เรียกได้ว่าฮือฮากันไม่น้อยสำหรับ Disney+ Hotstar ที่ได้เปิดให้สตรีมกันไปเรียบร้อยแล้วในประเทศไทยเมื่อวันที่ 30 มิถุนายน ที่ผ่านมา ทำเอาแฟนคลับของทั้ง Disney, Marvel, Star Wars และอีกมากมายต่างได้รับชมคอนเทนต์ต่าง ๆ กันอย่างจุใจ แต่ด้วยความฮอตของ Disney+ Hotstar นำมาสู่ข้อสงสัยกับอีกค่ายสตรีมมิ่งชื่อดังของโลกอย่าง Netflix ว่า เมื่อ Disney+ เริ่มเข้าไปเป็นทางเลือกใหม่ ไปตีตลาดลูกค้าสตรีมมิ่งในหลาย ๆ ประเทศทั่วโลก แล้ว Netflix จะมาต่อสู้กับน้องใหม่ไฟแรงแห่งวงการสตรีมมิ่งอย่างไร Disney+ จะสามารถมาแทนที่ Netflix ได้หรือไม่ และอนาคตของทั้ง 2 แพลตฟอร์มจะเป็นอย่างไรต่อไป ในบทความนี้ Techsauce ได้วิเคราะห์ของโอกาสและข้อจำกัดทางธุรกิจ รวมถึงให้ให้ข้อคิดเห็นน่าสนใจของทั้ง Netflix Disney + ในมุมมองต่าง ๆ ซึ่งนับว่าเป็นคู่มวยที่สูสีไม่แพ้กันเลยทีเดียว
ทั้ง Disney+ และ Netflix ต่างเป็นแพลตฟอร์มสตรีมมิ่งที่ต้องแข่งขันกันด้วยคอนเทนต์ โดยก่อนหน้านี้เอง คอนเทนต์ของ Disney ก็เคยขึ้นไปโลดแล่นให้ผู้ชมทั่วโลกได้ชมอยู่บน Netflix แต่เมื่อ Disney ตัดสินใจออกมาทำแพลตฟอร์มสตรีมมิ่ง Disney+ เป็นของตัวเอง ก็ต้องยอมรับเลยว่าหมัดนี้ทำเอา Netflix เซไม่น้อยเลยทีเดียว แต่ไม่ช้าก็สามารถตั้งหลักด้วยปะทะต่อด้วยการหันมาทำคอนเทนต์ของตัวเอง หรือ Netflix Original เพิ่มมากขึ้น
จะสังเกตุได้ว่าจุดเด่นของคอนเทนต์ Disney คือ ทำให้ทุกคนได้นึกถึงบรรยากาศวัยเด็ก ทั้งการ์ตูน Disney Princess, Winnie the Pooh, Toy Story ซึ่งมีหลายคนที่ยอมรับเลยว่าเติบโตขึ้นมาพร้อมกับเรื่องราวเหล่านี้ และถือเป็นเรื่องยากที่จะหาชมคอนเทนต์เหล่านี้ได้อย่างครบครันในที่เดียวได้
แต่ไม่ได้มีเพียงเท่านี้ สำหรับ Disney แล้ว ยังได้สร้างภาพยนตร์ฟอร์มยักษ์ระดับโลกมากมาย ทั้ง Pirates of the Caribbean, Star Wars รวมทั้งเข้าไปควบรวมกิจการกับบริษัทสื่อหลายแห่ง อย่างเครือ Marvel โดย Disney+ Hotstar ที่เปิดตัวในไทยนั้น จะเห็นว่ามีการพ่วงชื่อที่เป็น Hotstar ซึ่งก็คือคือการที่ Disney เข้ารวมกับ Hotstar สตรีมมิ่งเจ้าใหญ่ของอินเดีย ที่มีคอนเทนต์จากเครือ Fox หรือค่าย Twenty Century Fox เข้ามารวมอีกด้วย ทำให้แพลตฟอร์ม Disney+ นี้เป็นแหล่งรวมคอนเทนต์ในความทรงจำ คอนเทนต์ฟอร์มยักษ์ และคอนเทนต์ที่หลากหลายจากค่ายดัง (อยากรู้ว่าอาณาจักร Disney ใหญ่แค่ไหน อ่านต่อได้ที่ Techsauce)
