้านสาธารณสุขในการรองรับผู้ป่วยติดเชื้อ ถึงแม้ มาตรการในปัจจุบันทั้งในส่วนของภาครัฐและภาคเอกชนเอง จะทำให้สามารถควบคุมการแพร่ระบาดได้ระดับหนึ่งโดยที่ยังไม่ส่งผลกระทบ ต่อเศรษฐกิจรุนแรงเท่ากับการล็อคดาวน์ในช่วงไตรมาสที่ 2 ของปีที่ แล้ว แต่หากจจำนวนผู้ป่วยติดเชื้อที่ต้องเข้ารับการรักษาในโรงพยาบาล เพิ่มขึ้นเกินขีดความสามารถในการรองรับในด้านสาธารณสุข ก็อาจ นำไปสู่มาตรการควบคุมการระบาดที่จำเป็นต้องเข้มงวดมากขึ้นโดย หลีกเลี่ยงไม่ได้ ข้อจำกัดที่สำคัญในการรับมือกับการเพิ่มขึ้นของผู้ป่วยโควิด-19 อาจ ไม่ใช่จำนวนเตียงในโรงพยาบาลซึ่งในปัจจุบันมีอยู่ทั้งสิ้น 177,000 เตียงทั่วประเทศ (มีการใช้การอยู่ 75%) ที่ยังสามารถเพิ่มขึ้นได้จาก การสร้างโรงพยาบาลสนามในกรณีจำเป็น แต่คอขวดในการรับมือ กับผู้ป่วยโควิด-19 จะอยู่ที่ จำนวนห้องแยกโรคความดันติดลบ (negative pressure rooms) ที่สามารถป้องกันการแพร่กระจายของ เชื้อ โรคในอากาศ จำนวนเตียงรองรับผู้ป่ วยหนัก (ICU beds) เครื่องช่วยหายใจ (ventilators) และจำนวนบุคลากรทางการแพทย์ และพยาบาลสำหรับดูแลผู้ป่วย ICU

KKP Research โดยเกียรตินาคินภัทร ประเมินว่า หากจำนวนผู้ป่วยที่ ต้องเข้ารักษาในโรงพยาบาล (active hospitalization) เพิ่มขึ้นถึง 15,000-20,000 คน (ปัจจุบันอยู่ที่ราว 5,000 คน) จะถึงจุดที่เกิน ความสามารถด้านสาธารณสุขในการรองรับได้ และมีโอกาสที่จะเห็น มาตรการล็อคดาวน์กลับมาอีกครั้ง ทั้งนี้ อยู่ภายใต้สมมติฐานที่ว่า 1 ใน 4 ของผู้ป่วยโควิดที่เข้ารับการรักษาในโรงพยาบาลจะเป็นผู้ป่วย ICU และ 50% ของทรัพยากรทางการแพทย์ที่มีอยู่และใช้การอยู่ใน ปัจจุบันสามารถนำมาใช้ในการดูแลรักษาผู้ป่วยโควิดได้

อย่างไรก็ดี การกระจายตัวของทรัพยากรทางการแพทย์ที่แตกต่าง กันในแต่ละพื้นที่อาจเป็นข้อจจำกัดที่มากขึ้นในกรณีที่มีการแพร่ระบาด รุนแรงในพื้นที่ที่สามารถรองรับผู้ป่วยได้น้อย ดังนั้น หากการแพร่ระบาดเร่งตัวขึ้นอย่างรวดเร็วหรือลากยาว ออกไปเป็นเวลานานก็จะยิ่งสร้างข้อจำกัดด้านสาธารณสุข ทั้งด้าน เครื่องมือและยารักษาผู้ป่วย ตลอดจนความเหนื่อยล้าของบุคลากร ทางการแพทย์ และจะส่งผลกระทบต่อเศรษฐกิจทั้งทางตรงและ ทางอ้อมมากยิ่งขึ้น

