วิเคราะห์ Moderna ฟ้อง Pfizer ปมละเมิดสิทธิบัตร สำคัญอย่างไรกับอุตสาหกรรมไบโอเทค | Techsauce

วิเคราะห์ Moderna ฟ้อง Pfizer ปมละเมิดสิทธิบัตร สำคัญอย่างไรกับอุตสาหกรรมไบโอเทค

สถานการณ์การระบาดของโควิด-19 เมื่อปี 2563 ทำให้บริษัทโมเดอร์นา ก้าวขึ้นมาเป็นผู้ผลิตวัคซีนป้องกันโควิด-19 ระดับแถวหน้าของโลก สามารถทำกำไรและเติบโตอย่างมหาศาล แต่เมื่อเร็วๆ นี้ บริษัทได้ยื่นฟ้องไฟเซอร์ ผู้ผลิตยาชั้นนำของสหรัฐเช่นกันในประเด็นการละเมิดสิทธิบัตรเทคโนโลยีที่ใช้ในการผลิตวัคซีนโควิด-19 ซึ่งกระแสข่าวที่ออกมานั้นได้สร้างความประหลาดใจให้กับคนนอกวงการ เพราะก่อนหน้านี้ โมเดอร์นาเคยระบุว่า จะไม่ยื่นฟ้องไฟเซอร์ในระหว่างการพัฒนาและแจกจ่ายวัคซีนในช่วงที่โควิด-19 ระบาดอย่างรุนแรง

เว็บไซต์ Harvard Business Review (HBR) เปิดเผยบทสัมภาษณ์ระหว่าง Peter Loftus ผู้สื่อข่าวของหนังสือพิมพ์ The Wall Street Journal และผู้แต่งหนังสือชื่อ The Messenger: Moderna, the Vaccine, and the Business Gamble That Changed the World  และสก Scott Berinato บรรณาธิการอาวุโสของ HBR เกี่ยวกับประเด็นการฟ้องร้องดังกล่าว โดย Loftus กล่าวว่า “คดีนี้ไม่ใช่เรื่องแปลกสำหรับผู้ที่ติดตามความเคลื่อนไหวสิทธิบัตรเกี่ยวกับโรคโควิด-19 โมเดอร์นาได้แก้ไขคำมั่นสัญญาที่เคยให้ไว้ว่า จะไม่ฟ้องร้องไฟเซอร์เมื่อเดือนมี.ค. ที่ผ่านมา พร้อมกับระบุว่า อาจบังคับใช้สิทธิบัตรในประเทศที่มีรายได้สูง”

ย้อนกลับไปเมื่อปี 2563 ทนายความด้านสิทธิบัตรและนักวิเคราะห์ของวอลล์ สตรีท ให้ความเห็นว่า โมเดอร์นาได้นำสิทธิบัตรที่ครอบคลุมเทคโนโลยี mRNA ของตนเอง และการใช้ mRNA ในวัคซีนออกมาบังคับใช้ ซึ่งนั่นอาจทำให้โมเดอร์นาอ้างถึงการนำ mRNA ไปใช้ในคดีการละเมิดสิทธิบัตรกับไฟเซอร์ได้  และอาจรวมถึงผู้ผลิตวัคซีนรายอื่นด้วย จริงอยู่ที่ว่า ในปี 2563 โมเดอร์นาให้คำมั่นที่จะไม่บังคับใช้สิทธิบัตรในช่วงที่โควิดระบาดหนัก แต่ก็ได้แก้ไขคำมั่นดังกล่าวในเดือนมีนาคม 2565 เพื่อส่งสัญญาณว่าบริษัทจะเริ่มบังคับใช้สิทธิบัตรในประเทศที่มีรายได้สูง รวมถึงสหรัฐด้วย ส่อเค้าถึงการยื่นฟ้องบริษัทไฟเซอร์ในเวลาต่อมา

การที่โมเดอร์นาทำแบบนี้ส่งผลดีอย่างไร ในเมื่อทั้งสองบริษัทนำวัคซีนไปใช้อย่างกว้างขวาง