สำหรับ Netflix ทุกคนอาจจะมีความรู้สึกว่าเป็นแพลตฟอร์มให้บริการคอนเทนต์ใหม่ ๆ มากกว่า กับการเข้าไปร่วมงานกับหลาย ๆ ประเทศทั่วโลกในการผลิต Original Content ในประเทศนั้น ๆ ซึ่งสิ่งนี้ถือเป็นจุดเด่นของ Netflix การเข้าไปร่วมมือกับบริษัทสื่อในประเทศต่าง ๆ อย่างการไปเปิดสตูดิโอสำหรับทำ Original Content ในเกาหลีใต้ ในญี่ปุ่น ทำให้ฐานการผลิต และฐานลูกค้าของ Netflix ในต่างประเทศเพิ่มมากขึ้น
อีกสิ่งหนึ่งที่เป็นจุดเด่นของ Netflix คือ การที่มีคอนเทนต์ที่หลากหลาย และแตกต่าง ทั้งสารคดี (Documentaries) อนิเมะ ซีรีส์ ภาพยนตร์ การ์ตูน รายการโทรทัศน์ และอีกมากมาย อีกทั้งยังมีการแยก Channel สำหรับเด็กอีกด้วย โดยเนื้อหาของ Netflix Original นับว่าเป็นสิ่งที่ทำให้ Netflix มีเอกลักษณ์เป็นของตัวเอง
เพราะเมื่อพูดถึงคอนเทนต์อย่าง The Crown, Black Mirror, Stranger Things, The Witchers, The Queen’s Gambit หรือซีรีส์เกาหลี อย่าง Startup, Crash Landing On You ทุกคนก็จะรู้ว่าหาชมได้เฉพาะบน Netflix เท่านั้น ทำให้แพลตฟอร์ม Netflix เป็นแหล่งรวมคอนเทนต์ที่หลากหลายของคนทุกเพศ ทุกวัย
คอนเทนต์ใน Disney+ จะมีภาพยนตร์ถึง 700 เรื่อง และซีรีส์ถึง 14,000 ตอน ทั้งผู้สร้างจาก Disney, Pixar, National Geographic, Star Wars, และผู้สร้างภาพยนตร์และซีรีส์จากภูมิภาคอื่น ๆ เนื้อหาโดยรวมของ Disney+ ยังเน้นวัฒนธรรมจากฝั่งตะวันตกเป็นหลัก และส่วนใหญ่จะถ่ายทอดเนื้อหาเก่าในคลังที่อมตะนิรันดร์กาล สามารถดูได้ซ้ำได้บ่อยครั้งก็ไม่รู้สึกเบื่อ
แต่ทว่าทาง Disney+ ยังไม่มีภาพยนตร์และซีรีส์ที่สดใหม่ในเร็ว ๆ นี้ รวมไปถึงเนื้อหาไม่เข้าถึงผู้ชมที่มีวัฒนธรรมหลากหลาย เช่น ยังไม่มีซีรีส์ของญี่ปุ่นหรือเกาหลีมากเพียงพอ จึงอาจจะเป็นข้อท้าทายที่ว่า เมื่อผ่านเวลาไปสักระยะหนึ่ง หากผู้ชมรู้สึกเบื่อหน่ายกับเนื้อหา ก็อาจเปลี่ยนใจไปแพลตฟอร์มอื่นได้ และมีแนวโน้มที่จะตีตลาดใหญ่กว่ากลุ่มแฟนคลับของ Disney เองได้ยาก
ขณะที่เนื้อหาใน Netflix ไม่สามารถอยู่ได้ยืนยงเท่า Disney+ เนื่องจาก Netflix อาจสูญเสียสิทธิ์การเผยแพร่เนื้อหาให้กับคู่แข่งสตรีมมิ่งรายอื่น ดังกรณีที่ในปี 2016 มีรายงานว่าภาพยนตร์ของ Netflix ในสหรัฐฯ ถูกคัดออกไปกว่า 2,500 เรื่องภายในเวลา 2 ปีครึ่ง คาดการณ์ว่าสิทธิ์การเผยแพร่ส่งต่อไปที่คู่แข่งสตรีมมิงอย่าง Hulu และ Amazon Prime ด้วยเหตุนี้ ถ้าหากเจ้าของภาพยนตร์หรือซีรีส์ดั้งเดิมหันมาทำสตรีมมิงเป็นของตนเอง ก็จะยิ่งตัดจำนวนเนื้อหาที่น่าสนใจใน Netflix ได้ในอนาคต
นอกจากนี้ยังมีประเด็นในด้านประสบการณ์ของผู้ใช้งานที่มีต่อแพลตฟอร์ม Disney+ ไม่ว่าจะดูจากคอมพิวเตอร์ สมาร์ทโฟน หรือสมาร์ททีวี กลับรู้สึกว่าหน้าตาแพลตฟอร์มใช้งานยาก แม้ว่าจะมีความคล้ายคลึงกับ Netflix ก็ตาม