3) ประสิทธิผลและความครอบคลุมในการแจกจ่ายวัคซีน วัคซีนป้องกันโควิดเป็นกุญแจสำคัญของการที่เศรษฐกิจและการใช้ ชีวิตของผู้คนจะกลับเข้าสู่ภาวะปกติ และเป็นความหวังที่ประเทศไทยจะเปิดรับนักท่องเที่ยวต่างชาติได้อีกครั้ง สำหรับประเทศไทยตามการรายงานของทางการ ไทยจะได้รับวัคซีน Coronavac ที่ผลิตโดยบริษัท Sinovac Biotech ของประเทศจีน รวม ทั้งสิ้น 2 ล้านโดส ในช่วงเดือนกุมภาพันธ์ถึงเมษายนนี้และได้สั่งจองวัคซีนจาก AstraZenaca อีก 26 ล้านโดส ซึ่งทางการคาด ว่าจะได้รับในช่วงกลางปี 2564 และหากเป็นไปตามแผน ประชากรไทยประมาณ 20% จะได้รับวัคซีนภายในสิ้นปีนี้ 

อย่างไรก็ดี ความคาดหวังจากวัคซีนอาจจะสะดุดลงได้ หากวัคซีนที่ออกใช้มีประสิทธิผลในการป้องกันโควิด-19 ต่ำกว่าที่คาด หรือไม่สามารถ ป้องกันไวรัสโคโรน่าสายพันธุ์ใหม่ที่แพร่ระบาดรุนแรงกว่าเดิมได้ หรือมี ผลข้างเคียงรุนแรง หรือการกระจายและการฉีดวัคซีนในประเทศต่าง ๆ รวมทั้งประเทศไทยทำได้อย่างล่าช้า ซึ่งประเด็นปัญหาต่าง ๆ ที่อาจ เกิดขึ้นได้เกี่ยวกับวัคซีนนี้จะทำให้การประเมินการฟื้นตัวทางเศรษฐกิจ มี ความเสี่ยงที่จะไม่ฟื้นได้เร็วตามที่คาด และในกรณีเลวร้ายของไทยหาก วัคซีนไม่เป็นไปตามที่หวัง อาจหมายถึงประเทศจะไม่สามารถเปิดรับ นักท่องเที่ยวต่างชาติได้เลยตลอดทั้งปี 2564 นโยบายจ าเป็นต้องทำมากขึ้น 

KKP Research โดยเกียรตินาคินภัทร มองว่าในสถานการณ์ที่ เศรษฐกิจมีแนวโน้มชะลอตัวลงไปอีกครั้งเช่นนี้ สร้างความเสี่ยง อย่างมากต่อความอยู่รอดของภาคธุรกิจและภาวะความเป็นอยู่ ของภาคครัวเรือน โดยเฉพาะกลุ่มที่เปราะบางและยังไม่สามารถ ฟื้นตัวได้เต็มที่จากวิกฤตโควิดระลอกที่แล้ว ภาครัฐจำเป็นต้องมี บทบาทมากขึ้นกว่าที่ผ่านมาในการช่วยเหลือเยียวยาภาคธุรกิจ และแรงงาน รวมทั้งกระตุ้นเศรษฐกิจเพิ่มเติมจนกว่าการแพร่ ระบาดและเศรษฐกิจเข้าสู่ภาวะปกติ ถึงแม้บางโครงการ เช่น ‘คน ละครึ่ง’ และ ‘เราเที่ยวด้วยกัน’ จะค่อนข้างประสบความสสำเร็จและ ลงสู่ประชาชนและธุรกิจได้จริง แต่ก็ยังนับเป็นเม็ดเงินเพียงส่วน น้อย หากเปรียบเทียบขนาดของการกระตุ้นเศรษฐกิจผ่าน นโยบายการคลังกับประเทศอื่นจะพบว่าไทยยังมีการใช้จ่ายจาก ภาครัฐในระดับที่ต่ำมาก

อีกทั้งการใช้งบประมาณในการกระตุ้น เศรษฐกิจที่ประกาศไว้ขนาด 1 ล้านล้านบาทในปีที่ผ่านมา ใน ปัจจุบันยังถูกใช้ไปเพียงราวครึ่งหนึ่งเท่านั้น แสดงถึง ความล่าช้าในการผลักดันมาตรการและโครงการต่าง ๆ ที่จะช่วย ฟื้นฟูเศรษฐกิจได้อย่างมีประสิทธิผลและเต็มเม็ดเต็มหน่วยมากขึ้น 