แม้ว่าการดำเนินคดีทรัพย์สินทางปัญญาจะทำให้บริษัทในอุตสาหกรรมยาต้องมีค่าใช้จ่ายในการทำธุรกิจก็ตาม แต่บริษัทหลายแห่งกลับมองว่า การดำเนินคดีทางทรัพย์สินทางปัญญาเป็นสิ่งที่คุ้มค่ามาก เนื่องจากบริษัทมีเวลาจำกัดในการเก็บเกี่ยวผลประโยชน์จากสิทธิบัตรยาก่อนหมดอายุนั่นเอง ซึ่งโดยทั่วไปจะมีระยะเวลาอยู่ที่ประมาณ 20 ปี เมื่อสิทธิบัตรหมดอายุ ยาเหล่านั้นก็จะกลายเป็นยาชื่อสามัญราคาถูกไปโดยปริยาย ซึ่งบริษัทยาเรียกว่าเป็น "หน้าผาสิทธิบัตร" (Patent cliff) ซึ่งทำให้เม็ดเงินมูลค่าหลายพันล้านดอลลาร์มลายหายไปในชั่วข้ามคืนสำหรับผู้ผลิตยาต้นแบบหลังจากที่สิทธิบัตรหมดอายุ

อย่างไรก็ดี กรณีนี้มีความแตกต่างเล็กน้อย เพราะโมเดอร์นาไม่ได้ป้องกันยาชื่อสามัญที่ออกสู่ตลาด แต่กลับเน้นไปที่ผลิตภัณฑ์คู่แข่งที่ออกจำหน่ายพร้อมกัน หากโมเดอร์นาพิสูจน์ได้ว่าไฟเซอร์นำทรัพย์สินทางปัญญาของตนเองบางส่วนไปใช้ในการผลิตวัคซีน การฟ้องร้องก็อาจทำให้โมเดอร์นาได้เงินค่าสิทธิที่ไฟเซอร์ได้จากการจำหน่ายวัคซีนทั้งหมดหลังเดือนมีนาคม 2565 แม้จะคิดเป็นเปอร์เซ็นต์เพียงเล็กน้อย แต่ยอดขายวัคซีนของไฟเซอร์ยังคงอยู่ในหลักพันล้านดอลลาร์ ซึ่งก็อาจเพิ่มขึ้นได้อีก นอกจากนี้โมเดอร์นาและบริษัทยาอื่นๆ ส่วนใหญ่ยังคิดว่า จำเป็นต้องยื่นฟ้องคดีละเมิดสิทธิบัตรเพื่อปกป้องหลักการการคุ้มครองนวัตกรรม และเพื่อป้องกันไม่ให้บริษัทอื่นๆ ออกผลิตภัณฑ์ที่อาจละเมิดสิทธิบัตรของตนเองในอนาคต

การที่ไฟเซอร์ออกมาตอบโต้ว่า  วัคซีนของบริษัทผลิตขึ้นจากการค้นคว้าวิจัยอันเป็นกรรมสิทธิ์ของตนเอง เป็นอย่างนั้นจริงหรือ แล้วเป็นไปได้ไหมที่ทั้งสองบริษัทจะพัฒนาวัคซีนที่คล้ายคลึงกัน โดยไม่มีการใช้ทรัพย์สินทางปัญญาของอีกฝ่าย

เรื่องนี้เป็นไปได้ ขึ้นอยู่กับการวิจัยค้นคว้าในส่วนของไบออนเทค ซึ่งเป็นผู้ผลิตวัคซีนร่วมกับไฟเซอร์ โดยไบออนเทคค้นคว้าวิจัยเกี่ยวกับเทคโนโลยี mRNA มาหลายปีแล้ว แต่ถ้าโมเดอร์นาได้รับสิทธิบัตรที่สำคัญอย่างยิ่งยวดนี้มาก่อน ก็อาจจะเป็นต่อในแง่กฎหมาย ซึ่งโดยทั่วไปนั้นเคยมีกรณีที่บริษัทยาหลายแห่งได้ดำเนินการค้นคว้ายาหรือวัคซีนชนิดเดียวกัน ก่อนจะลงเอยด้วยการจ่ายค่าสิทธิ์ให้กับบริษัทหรือมหาวิทยาลัยแห่งใดแห่งหนึ่งที่มีสิทธิบัตรชิ้นสำคัญ ไม่ว่าจะเป็นการจ่ายเงินล่วงหน้า หลังการฟ้องร้องดำเนินคดี หรือมีการเจรจาต่อรองก็ตาม