เช่น ผู้ชมบางส่วนมองว่าในแอปพลิเคชัน Disney+ ไม่สามารถปรับขนาดหน้าจอให้เหมาะสมกับการชมได้ กดเร่งความเร็วของเนื้อหาไม่ได้ กดข้ามเนื้อหาไม่ได้ อีกทั้งยังไม่มีคำบรรยายหลายภาษา ในภาพยนตร์หรือซีรีส์ทุก ๆ เรื่อง และยังปรับความสว่างหน้าจอของสมาร์ทโฟน iPhone ให้อยู่ในรูปแบบ dark mode ไม่ได้
ซึ่งในหมัดนี้ในความคิดเห็นของทีมงานมองว่า Netflix เองอาจจะได้เปรียบกว่า Disney+ ในแง่หน้าตาแพลตฟอร์มที่ใช้งานง่ายกว่า
ใดๆก็ตาม ราคาก็เป็นตัวกำหนดสำคัญต่อการตัดสินใจรับชมในแพลตฟอร์ม ทาง Disney+ มีตัวเลือกราคาที่เข้าถึงได้ โดยเฉพาะสำหรับลูกค้าเครือข่าย AIS ที่สามารถสมัครแพ็คเกจในราคาถูก เริ่มต้นตั้งแต่ 49 บาทต่อเดือน หรือ 499 บาทต่อปี
แต่ถ้าผู้ใช้เครือข่ายอื่น ๆ มีทางเลือกที่จำกัด ซึ่งต้องจ่ายราคาปกติอยู่ที่ 799 บาทต่อปีเท่านั้น ในส่วนนี้เองด้วยราคาที่สูงและต้องจ่ายตั้งแต่ครั้งแรก อาจมีผู้ใช้งานจำนวนมากเข้าไม่ถึงแพลตฟอร์มของ Disney+ ได้
ขณะที่ Netflix ได้เปิดให้สามารถทดลองรับชมได้ฟรี 1 เดือนเต็ม ๆ และมีราคาให้เลือกหลากหลายตั้งแต่ 99 บาท 279 บาท 349 บาท จนไปถึง 419 บาทต่อเดือน ซึ่งรองรับไลฟ์สไตล์และพฤติกรรมของผู้ชมที่แตกต่างกันตามความต้องการใช้งาน
หากเปรียบเทียบกับจุดเริ่มต้นและสถานการณ์ในปัจจุบันของทั้งสองแพลตฟอร์มจะพบว่า Disney+ ได้รับความนิยมอย่างรวดเร็ว ด้วยเหตุที่กลุ่มเป้าหมายเป็น mass market ที่เติบโตกับสื่อของ Disney อยู่แล้ว และมีโอกาสตีตื้น Netflix ได้มาก ต่อให้มีจำนวนประเทศที่ให้บริการต่ำกว่า Netflix ก็ตาม
นับตั้งแต่ที่ Disney เปิดตัว Disney+ ในวันที่ 12 พฤศจิกายน ปี 2019 ภายในเวลาเพียงวันเดียว ก็มีผู้สมัครใช้บริการไปแล้วกว่า 10 ล้านบัญชี และจนถึงวันที่ 3 เมษายน ปี 2021 ยอดผู้ลงทะเบียนในแพลตฟอร์มทั่วโลกทะลุขึ้นไปที่ 103.6 ล้านบัญชี เป็นที่เรียบร้อย นับว่าเป็นก้าวแรกที่มาไกลมากเมื่อเทียบกับ Netflix ที่ยอดผู้ลงทะเบียนเพิ่มขึ้นอย่างค่อยเป็นค่อยไป โดยตอนนี้ทาง Netflix มีผู้ใช้งานอยู่ทั้งสิ้น 208 ล้านคนทั่วโลก
Disney+
ทาง Disney+ นั้นถือว่ามีพันธมิตรเข้มแข็งมากทั้ง Marvel, Lucasfilm เจ้าของ Star Wars รวมทั้ง Pixar และอีกมากมาย ตามที่กล่าวไปข้างต้น สิ่งนี้ถือเป็นอีกหนึ่งจุดแข็งของ Disney+ ที่จะเข้ามาแข่งกับทาง Netflix ซึ่งตอนนี้ทาง Disney+ ก็กำลังวางแผนที่จะเพิ่มจำนวน Original Content ของตัวเอง โดยเมื่อปี 2020 ทาง Disney ออกมาแจ้งว่าในปี 2021 นี้ จะมีการสร้าง 10 ซีรีส์จากค่าย Marvel, 10 ซีรีส์จากเชน Star Wars และอีก 15 ซีรีส์จาก Disney และ Pixar ที่จะฉายเฉพาะบน Disney+ เท่านั้น