KKP Research โดยเกียรตินาคินภัทร มองว่าภาครัฐควรต้องผลักดันนโยบาย ทั้งมาตรการเยียวยาระยะสั้นเพื่อเป็นการ ประคับประคองภาคธุรกิจและแรงงาน และนโยบายการลงทุนเพื่อโครงสร้างพื้นฐานในระยะยาวที่จะเป็นการเพิ่มการจ้าง งานและเพิ่มศักยภาพทางเศรษฐกิจอีกทางหนึ่งด้วย ทั้งนี้ประเด็นเรื่องเพดานหนี้สาธารณะที่ 60% ของ GDP ไม่ควรเป็น ข้อจำกัดในภาวะวิกฤตที่สร้างความเสียหายต่อเศรษฐกิจและความเดือดร้อนต่อประชาชนรุนแรงเช่นนี้ หากการกู้เงินของ ภาครัฐเป็นไปเพื่อฟื้นฟูเศรษฐกิจและเยียวยาประชาชนผู้ได้รับผลกระทบ เป็นไปอย่างมีประสิทธิภาพ รั่วไหลน้อย และมีแผนในการรักษาวินัยทางการคลังอย่างเข้มงวด ก็จะเป็นผลดีต่อเศรษฐกิจและประชาชนโดยรวมทั้งในระยะสั้นและระยะยาว

ในด้านนโยบายการเงิน KKP Research มองว่านโยบายการเงินจำเป็นต้องผ่อนคลายเพิ่มเติม ทั้งเพื่อสนับสนุนการกระตุ้น เศรษฐกิจของภาคการคลัง และเพื่อเป็นการตอบสนองได้อย่างทันท่วงทีในสถานการณ์ปัจจุบันที่การฟื้นตัวทางเศรษฐกิจมี แนวโน้มสะดุดลงจากการระบาดระลอกสอง โดยทั่วไปนโยบายการเงินจ าเป็นต้องอาศัยระยะเวลาในการส่งผ่านเข้าสู่ภาค เศรษฐกิจจริง การตอบสนองที่ช้าจะเปิดความเสี่ยงให้เกิดการหดตัวขนาดใหญ่ของเศรษฐกิจ ผู้ทำนโยบายสามารถเร่งผ่อนคลายทางนโยบายผ่านการลดอัตราดอกเบี้ยนโยบายเพิ่มเติม 

รวมถึงการพิจารณ าใช้นโยบายการเงินแบบใหม่ (unconventional policy) อื่น ๆ ซึ่งจะช่วยผลักดันให้สภาพคล่องในระบบไหลไปสู่เศรษฐกิจจริงมากขึ้น และอาจช่วยลดแรง กดดันต่อค่าเงินบาทอีกทางหนึ่งด้วย ควบคู่ไปกับการเร่งปลดล็อคเงื่อนไขของมาตรการด้านสินเชื่อเพื่อช่วยเหลือลูกหนี้ ผู้ได้รับผลกระทบจากโควิด-19 ให้เข้าถึงความช่วยเหลือได้จริงและเป็นวงกว้างมากขึ้นกว่าที่ผ่านมา




ลงทะเบียนเข้าสู่ระบบ เพื่ออ่านบทความฟรีไม่จำกัด

No comment

RELATED ARTICLE

Responsive image

5 เคล็ดลับมองโลก จากผู้นำระดับท็อปที่ประสบความสำเร็จ

แม้ว่าจะไม่สูตรตายตัวที่จะประสบความสำเร็จแต่มี 5 อันดับที่ขาดไม่ได้ของเหล่า ผู้นำที่ประสบความสำเร็จมากที่สุดในโลกตั้งแต่ Elon Musk , Jeff Bezos จนไปถึง Susan Wojcicki ถ้าอยากรู้ว่า...

Responsive image

5 คนที่ควรมีในชีวิต ถ้าคิดอยากประสบความสำเร็จ

เส้นทางสู่ความสำเร็จ เดินคนเดียวอาจไปถึงช้า จะดีกว่าไหมถ้ามีคนที่ใช่เคียงข้างไปด้วย บทความนี้จะชวนทุกคนตามหา 5 ความสัมพันธ์ที่เราควรมี เพื่อเส้นทางสู่ความสำเร็จ...

Responsive image

ถอด 4 บทเรียนธุรกิจ Taylor Swift ชื่อศิลปินที่มีมูลค่า 4 หมื่นล้านบาท

Taylor Swift ไม่ใช่แค่ของชื่อศิลปินอีกแล้ว กลายเป็น Branding ที่มีมูลค่าสูงถึง 2 หมื่นล้านบาท ความสำเร็จของ Taylor Swift ก็มีส่วนที่หยิบมาใช้ในการพัฒนาโมเดลธุรกิจได้เช่นเดียวกัน...