ในมุมของการฟ้องร้องเพื่อทำกำไรจากวัคซีน ทำไมโมเดอร์นาจึงเดินหน้าฟ้องร้องคดีนี้ถึงแม้เหตุผลข้างต้นจะเป็นอย่างที่ว่ามาก็ตาม

การที่โมเดอร์นาเดินหน้าฟ้องร้อง บริษัทต้องชั่งน้ำหนักในหลายๆ ด้านมาแล้วอย่างแน่นอน แม้การตกเป็นคดีความจะทำให้เกิดกระแสวิพากษ์วิจารณ์ก็ตาม แต่โมเดอร์นาเชื่อมั่นอย่างยิ่งว่า สิ่งที่ทำเป็นการสร้างความก้าวหน้าอันใหญ่หลวงต่อการพัฒนาเทคโนโลยี mRNA ตลอดหลายปีที่ผ่านมา และเชื่อว่า วัคซีน ไฟเซอร์/ไบออนเทคต้องอาศัยความล้ำหน้าจากการคิดค้นเทคโนโลยีดังกล่าวไม่ทางใดก็ทางหนึ่ง โมเดอร์นาคงจะยอมรับสถานการณ์ที่เกิดขึ้น โดยอ้างว่า ไม่ต้องการที่จะดำเนินการเพื่อสร้างความเสียหายใดๆ ก่อนเดือนมีนาคม 2565 ไม่ได้ต้องการแสวงหาผลกำไรย้อนหลังเพื่อตักตวงผลประโยชน์จากสถานการณ์โรคระบาด

งานวิจัยส่วนใหญ่ของโมเดอร์นาได้รับทุนจากผู้เสียภาษี ประเด็นนี้จะมีผลต่อการฟ้องร้องอย่างไร

คดีสิทธิบัตรนี้ไม่มีผลโดยตรงในแง่กฎหมาย แต่ที่เห็นได้ชัดก็คือ กลุ่มที่วิพากษ์วิจารณ์โมเดอร์นากล่าวว่า โมเดอร์นาได้เงินอุดหนุนในการพัฒนาวัคซีนและการสนับสนุนการเซ็นสัญญาจากรัฐบาลกลางเป็นมูลค่าหลายพันล้านเหรียญ ซึ่งเท่ากับว่า การที่บริษัททำกำไรได้มหาศาลนั้นเป็นเพราะได้รับการสนับสนุนจากผู้เสียภาษีโดยตรง ดังนั้นนักวิจารณ์บางส่วนจึงไม่ได้มองว่า การฟ้องร้องเป็นการแสวงหาเงินทองเพิ่มเติม นอกเหนือไปจากกำไรหลายพันล้านดอลลาร์ที่โมเดอร์นาได้รับไปแล้ว 

หนังสือ The Messenger เล่าถึงเส้นทางธุรกิจของโมเดอร์ที่ไม่น่าอยู่รอดได้ จากบริษัทสตาร์ทอัพด้านเทคโนโลยีชีวภาพหรือไบโอเทคที่ตกต่ำเมื่อปี 2563 จนก้าวขึ้นถึงจุดสูงสุดอย่างทุกวันนี้ นอกเหนือจากคดีความเกี่ยวกับทรัพย์สินทางปัญญาแล้ว โมเดอร์นาจะผ่านพ้นอุปสรรคนี้ไปได้อย่างไร บริษัทกำลังพัฒนาผลิตภัณฑ์อื่นๆ อยู่หรือไม่