ทาง Disney ยังเคยออกมากล่าวด้วยว่า มีแผนที่จะขยายจำนวนผู้ใช้งานให้เพิ่มได้ถึง 230 - 260 ล้านคนทั่วโลกภายใน 2024 ทั้งนี้จะต้องมีการวางกลยุทธ์เพิ่มเติมเพื่อขยายตลาดในประเทศต่าง ๆ ทั่วโลกได้มากขึ้น
สำหรับบทบาทของ Disney+ ในเอเชียนั้นก็ถือว่าเติบโตขึ้นเยอะมาก โดยเฉพาะในอินเดียที่เป็นตลาดสำคัญของ Disney+ ซึ่งมีผู้ใช้งานในอินเดียมากถึง 83% จากผู้ใช้งานทั่วเอเชีย ในส่วนของเอเชียตวันออกเฉียงใต้ก็มีผู้ใช้งานอยู่ที่ 14% จากทั่วทั้งเอเชีย และถึงแม้ว่าราคาสำหรับสตรีมมิ่ง Disney+ นั้นจะมีราคาที่ค่อนข้างต่ำ ทาง Disney ก็ยังไม่มีแผนที่จะปรับราคาให้สูงขึ้น ณ ตอนนี้ ยกเว้นก็เพียงแต่ในฮ่องกง เกาหลีใต้ ไต้หวัน นิวซีแลนด์ และออสเตรเลียที่มีราคาในการสตรีมมิ่งสูงกว่าประเทศอื่น ๆ ในเอเชีย
Netflix
ขณะที่ Netflix นั้นก็สู้ไม่ถอย กลยุทธ์ของ Netflix นอกจากจะลงทุนในสื่อ Originals ที่อาศัยบริบท เรื่องราว นักแสดงที่อยู่ในต่างประเทศแล้ว ยังเน้นการทำคอนเทนต์ในภาษาท้องถิ่นมากขึ้นอย่างต่อเนื่อง เช่นซีรีส์ Who Killed Sara (ใครฆ่าซาร่า) ซีรีส์สืบสวนสอบสวนจากเม็กซิโก พากย์โดยภาษาเม็กซิกัน เป็นซีรีส์ที่ได้รับความนิยมในสหรัฐฯ ถึง 55 ครัวเรือน ใน 28 วันแรกของการฉาย อีกทั้งซีรีส์เรื่อง Lupin เล่าถึงจอมโจรลูแปง ซึ่งเป็นตัวละครที่ดัดแปลงจากนิยายของ Maurice Leblanc's นักเขียนนวนิยายและเรื่องสั้น ชาวฝรั่งเศส องค์ประกอบต่าง ๆ ในการบรรยายเรื่องราว ก็บ่งบอกถึงจุดเด่นของประเทศฝรั่งเศสได้เป็นอย่างดี ทั้งนี้ Netflix ได้ย้ำให้ผู้สร้างทุกคนต้องทำความเข้าใจในวัฒนธรรม พฤติกรรมและภาษาท้องถิ่นอยู่เสมอ เพื่อให้คนได้รู้สึกถึงความสมจริงของเนื้อเรื่อง
ด้วยเหตุนี้ ได้ทำให้ปี 2021 นี้ Netflix ได้ลงทุนสร้างเนื้อหาอีก 17,000 ล้านดอลลาร์ เพื่อนอกจากจะสร้างฐานผู้ใช้งานให้แข็งแกร่งทั้งในสหรัฐฯ แล้ว Netflix ยังต้องสร้างอิทธิพลด้านสื่อ Originals สู่ทั่วโลกด้วย
นอกจากนี้ Netflix ยังลุยไปยังธุรกิจฝั่งอื่น ๆ ทั้งเกม และ E-Commerce เพื่อหาแหล่งรายได้และลูกค้ากลุ่มใหม่โดยเฉพาะ ซึ่งก่อนหน้านี้ Netflix ได้เตรียมเปิดตลาด Game Streaming ที่เปิดให้ผู้ใช้งานในแพลตฟอร์มเข้าไปเล่นเกมใดก็ได้ในคลัง และมีข่าวลือว่ากำลังเตรียมจ้างผู้บริหารเพื่อดูแลบริการดังกล่าวโดยเฉพาะ และเมื่อวันที่ 11 มิ.ย. 21 Netflix เปิดเป็นร้านค้าออนไลน์ Netflix.shop ซึ่งจะจัดจำหน่ายของสะสมจากซีรีส์ยอดฮิต เช่น แอนิเมชัน Yasuke, The Witchers , Stranger Things
อ้างอิง Variety, Business Insider, Netflix, Forbes, Blognone, Morning Brew, CNBC
ลงทะเบียนเข้าสู่ระบบ เพื่ออ่านบทความฟรีไม่จำกัด