โมเดอร์นาได้เพิ่มจำนวนพนักงานขึ้นอีกสี่เท่า ทำยอดขายและผลกำไรหลายพันล้านดอลลาร์ ซึ่งเป็นการเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่สำหรับบริษัทที่ไม่มีผลิตภัณฑ์ออกสู่ตลาดก่อนปี 2563 เผชิญราคาหุ้นตกหรือซบเซา  แต่บริษัทกำลังเตรียมนำวัคซีนเข็มบูสเตอร์หลายสิบล้านโดสออกมาใช้สำหรับสกัดสายพันธุ์โอมิครอนโดยเฉพาะในช่วงฤดูใบไม้ร่วงนี้

ในหนังสือพูดถึงบริษัทที่แทบจะฝากความหวังไว้กับวัคซีนเท่านั้น เท่ากับดูเหมือนเป็นการประสบความสำเร็จเพียงครั้งเดียวและหมดหวังที่จะทำโครงการอื่นๆ หรือไม่

บางครั้งผู้บริหารของโมเดอร์นารู้สึกเหน็ดเหนื่อยจากโรคระบาด โดยเฉพาะอย่างยิ่งเมื่อมีไวรัสสายพันธุ์ใหม่ๆ เกิดขึ้น ซึ่งแสดงให้เห็นว่า งานของบริษัทยังไม่จบแค่การพัฒนาและผลิตวัคซีนป้องกันโควิด-19 ครั้งแรกเมื่อปี 2563 บริษัทจึงจำเป็นต้องปรับปรุงวัคซีนเข็มบูสเตอร์ให้ต้านทานไวรัสสายพันธุ์ใหม่ได้ หลังจากที่วัคซีนตัวแรกได้รับการอนุมัติ การมุ่งพัฒนาวัคซีนโควิดจึงทำให้การพัฒนาโครงการอื่นๆ รวมถึงวัคซีนมะเร็งเฉพาะบุคคลต้องหยุดชะงักหรือล่าช้าออกไป แต่ปัญหาดังกล่าวคลี่คลายลงเมื่อเร็วๆ นี้ เนื่องจากอานิสงส์จากยอดขายวัคซีนโควิดทำให้โมเดอร์นามีเงินลงทุนในการวิจัยและพัฒนามากขึ้น สามารถจ้างนักวิทยาศาสตร์เพิ่ม และขยายขอบเขตการวิจัยได้จริง

นอกจากนี้ บริษัทกำลังพัฒนายาในขั้นทดลองสองชุดหนึ่ง เพื่อต้านโรคติดเชื้อชนิดอื่นๆ โรคมะเร็ง รวมถึงโรคหายาก บททดสอบครั้งต่อไปสำหรับเทคโนโลยี mRNA ของโมเดอร์นาจึงอยู่ที่ว่า บริษัทสามารถพัฒนาวัคซีนไข้หวัดใหญ่ได้ดีขึ้นหรือไม่ ซึ่งหากการศึกษาวิจัยประสบความสำเร็จ อาจออกสู่ตลาดในปีหน้า หรือสองปีข้างหน้า นอกจากนี้ โมเดอร์นายังพัฒนาวัคซีนป้องกันโรคติดเชื้อไซโตเมกะโลไวรัส (Cytomegalovirus) หรือ CMV ซึ่งเป็นไวรัสที่ทำให้เกิดเด็กที่เกิดจากมารดาที่ติดเชื้อนี้มีความผิดปกติโดยกำเนิด รวมถึงวัคซีนต้านโรค RSV ซึ่งอาจเป็นอันตรายต่อทารกและผู้สูงอายุด้วย

โมเดอร์นาขึ้นชื่อเรื่องวัตนธรรมในการทุ่มเททำงานจนผงาดขึ้นมาเป็นบริษัทชั้นนำ อย่างที่กล่าวถึงในหนังสือ แล้ววัฒนธรรมของสตาร์ทอัพแบบนั้นมีการเปลี่ยนแปลงไปตามการเติบโตและความสำเร็จของบริษัทหรือไม่

พนักงานระดับปฏิบัติงานทั่วไปอาจไม่ค่อยได้สัมผัสถึงแง่มุมที่ยากลำบากมากนัก เพราะเข้ามาในช่วงที่บริษัทได้เติบโตขึ้นและมีลำดับขั้นในองค์กรมากขึ้นแล้ว ดังนั้น ความภาคภูมิใจที่ได้เป็นส่วนหนึ่งขององค์กรที่ใหญ่มากก็นับว่าเป็นความสำเร็จมากแล้ว แต่การผลัดเปลี่ยนตำแหน่งในหมู่ผู้บริหารยังคงเกิดขึ้น ซึ่งตั้งแต่ที่โควิด-19 เกิดขึ้น ก็มีการเปลี่ยนมือตำแหน่งผู้บริหารระดับท็อป 10 ประมาณครึ่งหนึ่งแล้ว

การระบาดของโควิด-19 ก่อให้เกิดการเปลี่ยนแปลงต่ออุตสาหกรรมยาและเทคโนโลยีชีวภาพหรือไม่

บรรดาผู้นำในอุตสาหกรรมชีวเภสัชภัณฑ์พูดอย่างภาคภูมิใจถึงสิ่งที่อุตสาหกรรมนี้ได้ส่งมอบออกไป นั่นคือวัคซีนและยารักษาโรคที่มีประสิทธิภาพภายใต้กำหนดเวลาชนิดที่ไม่เคยเกิดขึ้นมาก่อน (แม้จะได้รับความช่วยเหลือจากรัฐบาลอย่างไม่เคยปรากฏมาก่อนด้วยก็ตาม) ซึ่งได้เกื้อหนุนให้อุตสาหกรรมนี้ และบริษัทหลายแห่งได้อานิสงส์ไปเต็มๆ จากการระบาด จนในขณะนี้มีเงินทุนเพิ่มมากขึ้นสำหรับนำไปลงทุนวิจัยและทำข้อตกลงที่อาจก่อให้เกิดความก้าวหน้าในอนาคต แต่ก็ยังมีความท้าทายอีกหลายประการในอุตสาหกรรมยา อย่างความพ่ายแพ้ที่เพิ่งเกิดขึ้นในสหรัฐหลังจากที่สภาคองเกรสได้ผ่านกฎหมายฉบับใหม่เพื่อลดราคายาที่มีราคาแพง ถึงแม้ว่าจะยังคงผลิตยาใหม่ๆ ที่มีความล้ำหน้าในการรักษาโรคออกมาก็ตาม แต่ต้นทุนของยาเหล่านี้ก็ยังเป็นสิ่งที่ท้าทายสำหรับสังคม รวมถึงชื่อเสียงของอุตสาหกรรมยาด้วย

อ้างอิงจาก HBR

ลงทะเบียนเข้าสู่ระบบ เพื่ออ่านบทความฟรีไม่จำกัด

No comment

RELATED ARTICLE

Responsive image

Founder Model วิถีผู้นำแบบ Brian Chesky CEO เบื้องหลังความสำเร็จของ Airbnb

Founder Mode เป็นแนวทางการบริหารที่กำลังได้รับความสนใจในวงการสตาร์ทอัพ โดยแนวคิดนี้ได้รับการพูดถึงอย่างกว้างขวางจาก Brian Chesky, CEO ผู้พา Airbnb เติบโตจนกลายเป็นธุรกิจระดับโลก ด้...

Responsive image

ไขความลับ Growth Hacking: บทเรียนจาก Spotify สู่ธุรกิจยุคใหม่

ในโลกธุรกิจที่การแข่งขันดุเดือดและเปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็ว การเติบโตอย่างรวดเร็วและยั่งยืนคือสิ่งที่ทุกธุรกิจต่างใฝ่ฝัน Growth Hacking กลายเป็นกุญแจสำคัญที่ไขประตูสู่ความสำเร็จ ด้วย...

Responsive image

เปิดปรัชญาแห่งความเป็นผู้นำของ Steve Jobs

Steve Jobs ผู้ร่วมก่อตั้ง Apple ที่โด่งดัง อาจไม่ใช่เจ้านายในฝันของใครหลายคน แต่ปรัชญาการบริหารของเขาพิสูจน์แล้วว่าทรงพลังและนำไปสู่ความสำเร็จที่ยิ่งใหญ่ คำพูดที่สะท้อนแนวคิดนี้ได้...